the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 296 พลังใจ
ตกเย็นของวัน เหล่าผู้อพยพมามุงกันรอบกองไฟรอมันฝรั่งสุก กลิ่นมันฝรั่งเผาอบอวลมาจากเปลวไฟ พอทหารของสมาคมตระกูลหยางเห็นเช่นนี้ก็พูดอย่างแปลกใจ “เจ้าพวกนี้นี่โชคดีจริงๆ ไปสะดุดเข้ากับมันฝรั่งกองใหญ่ได้ยังไงล่ะเนี่ย”
มีแต่เหยียนลิ่วหยวนและเริ่นเสี่ยวซู่ที่รู้ดีว่านี่อาจจะเป็นผลของพลังบงการพรและคำสาปของเหยียนลิ่วหยวน ส่วนไอ้หลักการอันแน่นอนอะไรเบื้องหลังนั่น พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
พลังคนอื่นพูดถึงอย่างเป็นรูปธรรมได้ อย่างเช่นว่าเริ่นเสี่ยวซู่สามารถมองเห็นพระราชวังในห้วงจิต สามารถหยิบเมล็ดพันธุ์ ยาดำ ดาบทมิฬ และไพ่ระเบิดออกมาได้
พลังของสูเสี่ยนฉู่ยิ่งเป็นรูปธรรมยิ่งกว่า เขาสามารถเรียกร่างแยกเงาออกมาเป็นตัวเป็นตน อย่างพลังของลั่วซินอวี่ก็ทำให้เธอเปิดประตูเงาที่สามารถมองเห็นได้
มีแต่พลังของเหยียนลิ่วหยวนที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ว่าลองทดสอบมาหลายต่อหลายรอบ พวกเขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังของเหยียนลิ่วหยวนทำงานอย่างไรกันแน่ อีกทั้งพลังนี้ก็ไม่สามารถใช้กับตัวเองได้ ซึ่งแปลกมาก
ดังนั้นพลังนี้จึงได้แต่ค่อยๆ ศึกษาไป แต่จะใช้วิธีไหนทำความเข้าใจยังแทบไม่รู้เลย
แต่ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ใช้วิธีการย้อนกลับของคำสาปเพื่อช่วยหาทุ่งมันฝรั่ง ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นการแก้ปัญหาปากท้อง
สองวันมานี้เสี่ยวอวี้และคนที่เหลือพยายามกินน้อยลงให้มากที่สุดเพราะว่าเสบียงอาหารอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่ได้สติมา พวกเขาก็มีอะไรให้รับประทานอีกครั้ง แถมยังมีเยอะเลยด้วย!
เหยียนลิ่วหยวนกำลังป้อนอาหารให้เริ่นเสี่ยวซู่และว่า “พี่ รีบๆ หายซิ พอไม่มีพี่อยู่ด้วยพวกเรานี่ไปกันไม่เป็นเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่ตรวจดูว่ากระดูกหายดีกี่ท่อนแล้ว จากนั้นก็คิดอะไรพักหนึ่งแล้วว่า “ต้องใช้เวลายี่สิบถึงสามสิบวันกว่าจะหายดี”
คนส่วนใหญ่ต้องการเวลาอย่างน้อยเก้าสิบวันกว่ากระดูกจะหายดี แต่เริ่นเสี่ยวซู่ที่สมรรถภาพร่างกายดีกว่าคนทั่วไปสามเท่า ก็ดูจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าสามเท่าด้วย
เหยียนลิ่วหยวนถอนหายใจโล่งอกยกใหญ่ หมายความว่าพวกเขาแค่ต้องทนอยู่ในค่ายผู้อพยพยี่สิบหรือยี่สิบกว่าวันถึงจะออกไปจากที่นี่ได้
เหยียนลิ่วหยวนพูดต่อ “พี่ ดูเหมือนว่าสมาคมตระกูลหยางไม่แตกต่างไปจากสมาคมอื่นๆ เลย ปฏิบัติต่อมนุษย์ราวพืชหญ้า ผมกำลังสงสัยว่าผู้คนในป้อมปราการของพวกเขาคงไม่ต่างไปจากผู้คนในสมาคมตระกูลหลี่หรอก”
