the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 298 วิธีใช้คำสาปแบบพิเศษ
งานก่อสร้างในค่ายยังคงดำเนินต่อไป เหยียนลิ่วหยวนและคนอื่นๆ ยังต้องแบกท่อนซุงทุกวันและกลับที่พักมาอย่างเหนื่อยอ่อน
หลังจากที่นักเรียนหลายคนทำงานเสร็จกลับมา อันดับแรกที่ทำคือดูว่าควบคุมนาโนแมชชีนได้ดีขึ้นขนาดไหน ส่วนเรื่องที่ว่าฝึกร่างกายแล้วอัตราซิงโครไนซ์จะเพิ่มจริงๆ หรือเปล่านั้นๆ ฝึกไปแค่วันสองวันคงยังไม่รู้หรอก แต่ว่านี่ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้ว ความแตกต่างนั้นเห็นชัดขึ้นมาก
แค่สัปดาห์เดียว ร่างกายพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกัน
เหยียนลิ่วหยวนพูดขณะนอนอยู่ในที่พัก “พี่ ถึงออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มอัตราซิงโครไนซ์ แต่เรามีงานให้ทำเยอะเกินไปแล้ว ถ้าเหนื่อยจนล้มพับไปคงไม่ดีแน่ พี่ต้องช่วยเราคิดหาวิธีการอื่นแล้วล่ะ เมื่อวานมันฝรั่งจากทุ่งก็หมดไปเรียบร้อย ข้าวสารที่สมาคมตระกูลหยางให้มาก็ทำได้แต่โจ๊กก้นถ้วย ถ้ามีอาหารไม่พอกินจะเป็นอันตรายมากจริงๆ แล้วนะ”
สมาคมตระกูลหยางมีเสบียงให้ค่ายผู้อพยพ แต่สมาคมตระกูลหยางจะใจกว้างได้ขนาดไหนกันล่ะ แค่อนุญาตให้ทุกคนต้มโจ๊กเองก็ดีถมเถแล้ว
โชคดีที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเจอทุ่งมันฝรั่ง ไม่อย่างนั้นผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่คงได้ตายเพราะขาดอาหารไปแล้ว
แต่ตอนนี้ เพราะในค่ายผู้อพยพมีคนหลายพัน ทุ่งมันฝรั่งจึงถูกขุดไปหมดสิ้น พวกเขาใช้เวลาทั้งหมดสองวันในการจัดการมันฝรั่งจนเหี้ยนเตียน เมื่อวานผู้ลี้ภัยหลายคนเริ่มอดอยากอีกครั้ง
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วว่า “ตอนไปไซต์ก่อสร้างพรุ่งนี้ ลองสาปให้หลี่ชิงเจิ้งถูกขี้กระรอกหล่นใส่ดู”
เหยียนลิ่วหยวนผงะ “เพื่ออะไรอะพี่”
“จากนั้นก็ตามเจ้ากระรอกนั่นและไปขโมยรังมันให้เกลี้ยง ฉันว่าแค่นั้นน่าจะพอให้เราอยู่ได้พักหนึ่ง…” เริ่นเสี่ยวซู่คอยๆ สอนว่าเหยียนลิ่วหยวนจะพูดสาปอย่างไรดี “อย่าลืมนะว่าคำสาปนายมีผลสะท้อนกลับ ดังนั้นมันจะมีกระรอกสองตัว ไปขโมยรังของกระรอกทั้งสองตัวให้เรียบ…”
เหยียนลิ่วหยวนออกไปทำงานด้วยความกังขา แต่หลังจากสาปแช่งไปแล้ว สองชั่วโมงต่อมาก็มีกระรอกอุจจาระใส่หัวหลี่ชิงเจิ้งจริงๆ
จากนั้นก็มีมูลกระรอกอีกชุดหล่นใสเหยียนลิ่วหยวนแต่เขาหลบทัน
หลี่ชิงเจิ้งสบถใส่ต้นไม้ ส่วนเหยียนลิ่วหยวนเปิดใช้นาโนแมชชีนและไล่ตามพวกกระรอกไป
