the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 289 มนุษย์ไม่เข้าใจสุขทุกข์ของผู้อื่น
- Home
- the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 289 มนุษย์ไม่เข้าใจสุขทุกข์ของผู้อื่น
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินคำว่า ‘รุ่งอรุณของเหล่าเทพเจ้า’ ผ่านๆ นั้น ก็มองว่าพวกผู้ก่อจลาคลคิดคำแบบลวกๆ เกินไปแล้ว
คนส่วนใหญ่พอนึกถึงคำว่า ‘รุ่นอรุณของเหล่าเทพเจ้า’ แล้ว ก็คงนึกไปถึงคำว่า ‘ยามสนธยาของเหล่าเทพเจ้า’ ด้วยอะไรแบบนั้น ฟังแล้วไม่เป็นมงคลเท่าไรเลย แต่ปัญหาคือควรตั้งชื่อแบบไหนดีให้มันดูน่าฟังขึ้น
‘เช้าตรู่ของเหล่าเทพเจ้า’ ดีไหมนะ
แต่ฟังดูไม่เหมาะเท่าไรแฮะ
“ยามเที่ยงของเหล่าเทพเจ้า” ล่ะ
ก็ฟังแล้วไม่เหมาะอยู่ดี
และหลังจาก ‘ยามสนธยาของเหล่าเทพเจ้า’ เป็นอะไรดีล่ะ ‘หลังเที่ยงคืนของเหล่าเทพ’ เหรอ
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนเริ่มถกกันเรื่องนี้อย่างจริงจัง พวกเขาอยู่ช่วงเปิดกิจการคลินิกในป้อมปราการ 109 ส่วนหลัวหลานกำลังเร่ร่อนไปมาอยู่ใต้ทางระบายน้ำ
ตอนนั้นพอเหยียนลิ่วหยวนได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่พูดก็หัวเราะหนักจนเกือบตาย
แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มที่มักจะโพล่งมุกตลกแบบแป้กๆ กับเขานั้นกำลังสลบไม่ได้สติอยู่บนหลังเจียงอู๋ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว
เหยียนลิ่วหยวนพาทุกคนกลืนเข้าไปในกลุ่มผู้ลี้ภัยระหว่างหนีออกจากป้อมปราการ 108 ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยู่ในสภาพจะนำใครได้ เขาที่เป็นน้องชายย่อมต้องออกมาเป็นผู้นำแทน
พวกเขาต้องหนีเพราะว่ากองกำลังของสมาคมตระกูลหลี่ในป้อมปราการ 108 ยังไม่ถูกล้างบางไปจนหมดสิ้น ตอนนี้ทหารนาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหลี่และหยางกำลังสู้รบอยู่ในแดนรกร้าง หลังปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้น ทหารของสมาคมตระกูลหยางก็เตรียมจะล่าถอยไป ทว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายเพียงนั้น
แต่ถ้าพวกเขายังรออยู่ในป้อมปราการจนการสู้รบจบสิ้นแล้ว พวกเขาอาจจะเผชิญกับการไล่ล่าของกองกำลังสมาคมตระกูลหลี่เอาได้
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ใช้ร่างแยกเงานั้น เขาไม่เก็บงำพลังแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงเสี่ยงที่ความลับตัวเองจะแตกออกด้วย อย่างไรตอนนั้นก็มีทหารนาโนแมชชีนที่หนีไปได้อยู่
แน่นอนว่าตอนสู้กันเริ่นเสี่ยวซู่ใช้เกราะคลุมทั้งร่าง ทั้งใบหน้าก็ไม่ได้เปิดเผย พวกเขาอาจจะคิดว่าเป็นสูเสี่ยนฉู่ก็ได้
ถึงตอนสุดท้ายเขาจะแปรรูปเกราะให้กลายเป็นโล่ แต่ท่ามกลางความโกลาหล สมาคมตระกูลหลี่คงไม่มีเวลามาสนใจหรอกกว่าเป็นใคร ทั้งพวกเขายังไม่มีเครื่องบันทึกวิดีโออะไรอัดไว้ระบุตัวตนเขาด้วย