“ทุกที่มีคนดีคนเลว” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “ดูพวกผู้อพยพที่นี่สิ คนมากมายที่ไม่ได้เกลียดชังอะไรเรา ทอดถอนใจกับความลำบากที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่”
“แต่ผมก็ยังไม่ชอบป้อมปราการอยู่ดี” เหยียนลิ่วหยวนพึมพำ
“ที่จริงนายไม่ได้ไม่ชอบคนในป้อมปราการหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง “แต่เป็นกฎเกณฑ์ที่ดำรงอยู่ในป้อมปราการต่างหาก สมาคมต่างๆ ใส่ทุกคนในกรงขังและใช้กฎของตัวเองควบคุมผู้คน นายอยากได้ความอิสระเสรี ย่อมไม่ชอบอยู่ในสถานที่ภายใต้กฎเกณฑ์แบบนั้นอยู่แล้ว”
เหยียนลิ่วหยวนพูดงอมแงมในลำคอ เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
เหยียนลิ่วหยวนตาทอประกาย “งั้นพอพี่หายแล้ว พวกเราจะไม่ไปป้อมปราการสมาคมตระกูลหยางใช่ไหม”
ถนนขึ้นเหนือถูกกำลังของสมาคมตระกูลหยางยึดครองแล้ว กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีใบแสดงตนที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทางเส้นนั้นได้ จะให้พวกเขาบอกทหารของสมาคมตระกูลหยางว่าพวกตนมีหัวหน้าสายลับจากสมาคมตระกูลชิ่งอยู่ในกลุ่ม และอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมป้อมปราการของสมาคมตระกูลหยางสักหน่อยก็ไม่ได้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ
ไม่มีใครยอมเชื่อหรอก!
เริ่นเสี่ยวซู่เงียบไปพักใหญ่ “รอจนอาการบาดเจ็บฉันดีขึ้นก่อนค่อยว่ากัน”
เขากินมันฝรั่งไปหน่อย ขณะเดียวกันลมเย็นก็พัดมา กระแสลมเย็นไหลเข้าคอของเริ่นเสี่ยวซู่ ทำให้เขากระแอมสำลักเศษมันฝรั่งในคออยู่พักใหญ่กว่าจะกลืนลงไปได้
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “ฉันว่านี่คงเป็นพลังบงการคำสาปของนายสินะ”
เหยียนลิ่วหยวนกินมันฝรั่งไปคำและสำลักเช่นกัน แต่ดื่มน้ำหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว
จะพรหรือคำสาป ผลสะท้อนกลับนั้นจะเบากว่าตัวดั้งเดิมมาก ซึ่งน่าจะเป็นผลประโยชน์ของผู้ใช้งาน แต่ว่าเขายังต้องใช้พลังอย่างระมัดระวัง เพราะผลสะท้อนกลับนั้นไม่อาจควบคุมได้
แต่ถึงอย่างไรเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังยินดีมาก เพราะยิ่งเขากับเหยียนลิ่วหยวนมีพลังแข็งแกร่งมากเท่าไร เส้นทางในอนาคตก็ยิ่งราบรื่นเท่านั้น
ตอนกลางคืน เหยียนลิ่วหยวนยังคงทดลองใช้พลังอยู่ข้างกองไฟ บางครั้งก็จะมีคนในค่ายพักลื่นล้ม ส่วนเหยียนลิ่วหยวนก็ได้รับผลสะท้อนกลับนิดหน่อยเช่นกัน คำสาปพวกนั้นล้วนสาปใส่พวกคนที่มาขออาหารกับเขา แต่คำสาปแช่งพวกนี้ไม่ได้รุนแรงอะไรนัก เลยไม่ต้องกลัวผลกระทบอะไรมาก
เหยียนลิ่วหยวนค่อยๆ คุ้นชินกับพลังใหม่นี้
เขาคอยอยู่ข้างกายเริ่นเสี่ยวซู่และพูดขึ้นมาว่า “เพราะเรามีคนเจ็บ วันนี้ทุกคนเลยลำบากมากกว่าจะทำงานให้เสร็จหมด ผมรู้สึกว่าคนอื่นๆ ในกลุ่มเชื่อถือได้”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบรับเสียงค่อยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
