the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 297 ครอบครัว
ดีเลย์ในการควบคุมนาโนแมชชีนชวนคนให้จิตใจหงุดหงิดจริงๆ บางครั้งสมองก็คิดแบบเห็นภาพชัดไว้แล้ว แต่นาโนแมชชีนก็ยังชะงักไปวูบหนึ่งถึงจะปฏิบัติตามคำสั่งได้
มือที่ไม่ฟังคำสั่งของสมอง นี่ทำให้หวังอวี่ฉือและนักเรียนคนอื่นๆ รู้สึกเหมือนจิตใจตนเองไม่สมประกอบ
ถ้าพวกเขาควบคุมนาแมชชีนดีกว่านี้ พวกเขาคงช่วยเหลือกลุ่มได้มาก แต่ว่าในความเป็นจริงพวกเขาไร้พลังนัก
ดังนั้นตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่บอกว่าการออกกำลังกายสามารถช่วยเพิ่มอัตราซิงโครไนซ์ได้ พวกนักเรียนที่ไม่ได้บาดเจ็บก็จะขอทำงานเพิ่มขึ้น ส่วนพวกที่ยังบาดเจ็บอยู่ก็คิดวิธีฝึกฝนตัวเอง ตัวอย่างเช่น คนที่บาดเจ็บที่ขา ก็จะฝึกใช้อวัยวะส่วนบนแทน ส่วนคนที่แขนบาดเจ็บ ก็จะฝึกกล้ามเนื้อแกนกลาง ถ้าคนผู้หนึ่งอยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องคิดวิธีนับพันเพื่อบรรลุเป้าหมาย
เดิมทีเหยียนลิ่วหยวนอยู่ภายใต้ความกดดันของงานจำนวนมหาศาลที่ต้องทำให้เสร็จ ต่อให้มีหวังฟู่กุ้ยและหลี่ชิงเจิ้งคอยช่วย แต่พวกเขาล้วนเป็นคนธรรมดา ช่วยแบ่งเบาภาระไม่ได้มากนัก
ทว่าตอนนี้ พอพวกนักเรียนได้ยินสิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่บอก พวกเขาก็คิดถึงวิธีจะทะลุขีดจำกัดของตน ด้วยหวังว่าในอนาคตพวกเขาจะช่วยเหลือพรรคพวกได้มากขึ้น
กลุ่มพวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาวกันมามาก พวกที่ยังเหลืออยู่ในกลุ่มหลังผ่านหายนะต่างๆ มาได้ล้วนเป็นสมาชิกอันล้ำค่าของกลุ่ม พวกเขาต่างรู้ดีว่าจะเอาตัวให้รอดในแดนรกร้างนั้นมันลำบากขนาดไหน
แต่คนภายนอกคงคิดว่ากลุ่มพวกเขากำลังอยู่ในช่วงฉีดเลือดไก่[1]อะไรแบบนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่กำลังรอโอกาสออกไปจากที่นี่ตลอด โอกาสแรกที่กำลังรอคือให้พวกหมาป่าปรากฏตัวขึ้นมา แต่ว่านี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ค่ายผู้อพยพก็สร้างใกล้เสร็จ แต่พวกหมาป่ายังไม่โผล่มาเลย
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็นึกอะไรบางอย่างได้ นี่มันเป็นช่วงที่หมาป่าตัวเมียจะคลอดลูกไม่ใช่เหรอ
ตอนที่เขายังอยู่ป้อมสังเกตการณ์ มีหมาป่าตัวเมียจำนวนมากที่กำลังท้องอยู่ ช่วงตั้งครรภ์ของหมาป่าจะอยู่ที่หกสิบสามวัน พอลองนับวันดูมันก็น่าจะเป็นช่วงนี้
ดังนั้นที่พวกหมาป่าจะไปหลบซ่อนตัวรอให้ฝูงขยับขยายและแข็งแกร่งก่อนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลย พวกมันต้องเลี้ยงลูกหมาป่าให้ขึ้นมาเป็นกำลังหลักของฝูง
ช่วงเวลาแบบนี้ จะให้ฝูงหมาป่ามาป้วนเปี้ยนวนเวียนคงเป็นไปไม่ได้ ราชาหมาป่าถึงกับต้องกักตุนอาหารไว้เผื่อเกิดเหตุขณะออกล่าด้วยซ้ำ
น่าเสียดายชะมัด! ถ้ามีฝูงหมาป่าอยู่ด้วย กองร้อยเสริมสองกองของสมาคมตระกูลหยางไม่มีทางคณาอุ้งเท้าพวกหมาป่าหรอก
เพราะอย่างนั้น กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่จึงได้แต่รอให้เขาหายดี