อีกอย่างทหารนาโนแมชชีนสมาคมตระกูลหลี่ที่ต่อสู้กันในครั้งนั้นอาจจะไม่รอดก็ได้ เพราะตอนที่พวกเหยียนลิ่วหยวนหนีออกมา ทหารนาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหยางก็มาถึง และเปิดศึกกับทหารนาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหลี่ทันที
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่เหยียนลิ่วหยวนคิด จะมีใครไขความลับของเริ่นเสี่ยวซู่ได้แล้วหรือไม่นั้นยังไม่แน่ชัด แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่เหยียนลิ่วหยวนต้องเป็นห่วงไม่ใช่ความลับเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ต้องคิดหาวิธีพยุงอาการบาดเจ็บของเริ่นเสี่ยวซู่และพาทุกคนไปยังที่ปลอดภัย
เพราะรถบรรทุกพังไปแล้ว พวกเขาได้แต่เดินเท้าขึ้นเหนือต่อกับผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ ระหว่างทางนั้น เหยียนลิ่วหยวนหวังว่าจะหารถได้สักคัน แต่รถที่เจอระหว่างทางล้วนเสียหายจนไม่อาจใช้งานได้
ไม่มีเริ่นเสี่ยวซู่คอยนำ ครั้งนี้แม้แต่อาหารก็เตรียมไว้ไม่พอ มันต่างกับครั้งก่อนตอนที่พวกเขาเตรียมหลบหนีอยู่ตลอดเวลาไม่น้อย ครั้งนี้นั้น เหยียนลิ่วหยวนและพรรคพวกดูน่าสังเวชไม่ต่างจากผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ
ต่อให้เสี่ยวอวี้จะเตรียมหลายสิ่งหลายอย่างแล้ว แต่พวกเขามีคนเจ็บอยู่หกคนซึ่งรวมไปถึงเริ่นเสี่ยวซู่ด้วย ลำพังแค่ดูคนเจ็บก็ทำให้พวกเขาลำบากมากแล้ว นี่ยังต้องเวียนกันมาแบกพวกเขาด้วย ดังนั้นจึงได้แต่ทิ้งข้าวของบางส่วนไประหว่างทาง เก็บไว้เพียงอาหารและของพื้นฐานต่างๆ อย่างเช่นไม้ขีดไฟไว้ใช้สำหรับเอาตัวรอดในแดนรกร้าง แต่ไม่ใช่ว่าของที่ทิ้งไปไม่สำคัญ เพียงแค่ชีวิตพวกเขาสำคัญกว่า
เหยียนลิ่วหยวนใส่ถุงมือคู่หนึ่ง ตั้งแค่คอลงมาล้วนปกปิดมิดชิด หากต้องสู้กับผู้ลี้ภัยคนหนึ่ง ทั้งกลุ่มจำเป็นต้องพึ่งพานาโนแมชชีนของเหยียนลิ่วหยวน
หวังฟู่กุ้ย หลี่ชิงเจิ้ง และเสี่ยวอวี้ไม่มีความสามารถในการรบแม้แต่นิดเดียว พวกเขาต้องพึ่งการใช้งานปืนพก คนที่เหลือยิ่งไม่ต้องพูดถึง นาโนแมชชีนที่พวกนักเรียนชายมีทั้งหมดยังน้อยกว่าที่เหยียนลิ่วหยวนมีเสียอีก
อีกทั้งการที่พวกเขายังมีดีเลย์ครึ่งวินาทีในการควบคุมนาโนแมชชีน ถ้าต้องสู้ขึ้นมา หมัดของศัตรูคงเข้าหน้าก่อนที่นาโนแมชชีนจะทันตอบสนองเสียอีก
แต่ว่าสำหรับการควบคุมนาโนแมชชีนนั้น เหยียนลิ่วหยวนมีพรสวรรค์ไม่น้อย เขาถึงกับสามารถสั่งให้นาโนแมชชีนมาปกคลุมพื้นที่ส่วนหนึ่งของร่างกายได้ ถ้าเขาสวมถุงมือระหว่างสู้กัน เส้นสีเงินก็จะไม่ปรากฏบนใบหน้า
ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนที่ทำหน้าที่นำทางในกลุ่มผู้ลี้ภัยตลอด เขาทำให้มั่นใจว่าสมาชิกท้ายกลุ่มจะไม่หลงทางไปในฝูงชน ทว่าคราวนี้เป็นตาที่เหยียนลิ่วหยวนต้องนำทางบ้างแล้ว
“เหยียนลิ่วหยวน” หวังฟู่กุ้ยว่า “เธอพักสักหน่อยไหม หลี่ชิงเจิ้งกับฉันจะทำหน้าที่แทนเอง”
เหยียนลิ่วหยวนมองกลับไป “ไม่ต้อง อะไรที่พี่ผมทำมาก่อน ผมก็จะทำเหมือนกัน”
