the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 292 รักษาเองและการจัดกระดูก
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร และก็ไม่อยากจะอธิบายด้วย พวกเขาได้แต่หวังว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะไม่รู้เรื่องนี้ไปตลอดกาล
หวังฟู่กุ้ยว่า “ศิษย์พี่บอกว่ามีเรื่องต้องทำเลยขอปลีกตัวไปพักหนึ่ง…”
เริ่นเสี่ยวซู่มองหวังฟู่กุ้ยด้วยความตะลึง เขาไม่ใช่คนโง่ จะบอกว่าเขาฉลาดกว่าคนทั่วไปหน่อยก็ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นหวังฟู่กุ้ยไม่ต้องพูดอะไร เขาก็พอเดาความจริงออก
หวังฟู้กุ้ยพูดเช่นนี้ไปแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ที่นอนอยู่บนพื้นน้ำตาไหลรื้นออกมา “เขาจากไปได้ยังไง”
หลังจากเหยียนลิ่วหยวนให้หมอไปแล้ว เขาก็ลงมานั่งข้างเริ่นเสี่ยวซู่แล้วว่า “ตอนที่พี่อู๋ตี๋จากไป เขาขยี้มารปีศาจรอบกายให้กลายเป็นจุณ เขาเหยียบย่ำล้านหมู่มาร เมฆรุ้งเฉิดประกายเหนือนภา แสงจรัสส่องลงจากฟ้าราวประตูสวรรค์เปิดออกให้เขา ผมว่าคงมีคนจากสวรรค์ลงมารับเขาแน่”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พูดอะไร ทุกคนรอบตัวเขาตกอยู่ในความเงียบงัน
แต่เหยียนลิ่วหยวนพบว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังตัวสั่นสะท้าน ใบหน้าก็กลับกลายเป็นแดงก่ำ เหยียนลิ่วหยวนเลิกแขนเสื้อกับกางเกงขึ้นและเห็นว่าเส้นเลือดตามแขนขาเริ่นเสี่ยวซู่กลายเป็นสีเงิน
เหยียนลิ่วหยวนเองก็มีนาโนแมชชีน เขารู้ดีว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น เริ่นเสี่ยวซู่กำลังบังคับให้นาโนแมชชีนจัดกระดูกโดยไม่ใช้ยาชา
มีคนคอยพูดตลอดว่าเจ็บยันกระดูก แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการกล่าวเกินจริง
แต่อธิบายว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังเจ็บลึกถึงกระดูกนั้นไม่เกินจริงแม้แต่น้อย
กระดูกเขาแตกเป็นชิ้นๆ ติดอยู่ในเนื้อ เขาต้องใช้นาโนแมชชีนดึงเศษกระดูกออกมาและติดเข้ากับกระดูกที่แตกออก
ก็เหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ บางทีก็จะติดพลาด ต้องแงะออกมาติดกลับไปใหม่อีกครั้ง
เริ่นเสี่ยวซู่ซ่อมกระดูกได้แค่แขนข้างหนึ่งก็เจ็บจนสลบไป
เริ่นเสี่ยวซู่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังผ่านไปพักหนึ่ง พอได้สติแล้วเขาก็ใช้นาโนแมชชีนจัดกระดูกต่อโดยไม่เอ่ยปากบ่น
เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ด้านข้างสะอื้นอย่างหนักจนไม่อาจเรียงคำพูดได้เป็นภาษา “พี่ ทำไมพี่ไม่พักหน่อยล่ะ ผมขอร้องล่ะ หยุดสักแปปหนึ่งเถอะนะ ”
แต่เริ่นเสี่ยวซู่กัดฟันกรอด ไม่พูดยอมอะไรออกมา
เขายังหยุดไม่ได้ เขาต้องรีบจัดกระดูกให้ไวที่สุด จากนั้นก็ใช้นาโนแมชชีนเชื่อมมันให้ดี จะได้ไม่ทิ้งโรคร้ายไว้ในอนาคต
แดนรกร้างอันตรายเกินไป ถ้าพิการขึ้นมา เขาจะรับมืออันตรายต่างๆ ได้อย่างไร