พอเจอรังกระรองทั้งสองตัวแล้ว ก็รู้ทันทีว่าสองวันพวกเขาไม่ลำบากแล้ว กระรอกจะเก็บอาหารไว้เผื่อหน้าหนาวจำนวนมาก
ในแดนรกร้าง พืชพันธุ์และสัตว์ป่าเกิดการวิวัฒน์ ของที่ธรรมชาติประทานนั้นอยู่เหนือจินตนาการของมนุษย์ ถ้าโชคดีอาจจะเจอต้นถั่วลิสงที่สูงเท่าผู้ใหญ่สองคนก็ได้
เหยียนลิ่วหยวนอยากจะจับกระรอกด้วย แต่ว่าประสบการณ์ล่าสัตว์เขาไม่พอจึงทำพวกมันหลุดมือไป
เขาถอดแจ็คเก็ตออกมาห่อผลไม้แห้งและขนกลับมาที่ไซต์ก่อสร้าง
มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาหาเขาทันทีแล้วว่า “หนุ่มน้อยสุดหล่อ แบ่งมันให้ฉันบ้างได้ไหม ถ้าเธอให้ฉันกิน เธอจะทำอะไรกับฉันก็ได้” ระหว่างพูดไปก็เอนตัวมาหาเหยียนลิ่วหยวนด้วย
แต่เหยียนลิ่วหยวนหลบเธอไว้ก่อนอยู่แล้ว เหยียนลิ่วหยวนพูดเสียงเย็น “ให้ฉันทำอะไรก็ได้?”
เธอยิ้ม “ใช่แล้ว!”
“ได้” เหยียนลิ่วหยวนว่า “งั้นไปขนท่อนซุงแทนพวกเรา พอขนกลับมาที่ค่ายแล้วให้ลงชื่อหวังอวี่ฉือ จากนั้นก็มาเอาถั่วที่นี่”
หญิงคนนั้น “???”
ทันใดนั้นเหยียนลิ่วหยวนก็พูดเสียงดัง “ใครที่ช่วยเราขนซุงหนึ่งท่อน สามารถมาเอาถั่วห้าเม็ดจากฉันได้! ของมีจำกัด มาก่อนได้ก่อน!”
นี่เป็นแผนการที่เริ่นเสี่ยวซู่คิดมาให้ เพราะงานมันหนักเกินไป พวกเขาก็ควรให้ผู้อื่นมาทำงานแทน
ช่วงเวลาแบบนี้ ถ้าได้อาหารจะอะไรผู้ลี้ภัยก็ยอมทำหมดแหละ
ในแดนรกร้าง ใครหาอาหารได้ ก็จะสามารถทำอะไรได้ตามใจอยาก
ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ได้สั่งไว้ว่าแค่ลดภาระการทำงานเท่านั้น ห้ามใช้โอกาสนี้ขี้เกียจ เป็นไปได้ว่าในอนาคตทุกคนต้องมีนาโนแมชชีนเป็นที่พึ่ง ดังนั้นการเพิ่มอัตราซิงโครไนซ์เป็นงานที่สำคัญมาก
และเหยียนลิ่วหยวนก็ทำตามคำสั่งของเริ่นเสี่ยวซู่อย่างเคร่งครัด เสี่ยวอวี้กำลังฉีกยิ้มอยู่ใกล้ๆ “พวกเธอสองพี่น้องนี่ช่างสรรหาที่สุดเลย”
ตั้งแต่เริ่นเสี่ยวซู่ได้สติมา ชีวิตทุกอย่างก็ดีขึ้นอีกครั้ง นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมครอบครัวถึงต้องมีหัวหน้าตระกูล
ขณะเดียวกันเหยียนลิ่วหยวนก็ช่วยเริ่นเสี่ยวซู่ที่หมดสติไปผ่านพ้นวันเวลาที่ยากลำบากที่สุด
มีแต่ภายใต้ความกดดันอันหนักหนาถึงจะมีการเติบโต
มีคนเดินเข้ามาหาเหยียนลิ่วหยวน และพยายามจะแอบเนียนเอาถั่วลิสงไป แต่คนฉลาดเช่นเหยียนลิ่วหยวนมีหรือจะถูกหลอกได้
บางคนก็คิดจะฉกถั่วลิสงไปจากเขา แล้วก็พบว่าถึงเหยียนลิ่วหยวนจะดูอายุน้อย แต่เขาดุร้ายถึงที่สุด ทั้งไม่มีใครสู้เขาไหวด้วย!