กลุ่มผู้ลี้ภัยยังเดินทางขึ้นเหนือต่อ ฤดูเหมันต์หนาวเหน็บ หิมะกองตามพื้น วันเดียวไม่อาจเดินทางไปไหนได้ไกลนัก
แต่พวกเขาไม่กล้าหันกลับ ใครจะไปรู้ว่าตัวทดลองน่ากลัวพวกนั้นยังจะตามมาหรือเปล่า ถึงความโกลาหลในป้อมปราการจะใหญ่โตไม่น้อย แต่ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าที่นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และก็ไม่รู้ด้วยว่าใครช่วยพวกเขาไว้
มีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้ว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นถูกคนไล่ไปแล้ว แต่คนผู้นั้นตายไปแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าเจ้าสัตว์ประหลาดพวกนั้นกลับมาล่ะ
คืนเดียวกันนั้น ผู้ลี้ภัยหยุดลงตรงจุดที่ไม่ห่างจากป้อมปราการทางเหนือนัก พวกเขาเหม่อมองไกลออกไปยังป้อมปราการที่ล้มสลาย
เหยียนลิ่วหยวนเข้าป่าไปคนเดียวพร้อมหม้อ เชือก และหมั่นโถวตากแห้งที่เสี่ยวอวี้พกมา
พวกเขามีอาหารพออยู่ได้แค่สองวันเท่านั้น ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดให้นานกว่านั้น เหยียนลิ่วหยวนต้องออกล่าเหมือนที่เริ่นเสี่ยวซู่ทำ อีกทั้งเริ่นเสี่ยวซู่บาดเจ็บอยู่ด้วย เขาต้องการเนื้อมากกว่าแค่พวกอาหารตากแห้ง
เริ่นเสี่ยวซู่เคยสอนเหยียนลิ่วหยวนแค่วิธีจับนกกระจอก เพราะการจับนกกระจอกเป็นทักษะการล่าสัตว์ขั้นพื้นฐานสุดแล้ว
นกกระจอกไม่ใช่นกอพยพ ในช่วงหน้าหนาวจะมีนกกระจอกบางตัวที่อาหารหมด และนั่นเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการจับพวกมัน
หลังจากเหยียนลิ่วหยวนใช้หม้อใหญ่ต่างกับดักแล้ว แม้นอนอยู่ใต้กองหิมะมากว่าสี่ชั่วโมง เขาก็ยังไม่เห็นนกกระจอกตัวใดลงมาจิกเศษหมั่นโถวเลย
ระหว่างนี้เหยียนลิ่วหยวนเห็นนกกระจอกหลายตัวลงมาบนพื้นหิมะ แต่ทุกครั้งลมหายใจเขาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นกกระจอกก็ตกใจหนีไปทันที
นกเป็นหนึ่งในสัตว์ที่ระแวดระวังที่สุดแล้ว หลังจากยุคภัยพิบัติ นกยิ่งตื่นตัวต่อสภาพแวดล้อมกว่าเดิม
แต่เหยียนลิ่วหยวนไม่ยอมแพ้ และปรับลมหายใจตัวเอง เมื่อก่อนพอเริ่นเสี่ยวซู่ถึงบ้านแล้วก็จะบอกเสมอว่าจับนกกระจอกนั้นง่ายเพียงไร แต่พอเป็นคราวที่เขาได้ลองทำบ้าง ก็ได้รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่แค่หลอกเขาว่ามันง่ายเท่านั้น
ให้คนนอนในหิมะเช่นนี้นั้นมันทรหดเป็นที่สุด ร่างเนื้อซ่อนในหิมะ ลมเย็นเสียดกระดูกพัดผ่านร่องเสื้อผ้าดั่งมีดกรีดเนื้อหนัง
อีกทั้งในแดนรกร้างนี้ไม่มีใครอยู่กับเขาด้วย คุยกับใครก็ไม่ได้ เรื่องสนุกใดก็ไม่มี สัมผัสได้แต่เพียงความโดดเดี่ยวเดียวดาว
เหยียนลิ่วหยวนหมอบนิ่งไม่ขยับในหิมะตลอดทั้งคืนจนมือเท้าชาไปหมด
มีครั้งหนึ่งที่นกกระจอกร่อนลงมาจิกเศษหมั่นโถวใต้หม้อ เหยียนลิ่วหยวนอยากจะกระโจนใส่มัน แต่ก็พบว่าร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้ จากนั้นนกกระจอกตัวโตก็พลิกหม้อเหล็กและบินจากไป