หลังจากหมดสติและตื่นมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า เหยียนลิ่วหยวนก็เข้าใจว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังใช้ความเจ็บปวดทางกายสะกดความเจ็บปวดทางใจ ความเจ็บปวดดั่งถูกมีดแทงกลางใจที่สัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าอยู่ภายใน
พอหวังฟู่กุ้ยกับหลี่ชิงเจิ้งรู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังทำอะไรอยู่ก็ตะลึง ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นด้วยตาเอง คงไม่อยากจะเชื่อว่ามีคนทนเจ็บซ่อมกระดูกตัวเองได้
คนธรรมดาโดนกรีดทีหนึ่งร้องลั่นแล้ว แต่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังกรีดแทงร่างตัวเองนับครั้งไม่ถ้วย มีแต่ต้องทำแบบนี้ เขาถึงจะกู้เศษกระดูกที่ติดอยู่ในกล้ามเนื้อได้หมด
ในที่สุดเริ่นเสี่ยวซู่ก็ใช้นาโนแมชชีนซ่อมกระดูกที่หักทั้งหมดเสร็จ เขาถึงหลับลึกลงไปได้เสียที เสื้อผ้าเขามีเหงื่อเปียกชุ่มไปหมด
เสี่ยวอวี้เช็ดเหงื่อเขาไปและก็เช็ดน้ำตาตัวเองไปด้วย เหยียนลิ่วหยวนพลันเอ่ย “เมื่อก่อนตอนพี่ฉันยังล่าสัตว์ไม่เป็น พวกเรากินกันแต่ผักป่า”
ทุกคนชะงัก ไม่รู้ว่าเหยียนลิ่วหยวนต้องการสื่ออะไร
เหยียนลิ่วหยวนพูดต่อ “ไม่มีใครเคยสอนเขาว่าผักป่าไหนกินได้กินไม่ได้ ผักป่าบางประเภทขมมาก บางประเภทก็มีฤทธิ์เป็นพิษอ่อนๆ คิดว่าพี่ฉันรู้ได้ยังไงล่ะว่าอันไหนกินได้กินไม่ได้น่ะ หลังจากลองกินด้วยตัวเองแล้ว เขาก็จะเอาอันที่กินได้มาให้ฉัน ที่ลุงฟู่กุ้ยบอกว่าพี่ดวงแข็งนั้นไม่ผิดเลย เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น เขาคงได้ถูกพิษตายอยู่ในแดนรกร้างไปนานแล้ว”
ตอนนี้ผู้ลี้ภัยต่างรออยู่ในค่ายพักและรอให้สมาคมตระกูลหลี่มาช่วยเหลือ เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่ตกอยู่ในอันตรายต่อไปแล้ว พวกเขาเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าสมาคมตระกูลหลี่จะช่วยพวกตน เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นพลเมืองของป้อมปราการ
ระหว่างวัน เหยียนลิ่วหยวนพักงีบไปหน่อย ในช่วงกลางวัน ไม่มีชาวป้อมปราการไหนเข้าใกล้พวกเขา
อีกอย่างผู้อพยพที่หนีมาจากเมืองน้อยของป้อมปราการ 108 นั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันคุ้นเคยจากตัวเหยียนลิ่วหยวน เป็นความดุร้ายที่พวกเขามีขณะพยายามเอาชีวิตรอดในแดนรกร้าง
ตอนบ่าย เหยียนลิ่วหยวนรออยู่ข้างเริ่นเสี่ยวซู่โดยไม่ห่างกาย เมื่อก่อนเขาจะเป็นคนเฝ้ากะกลางคืน ในตอนนี้เขาก็จะทำเช่นเดิม
ทุกคนสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงกรีดร้อง พอหันไปตามเสียง ก็เห็นเหยียนลิ่วหยวนที่มือชุ่มเลือดยืนอยู่ข้างเริ่นเสี่ยวซู่ ข้างเท้าเขามีผู้ใหญ่นอนนิ่งอยู่สองคน หนึ่งในนั้นดูใกล้ตายอยู่ร่อมร่อ
เหยียนลิ่วหยวนจับผมชายคนหนึ่งแล้วยกขึ้นมา จากนั้นก็เอามีดกรีดคอเขาด้วยสายตาเรียบเฉยแล้วว่า “นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นถ้ามีคนลอบเข้ามาใกล้เรา ถ้าอยากได้อาหารก็ออกไปหาเองในแดนรกร้าง!”
ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่และเหยียนลิ่วหยวนสงสัยมากว่าทำไมแม้เหยียนลิ่วหยวนจะเป็นผู้มีพลังพิเศษแล้ว แต่พละกำลังของเขากลับดูไม่เพิ่มขึ้นมากนัก
ปกติแล้วหลังปลุกพลังพิเศษไปพักหนึ่ง ผู้มีพลังพิเศษก็จะมีร่างกายแข็งแกร่งกว่าผู้ใหญ่ทั่วไป แต่ว่าเหยียนลิ่วหยวนกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ราวกับว่าตัวตนผู้มีพลังพิเศษของเขาเป็นของปลอมอย่างไรอย่างนั้น แค่ผลสะท้อนกลับเล็กๆ ยังไม่อาจทานทนได้เลย
แต่ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซูได้ล้างจุดอ่อนเขาไปด้วยนาโนแมชชีน
พอชาวป้อมปราการเห็นว่าเด็กผู้นี้กำลังจะคลั่งแล้วมองเขาด้วยสายตาหวาดกลัว ถ้ามีคนคิดจะทำอันตรายต่อเด็กหนุ่มข้างกายเขา เหยียนลิ่วหยวนก็พร้อมที่จะฆ่าคนทันที อีกทั้งชาวป้อมปราการยังสัมผัสได้ถึงความโกรธเกลียดฝังลึกพวกเขาในตัวเหยียนลิ่วหยวนด้วย
มีคนที่ยืนอยู่ไกลๆ กระซิบ “ถ้าพวกทหารมาถึง เราต้องรายงานความชั่วร้ายพวกเขาทันที ต้องให้ถูกลงโทษอย่างหนัก!”
“ใช่ๆ อีกเดี๋ยวทหารของสมาคมตระกูลหลี่ก็มาถึงแล้ว”
แต่พูดไปพวกเขาก็ไม่ค่อยเชื่อตัวเองเท่าไรนัก นี่ผ่านไปวันหนึ่งแล้ว ทำไมทหารสมาคมตระกูลหลี่ยังไม่มาอีกล่ะ
ต่อให้แนวหน้าที่เขาชิงเซิ่งยังมีการสู้รบอยู่ แต่ป้อมปราการในแนวหลังก็น่าจะมีทหารอยู่บ้างไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่มีใครมาเลย
แต่ตอนนั้นเอง แสงไฟหน้ารถจากทางเหนือที่มองเห็นได้อย่างเลือนลานก็เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผู้ลี้ภัยเห็นภาพนี้ก็ตื่นเต้น “ทหารของสมาคมตระกูลหลี่มาแล้ว!”
“พวกเรารอดแล้ว!”
ทว่าถึงขบวนรถเข้าใกล้ แม้ทหารจะเห็นผู้ลี้ภัยแล้วก็ตาม พวกเขากลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดรถเลย ขบวนรถยาวยังคงมุ่งลงใต้ต่อไป!
ขณะที่หน่วยทหารราบหลังสุดกำลังจะผ่านไปแล้ว ในที่สุดก็มีคนเข้าไปรั้งทหารนายหนึ่งและตะโกนว่า “ท่านกำลังไปไหนกัน ช่วยพวกเราด้วยครับ!”
“ช่วยพวกเราด้วย ให้อาหารพวกเราหน่อย!”