ใครที่พยายามจะขโมยอาหารของเขาล้วนนอนกองกับพื้นอยู่นานโข คนพวกนี้ต้องขอบคุณที่มีทหารสมาคมตระกูลหยางคอยสอดส่องอยู่ไม่อย่างนั้นคงได้ตายไปแล้ว
ทุกคืนเหยียนลิ่วหยวนต้องไปขอคำแนะนำจากเริ่นเสี่ยวซู่ว่าจะสาปแช่งเพื่อนอย่างไรดี…
เริ่นเสี่ยวซู่ก็จะชี้แนะไปอย่างใจเย็น “แค่สาปหลี่ชิงเจิ้งให้เขาสะดุดใบหัวไชเท้าจนล้ม”
“สาปให้หลี่ชิงเจิ้งฉี่ๆ อยู่ก็มีพุทราป่าตกใส่หัว”
“สาปให้หลี่ชิงเจิ้ง…”
ทั้งนี้ทั้งนั้น คือตั้งแต่เริ่นเสี่ยวซู่ได้สติมาก็ไม่มีใครขาดอาหารอีก
อีกทั้งปัญหางานหนักก็จัดการเรียบร้อย แรงงานที่ทำจึงเป็นวิธีการฝึกร่างกายไปในตัว ไม่จำเป็นต้องทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้ครบเกณฑ์อีก
ทว่าถึงพวกผู้หญิงจะไม่ต้องงานหนักแล้ว แล้วพวกเธอยังไม่ยอมลดงานตัวเอง พวกเธอคิดจะบีบคั้นตนเพื่อเพิ่มพูนพลังใจของตัวเอง
ค่ายผู้อพยพถูกสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ที่พักสิบกว่าหลังสร้างเสร็จภายในหนึ่งวัน แต่ในกระบวนการนี้ผู้ลี้ภัยก็มีการตั้งก๊กเหล่า
อย่างไรเสียที่พักสิบกว่าหลังก็ไม่พอให้คนอยู่ได้หมด ยังมีคนอีกมากที่ไม่มีที่อยู่อาศัย
กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ได้สร้างมาตรฐานไว้ว่าใครจะเป็นผู้ย้ายเข้าที่พัก หลังจากที่พักหลังแรกสร้างเสร็จ ที่พักหลังอื่นๆ ที่เสร็จแล้วก็จะตกไปอยู่ในมือของผู้ที่ดุร้ายมากกว่า มีพลังมากกว่า
กองร้อยเสริมมองผู้ลี้ภัยสองกลุ่มสู้กันจากข้างสนาม พวกเขาถึงกับพนันกันเองด้วยซ้ำว่าฝ่ายไหนจะได้ที่พักไป
ทหารกองร้อยเสริมเหล่านี้ได้พบแหล่งบันเทิงใหม่แล้ว
เพราะถ้าผู้ลี้ภัยมัวแต่สู้กันเอง พวกเขาก็จะไม่มีเรี่ยวแรงมาก่อการ และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ทหารสมาคมตระกูลหยางรู้สึกดีจริงๆ
เหยียนลิ่วหยวนกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ “ตอนนี้ผู้ลี้ภัยแบ่งกันเป็นหลายก๊กหลายเหล่า มีกลุ่มหนึ่งที่มีแต่คนดุร้าย พวกเขาเลยตั้งหลักได้ไว ผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ ก็หวาดกลัวพวกเขา อีกกลุ่มก็เป็นพวกอดีตเจ้าหน้าที่ในป้อมปราการ มีผู้ลี้ภัยหลายคนคิดว่าถ้าคอยสนับสนุนคนพวกนี้ หลังสมาคมตระกูลหลี่กลับมามีอำนาจอีกพวกเขาก็จะกลับมาตั้งตัวได้ ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นผู้อพยพธรรมดา เป็นคนอ่อนแอที่รวมกลุ่มกันเพื่อคอยปกป้องกันเอง”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วว่า “ไม่ต้องกลัวพวกเขา และก็ไม่ต้องไปหาเรื่องใครด้วย”
เหยียนลิ่วหยวนพึมพำเสียงเบา “ก็เป็นคนจากในป้อมกันหมด ทำไมพวกเราจะหาเรื่อง…ก็ได้ๆๆ ผมจะจำไว้”