เหยียนลิ่วหยวนพลันสัมผัสได้ว่าใจของเริ่นเสี่ยวซู่ยังเจ็บปวดไม่เสื่อมคลาย แต่ว่าเขาดูจะพยายามซ่อนความเจ็บปวดนั้นให้ฝังลึกไว้ข้างใน
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เรียกนักเรียนคนอื่นๆ มาและถาม “ได้ฝึกมาทั้งวันแล้ว การควบคุมนาโนแมชชีนพัฒนาแล้วหรือยัง”
พวกนักเรียนเจอคำถามนี้จนผงะไป จากนั้นก็ลองควบคุมนาโนแมชชีนดูก่อน จากนั้นหวังอวี่ฉือจึงพูดขึ้น “ดูเหมือนว่ามันจะตอบรับเร็วขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ถ้าไม่ตั้งใจจับสังเกตดีๆ กับลองหลายๆ ครั้งก็ไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างอะไร”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มแล้วว่า “เพิ่งฝึกมาแค่วันเดียวเอง เรื่องนี้ต้องใช้เวลาและความพยายามอีกมากถึงจะพัฒนา”
หูชัวบอกว่าสมาคมตระกูลหลี่มีทหารประจำการณ์จำนวนมากที่มีอัตราซิงโครไนซ์สูงกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนคนทั่วไปอัตราจะน้อยกว่านั้นหน่อย
นี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ได้รู้ว่าอัตราซิงโครไนซ์อาจจะไม่ได้ถูกกำหนด ทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ จะมีแค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายได้อย่างไร อะไรคือความแตกต่างระหว่างทหารประจำการณ์และคนทั่วไปอื่นๆ ล่ะ
ทหารประจำการณ์ได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบในกองทัพ นอกจากจะฝึกหน้าที่ทหารแล้ว ก็ยังมีการฝึกร่างกายด้วย แถมยังไม่ได้ยินข่าวว่ามีทหารคนใดเสียชีวิตจากการฝึกวิ่งวิบาก ถึงวินัยในกองทัพของสมาคมตระกูลหลี่ในสองปีมานี้จะถดถอยลงมา แต่มาตรฐานการฝึกยังไม่ลดลง
ที่วินัยลดลงนั้นเพราะกองทัพขยายตัวเร็วเกินไป มีคนตระกูลหลี่จำนวนมากเข้ามาอยู่ในทหารชั้นสัญญาบัตรโดยไม่ผ่านการฝึกอันสมควร
ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงสงสัยว่าอัตราซิงโครไนซ์น่าจะมีเกี่ยวพันอะไรบางอย่างกับการฝึกร่างกายในกองทัพ
แน่นอน ส่วนหนึ่งก็เพราะพลังใจของคนด้วย
ตัวอย่างเช่นการฝึกที่มีความเข้มข้นมาก คนจะผ่านมันไปได้ไหมนั้นก็อยู่กับว่าพลังใจนั้นมากพอหรือเปล่า หลังผ่านการฝึกไป พลังใจของทหารประจำการณ์ก็จะเพิ่มพูนขึ้น และสุดท้ายนี่ก็จะทำให้อัตราซิงโครไนซ์สูงไปด้วย
จะสมรรถภาพร่างกายหรือพลังของจิตใจ ด้วยการทุ่มเทอย่างหนักหน่วง เริ่นเสี่ยวซู่เชื่อว่าพวกนักเรียนสามารถใช้เพิ่มอัตราซิงโครไนซ์ได้แน่ ซึ่งนี่รวมไปถึงหลี่ชิงเจิ้ง หวังต้าหลง และหวังฟู่กุ้ยด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่พลันนึกถึงเรื่องที่หยางเสียวจิ่นพูดกับเขา “เมื่อภัยพิบัติมาถึง จิตตานุภาพจะกลายเป็นอาวุธที่มนุษย์ใช้เป็นอันดับแรกในการเผชิญหน้ากับอันตราย”