the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 294 ลิ่วหยวนโตแล้ว
เหยียนลิ่วหยวนยืนนิ่งเงียบงัน ตอนนี้พวกเขามีคนเจ็บหกคนในกลุ่ม ถ้าเขาคนเดียวต้องทำงานของคนทั้งหกให้เสร็จ นั่นนับเป็นจำนวนงานที่หนักหนามาก
งานที่กองร้อยเสริมสั่งมาจะเป็นงานจำนวนสูงสุดที่คนผู้หนึ่งสามารถทำได้ หมายความว่าคนคนเดียวจะทำงานของตัวเองให้เสร็จก็หนักมากแล้ว พวกเขาจะไปช่วยงานคนอื่นด้วยได้อย่างไร
ตอนนี้เองหวังฟู่กุ้ยและหลี่ชิงเจิ้งก็เดินมาหาเขาแล้วว่า “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพวกเราจะช่วยแบ่งเบาภาระเอง ร่วมด้วยช่วยกันผ่านพ้นความยากลำบาก”
นักเรียนชายอีกสามคนที่ไม่บาดเจ็บก็ลุกขึ้น “พวกเราจะช่วยด้วย”
กระทั่งนักเรียนหญิงก็ยกมือขึ้น “พวกเราก็จะช่วยด้วยเหมือนกัน”
หวังอวี่ฉือยืนขึ้นอย่างยากลำบาก “อาการบาดเจ็บฉันใกล้หายแล้ว ฉันเริ่มทำงานได้แล้วเหมือนกัน”
เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม “นั่งลงไปเลย ฉันไม่อยากให้สุดท้ายนายต้องพิการหรอกนะ ไม่ต้องพูดอะไรให้มันดูยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ก็แค่งานเล็กๆ น้อยๆ เอง”
เหยียนลิ่วหยวนรู้สึกอบอุ่นใจ คนรอบตัวเขาผ่านการทดสอบของเวลามาด้วยกัน และกลายเป็นมิตรสหายที่มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน พวกเขาได้สร้างรากฐานความเชื่อใจขึ้นมาแล้ว
พอมองไปยังผู้ลี้ภัยรอบด้าน พวกเขาไม่มีการพึ่งพากันและกันด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนเหยียนลิ่วหยวนและเริ่นเสี่ยวซู่พึ่งพาแค่กันเองมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เหยียนลิ่วหยวนรู้สึกได้ถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
เสี่ยวอวี้หยิบดินโคลนมาทาหน้าพวกนักเรียนหญิงและเจียงอู๋ “ในแดนรกร้างนี้ เพราะเราไม่มีเสี่ยวซู่อยู่ ต้องระวังคนอื่นเล็งเป้ามาที่เรา พวกเธอทุกคนหน้าตางดงามผิวก็สวยใส ต้องมีคนเกิดความคิดสกปรกแน่ หาจุดเงียบๆ เปลี่ยนชุดด้วย ใส่พวกเสื้อผ้าหลวมๆ ที่ไม่แสดงเรือนร่าง”
พวกนักเรียนหญิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอาโคลนทาหน้ามันน่าเกลียดมากไม่ใช่เหรอ แต่นักเรียนหญิงที่รอดมาถึงตรงนี้ไม่ใช่คนโง่ จึงปล่อยให้เสี่ยวอวี้ทาหน้าตนไป
หลังจากเอาโคลนทาหน้าแล้ว พวกเธอหันมองหน้าเพื่อนๆ แล้วก็หัวเราะใส่กันเพราะแต่ละคนหน้าตาน่าเกลียดเหมือนกันหมด