รั้วรอบค่ายผู้อพยพนั้นใกล้ทำเสร็จแล้วและสูงถึงสองเมตรเต็ม รอบๆ ค่ายผู้อพยพถึงกับมีหอสังเกตการณ์ที่ติดตั้งไฟสปอร์ตไลท์ด้วย
ทหารของกองร้อยเสริมแห่งสมาคมตระกูลหยางจะคอยลาดตระเวนอยู่รอบๆ ค่าย นอกจากนั้นยังมีทหารที่ทำงานเป็นกะยืนเฝ้าอยู่แถวไซต์ก่อสร้าง ทุกนายต่างบรรจุกระสุนจริงกันมีผู้หลบหนี ทหารพวกนี้ยังทำหน้าที่เป็นหัวหน้างานสำหรับผู้อพยพและคอยสอนวิธีการใช้ไม้แปรรูปสร้างที่พักด้วย
กองร้อยเสริมทั้งสองจะทำงานเป็นเวียนเป็นกะ ใครที่อยู่นอกกะแล้วก็จะกลับไปเล่นไพ่ในเต็นท์ตัวเอง ส่วนคนที่อยู่ในกะก็จะทำงานอย่างไม่ขาดวินัย ไม่ให้ใครมีโอกาสได้หนีเด็ดขนาด
ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกคิดจะหนีไปจากที่นี่จริงๆ อันดับแรกที่ต้องคิดคือจะฝ่าแนวล้อมของกองร้อยเสริมทั้งสองกองนี้ไปได้อย่างไร
ช่วงที่ผ่านมา เวลาที่พักตอนเย็นหวังฟู่กุ้ยก็จะฉวยโอกาสตีสนิทพวกทหารกองร้อยเสริมด้วยการส่งสิ่งของไปให้ เขาส่งของขวัญไปหลายอย่างมาก อย่างเช่นนาฬิกา เพชรพลอย และอื่นๆ ซึ่งความกระตือรื้อร้นนี้ก็เหมาะกับภาพลักษณ์ผู้อพยพของเขามาก
ขณะที่พวกทหารกำลังเล่นไพ่พูดคุยกัน เขาก็จะทำหน้าที่เป็นคนบริการเครื่องดื่ม แต่ต่อให้เขาจะแสดงความจริงใจแค่ไหน ทหารกองร้อยเสริมก็จะสั่งเขาไปทั่วตามใจอยาก แถมยังพูดวาจาด่าทอใส่ ทว่าเหล่าหวังไม่มีโทสะใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอด
ครั้นถึงเวลารับประทานอาหาร ทหารสมาคมตระกูลหยางไม่ออกไปรับอาหารเองด้วยซ้ำแต่สั่งให้หวังฟู่กุ้ยไปจัดการให้ พอกินเสร็จแล้ว หวังฟู่กุ้ยยังต้องคอยล้างถ้วยชามให้พวกเขาอีก ต่ำต้อยจนไม่อาจต่ำต้อยไปกว่านี้ได้แล้ว
พอตอนที่พวกทหารเล่นไพ่ยามดึก หวังฟู่กุ้ยก็จะนำน้ำร้อนหลายแก้วไปให้ แต่สุดท้ายก็มีทหารคนหนึ่งที่ไม่ทันระวังตัว เผลอจิบจนลวกลิ้น
เขาเดือดจัดเข้าไปถีบใส่หวังฟู่กุ้ย “ไม่คิดจะเตือนฉันหน่อยเหรอไงวะว่ามันร้อน”
หวังฟู่กุ้ยปล่อยให้เขาเทน้ำร้อนรดใส่ตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ พยุงลุกตัวขึ้นและยิ้มเอ่ย “ผมผิดเองครับๆ เดี๋ยวผมไปเทน้ำที่อุ่นหน่อยให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย”
และในสายตาของกองร้อยเสริม หวังฟู่กุ้ยก็ค่อยๆ กลายเป็นตัวแทนของผู้อพยพไป ถ้าพวกเขาคิดจะสั่งการอะไรผู้อพยพก็จะสั่งผ่านเขา
ตอนที่ที่พักผู้อพยพหลังแรกเสร็จ หวังฟู่กุ้ยก็จัดการให้พวกเริ่นเสี่ยวซู่ย้ายเข้ามาก่อนทันที กองร้อยเสริมแม้เห็นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่หวังฟู่กุ้ยต้องการ
ถึงตัวที่พักจะสร้างมาได้ย่ำแย่เอาการ แต่จะหาที่กำบังหลบลมหนาวนั้นไม่ง่ายเลย กลุ่มพวกเขามีคนเจ็บหลายคน อย่างไรพวกเขาก็ต้องหาทางย้ายเข้ามาก่อน
หลังจากกองร้อยเสริมออกไปแล้ว ผู้ลี้ภัยก็ยืนข้างนอกและก่นด่าเข้ามาในที่พัก “ทำตัวเป็นหลานคอยรับใช้คนสมาคมตระกูลหยางรู้สึกดีมากนักสิ เอาสิทธิ์อะไรมาย้ายเข้าบ้านก่อน พวกเราสร้างจนเสร็จด้วยกันแท้ๆ!”
แต่ว่าจากนั้นเหยียนลิ่วหยวนก็พุ่งออกมาจากตัวอาคาร จากนั้นก็เข้าไปถีบใส่ผู้ที่พูดอยู่และก็กระทืบซ้ำลงไปอีก ทำเอาเขาเอามือกุมท้องร้องโอดโอย
เขาจะเอาอะไรมาสู้เหยียนลิ่วหยวนที่มีนาโนแมชชีนล่ะ เหยียนลิ่วหยวนมือกำมีด สายตาเย็นเยียบมองไปรอบกายราวกับพร้อมจะลงมือฆ่าคนได้ในทุกช่วงขณะ
เสี่ยวอวี้ที่อยู่หลังเขาตรงประตูที่พักชี้นิ้วไปที่ฝูงคนและเอ่ยปากด่า “ใครกล้าปากเสียเรื่องเหล่าหวังลับหลังเขาอีกก็อย่าหาว่าเราไม่เกรงใจ เตรียมตัวตายได้เลย!”
และเหล่าผู้ลี้ภัยก็พลันนึกออกในพริบตาว่าคนกลุ่มนี้อำมหิตและเลือดเย็นได้เพียงไร!
ขณะพักช่วงกลางคืน เริ่นเสี่ยวซู่ก็เรียกหวังฟู่กุ้ยไปหาและกล่าว “เหล่าหวัง ลุงไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ต่อให้พวกเราต้องนอนข้างนอกในแดนรกร้างก็ไม่เป็นไร ไม่เห็นต้องไปลดตัวเองแบบนั้น”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเรื่องนี้กับหวังฟู่กุ้ยมาหลายรอบแล้ว แต่ใครก็ห้ามเขาไม่ได้
ตอนกลางคืน หวังฟู่กุ้ยตกลงว่าจะไม่ทำแล้ว แต่วันต่อมาก็ยังไปหาทหารสมาคมตระกูลหยาง คอยบริการเครื่องดื่มให้พวกเขาอย่างนอบน้อมอยู่ดี
เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในใจของหวังฟู่กุ้ยนั้นกำลังทนทุกข์อยู่ แต่ว่าเขาไม่เคยบ่นออกมาสักครั้ง
หวังฟู่กุ้ยยิ้มหัวเราะฮาฮา “ไม่เป็นไรหรอก ฉันเก่งเรื่องพวกนี้”
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “มันไม่ใช่เรื่องว่าลุงเก่งไม่เก่งเสียหน่อย ถึงพวกเราจะผ่านความลำบากมาด้วยกันไม่น้อย แต่พวกเราไม่จำเป็นต้องเสียสละศักดิ์ศรีตัวเองแบบนั้น”
หวังฟู่กุ้ยพูดอย่างสงบนิ่ง “เพราะต้องหนี พวกเธอทุกคนถึงต้องเจ็บหนักแบบนี้ ตอนเราหนีกัน ขนาดพวกนักเรียนยังพร้อมใจกันคว้าระเบิดมือก้าวออกไปสู้กับตัวทดลอง แต่ว่าฉันรักชีวิตตัวเองเกินไป ฉันยังตายไม่ได้เพราะต้องดูแลหวังต้าหลง งั้นฉันจะทำอะไรได้อีกล่ะ ในกลุ่มพวกเรา มีแต่ฉันที่ทำในสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ได้ เสี่ยวซู่ เธอไม่ต้องรู้สึกแย่เพราะเรื่องนี้หรอก ฉันแค่ทำสิ่งที่ฉันทำได้ และเพราะฉันทำสิ่งที่พวกเธอทำเพื่อกลุ่มเราไม่ได้ ก็ให้ฉันทำสิ่งที่พวกเธอทำไม่ได้เป็นการตอบแทนเถอะ”
เกิดความเงียบงันในที่พัก ทุกคนพลันเกิดความคิดเดียวกัน ความคิดที่ว่านี่แหละหนาคือครอบครัว
[1] คนจีนเชื่อว่าเลือดไก่เปี่ยมไปด้วยพลังหยาง คำว่าฉีดเลือดไก่จึงเป็นคำแสลงหมายถึงมีอาการคึกคัก ตื่นเต้น ลิงโลด