จากนั้นเสี่ยวอวี้ก็ว่า “อย่าลืมพกก้อนหินไว้ในกระเป๋า ถ้ามีคนเข้ามาด้วยจุดประสงค์ไม่ดีจริงๆ ก็เอาหินฟาดพวกมันเลย จำไว้ว่าต้องทุบไปที่หลังหัว ตรงจุดที่ต่ำกว่าคิ้วลงมาหนึ่งนิ้ว ถ้าใช้แรงมากพอ ก็สามารถปลิดชีพได้ทันที เสี่ยวซู่สอนฉันมา”
นี่เป็นปรัชญาการเอาตัวรอดที่เริ่นเสี่ยวซู่สอนเสี่ยวอวี้ ต้องรู้จักเก็บงำตัว และลงมือสังหารเมื่อไม่อาจเก็บงำตัวได้อีก
…
การสร้างค่ายผู้อพยพไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะต้องทำพื้นให้เรียบ ขุดดิน ตัดต้นไม้ สร้างที่พัก ทุกอย่างล้วนต้องใช้แรงงานคน
ถ้าใช้กองกำลังที่ฝึกฝนมาอย่างดีสร้างค่ายผู้อพยพ แค่ไม่กี่วันก็น่าจะเสร็จแล้ว
แต่เป็นที่แน่ชัดว่ากองร้อยเสริมเหล่านี้คิดเพียงแค่จะคอยสอดส่อง ไม่คิดจะลงมือสร้างเอง
ถ้าเจอคนหย่อนหยาน ก็จะเอาพานท้ายปืนฟาดใส่อย่างไร้ปรานี ชายชราผู้หนึ่งถูกทหารฟาดใส่เอวจนลุกขึ้นมาไม่ได้อีก
ชาวป้อมปราการ 108 บางคนคิดจะประท้วงก็ถูกทหารฟาดจนล้มทันทีที่เริ่มก่อการ
เหล่าผู้ลี้ภัยลงมือทำงานอย่างเลื่อนลอย ได้รู้แล้วว่าทันทีที่สงครามเริ่มขึ้น โชคชะตาของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป
ในช่วงสงคราม ไร้ผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบ
ความจริงแล้วที่สมาคมตระกูลหยางสั่งให้สร้างค่ายผู้อพยพนั้นมีจุดประสงค์อื่นอยู่ พวกเขาอยากให้ผู้ลี้ภัยใช้พลังงานทั้งหมดสร้างจนเหนื่อยล้าเกินกว่าจะลุกขึ้นมาสร้างปัญหาอะไรได้
นี่เป็นวิธีปกติที่พวกเขาใช้รับมือพวกทหารเก่า ยามทหารผ่านศึกใกล้เกษียณ พวกนายทหารก็จะสั่งให้พวกเขาไปปลูกต้นไม้กันไม่ให้สร้างปัญหา
พวกเขาต้องขุดหลุมจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นก็กลบหลุมไปอีกครั้งทุกวี่วัน ทำงานหนักจนถึงกระดูก จากนั้นก็จะไม่มีใครมีแรงลุกขึ้นก่อการ
เหยียนลิ่วหยวนและพรรคพวกได้รับหน้าที่ขนท่อนซุง งานประจำวันคือแต่ละคนต้องขนไม้คนละสิบท่อน คนสองคนต้องขนท่อนซุงหนาเท่าขามนุษย์
พวกท่อนซุงนั้นหนาและหนักมาก โดยเฉพาะเหยียนลิ่วหยวนที่ค่อนข้างเตี้ย พอท่อนซุงเอียงมาด้านเขา ก็เหมือนน้ำหนักส่วนใหญ่ของมันนั้นกดมาที่ตัวเหยียนลิ่วหยวน
ตอนแรกพวกเขานึกว่าขนท่อนซุงสิบท่อนไม่น่าจะอะไรมากนัก แต่พอเริ่มขนจริงๆ ก็พบว่าท่อนซุงนั้นหนักกว่าที่คิดมาก
โชคดีที่เหยียนลิ่วหยวนสามารถใช้นาโนแมชชีนได้ เขาสั่งให้พวกมันมารวมที่หัวไหล แขน และขา ทำให้เขาทำงานง่ายขึ้น
นอกจากเขาจะขนท่อนซุงทั้งสิบท่อน เขายังทำงานของเริ่นเสี่ยวซู่และสมาชิกที่บาดเจ็บที่เหลือด้วย แต่สุดท้ายพลังงานของนาโนแมชชีนก็ค่อยๆ หมดลง บ่ามีรอยถลอกจนเจ็บไปหมด ตามมือก็มีแผลผุพอง
คนอื่นๆ หลังขนท่อนซุงเสร็จยังพอได้พักสั้นๆ บ้าง แต่กลุ่มของเหยียนลิ่วหยวนนั้นทำไม่หยุด ทหารสมาคมตระกูลหยางทำระบบยืนยันตัวที่ผู้อพยพต้องลงชื่อทุกครั้งที่ขนท่อนซุงมา มีแต่ต้องทำเช่นนี้ถึงจะเลี่ยงไม่ถูกลงโทษ ทั้งยังไม่มีทางลัดใด
อีกทั้งพวกทหารไม่สนใจว่าพวกเขาจะเป็นหญิง ชาย แก่ หรือเด็ก ทุกคนถูกสั่งงานเป็นจำนวนเท่าๆ กัน และถ้าทำไม่ถึงเกณฑ์ก็จะถูกทุบตี
เหยียนลิ่วหยวนเคยบอกเริ่นเสี่ยวซู่ว่าเขาเกลียดป้อมปราการ เกลียดพวกสมาคม และเกลียดพวกคนที่อยู่อาศัยในป้อมปราการ
เขาถึงกับบอกเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยซ้ำว่าถ้าหยางเสียวจิ่นไม่มาหาพวกเขา พวกเขาก็ไม่ควรไปป้อมปราการ 88
แต่ตอนที่หยางเสียวจิ่นมาถึงป้อมปราการ 108 นั้น เหยียนลิ่วหยวนรู้สึกยินดีอยู่บ้างลึกๆ เขารู้สึกมาตลอดว่าหยางเสียวจิ่นนั้นต่างไปจากคนอื่นที่มาจากป้อมปราการ
เหยียนลิ่วหยวนจึงคิดว่าสมาคมตระกูลหยางที่หยางเสียวจิ่นมานั้นจะต่างไปจากคนอื่นๆ หวังว่าพวกเขาจะไม่ปฏิบัติต่อชีวิตมนุษย์ดั่งพืชหญ้า
แต่กลับกลายเป็นว่าทุกสมาคมบนโลกนั้นเหมือนกันหมด โดยพื้นฐานแล้วไม่ต่างกันเลย
มีแค่หยางเสียวจิ่นที่ต่างออกไป
ช่วงบ่ายเสี่ยวอวี้และเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ทำงานเสร็จแล้วก็อ่อนล้ามาก แต่เหยียนลิ่วหยวน หวังฟู่กุ้ย และผู้ชายคนอื่นๆ ยังขนท่อนซุงต่อไป
หวังฟู่กุ้ยที่น่าสงสาร เขาอายุมากแล้ว ทำงานไปทั้งวัน ก็เหมือนพลังชีวิตถูกสูบไปครึ่งหนึ่ง
เสี่ยวอวี้และพวกผู้หญิงพักกันแปปหนึ่งก่อนจะมาช่วยเหยียนลิ่วหยวนและพวกผู้ชายทำงานที่เหลือ แต่เหยียนลิ่วหยวนโน้มน้าวให้พวกเขากลับไปเพราะผู้หญิงมีเรี่ยวแรงจำกัด
เหยียนลิ่วหยวนกลับมาอีกครั้งในตอนเย็น เสี่ยวอวี้พูดด้วยสีหน้าตระหนก “ลิ่วหยวน เธอต้องพักบ้าง สภาพเธอไม่ดีเลย!”
ใบหน้าเหยียนลิ่วหยวนขาวซีด รีมฝีปากกลายเป็นสีม่วงคล้ำ
เหยียนลิ่วหยวนวางท่อนซุงลง เสี่ยวอวี้รีบดึงเสื้อตรงบ่าเขาออกและเห็นว่ามันมีรอยช้ำอย่างหนัก
เสี่ยวอวี้พูดเสียงค่อยอย่างปวดใจ “ทำไมไม่ใช้นาโนแมชชีนช่วยล่ะ”
“พลังงานหมดไปแล้ว” เหยียนลิ่วหยวนถอนหายใจ เขาก็อยากจะใช้พวกมันนะ แต่การใช้ทั้งวันมากเกินไป คนอื่นๆ ขนแค่ซุงสิบท่อน แต่เขา หวังฟู่กุ้ย และผู้ชายคนอื่นๆ ในกลุ่มต้องแบกกันคนละยี่สิบท่อนต่อวัน
“กลับไปพักหนึ่งเถอะ” เสี่ยวอวี้ว่า “ยังเหลือไม้อีกกี่ท่อนต้องขน เดี๋ยวฉันไปแบกเอง”
เหยียนลิ่วหยวนยิ้มก่อนจะเข้ามากอดแขนเสี่ยวอวี้ “ไม่เป็นไร ผมยังทนไหว เทียบกับอาการบาดเจ็บของพี่แล้ว ของผมมันเล็กน้อยไปเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต”