the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 299 อำนาจแห่งไพ่โป๊กเกอร์!
พลังบงการคำสาปของเหยียนลิ่วหยวนถูกเริ่นเสี่ยวซู่ทำให้กลายเป็นวิธีผลิตอาหารสุดพิเศษไปแล้ว นี่ทำให้จิตใต้สำนึกของเหยียนลิ่วหยวนเกิดแนวคิดที่ว่าอยากได้อาหารเมื่อไรก็สาปผู้อพยพคนอื่นเอา
ในสถานการณ์ที่ทุกคนไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น หลี่ชิงเจิ้งได้กลายเป็นตัวนำโชคของกลุ่มไปเสียแล้ว
ส่วนเรื่องพลังของเหยียนลิ่วหยวนนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ตั้งใจว่าเก็บเป็นความลับไว้ก่อนน่าจะดีกว่าเพราะพลังนี้มันประหลาดเกินไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจทำความเข้าใจมันได้ทั้งหมด
บางครั้งพลังอันเป็นนามธรรมเช่นนี้ก็มีแต่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากกว่าเดิมไปเสียเปล่าๆ ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงบอกให้เหยียนลิ่วหยวนเก็บเป็นความลับไปก่อน มีแค่เหยียนลิ่วหยวน เริ่นเสี่ยวซู่ เสี่ยวอวี้ที่ทราบเรื่อง
เพราะอย่างนั้นหลี่ชิงเจิ้งจึงกำลังสับสนจริงๆ เขาได้กลายเป็นตัวนำโชคในตำนานของกลุ่มจริงๆ เหรอ แต่ทำไมก่อนจะเจออาหงอาหารเขาต้องเจอโชคร้ายสักอย่างก่อนตลอดเลยล่ะ…
ปกติแล้วถ้ามีผู้มีพลังพิเศษคนไหนพบว่าตัวเองบงการคำสาปได้ พวกเขาคงใช้ไปในแนวสู้รบอหังการอะไรเช่นนั้น
แม้แต่เหยียนลิ่วหยวนก็คิดแบบนั้น ซึ่งไม่แปลกอะไรเลย ทว่าเขาประเมินวิถีความคิดของเริ่นเสี่ยวซู่ต่ำไปเสียแล้ว…
เขากลับมายังที่พักในช่วงค่ำ หัวหน้าผู้อพยพก็เข้ามาถามหาเหยียนลิ่วหยวน “นายหาอาหารเก่งมาก สนใจจะมาเข้าร่วมกับเราไหม”
เหยียนลิ่วหยวนไม่พอใจทันที “เอ็งนั่นแหละที่แม่*หาอาหารเก่ง!”
เขามีพลังบงการคำสาปแสนน่าเกรงขามโว้ย ทำไมมันกลายเป็นทักษะหาอาหารในแดนรกร้างได้เสียฉิบ
หัวหน้าผู้อพยพตะลึง ถ้าเป็นผู้ลี้ภัยจากป้อมปราการคนอื่นๆ พวกเขาย่อมหลบหน้าเหยียนลิ่วหยวนอยู่แล้ว แต่ว่าผู้อพยพนั้นต่างออกไป พวกเขาสู้ดิ้นรนเอาตัวรอดมาตลอดชีวิต พวกเขาย่อมสัมผัสได้ว่าเหยียนลิ่วหยวนเป็นพวกเดียวกันตน จึงไม่กลัวที่จะเข้าหาเขา ที่จริงหัวหน้าผู้อพยพผู้นี้ขณะอยู่ในเมืองน้อยก็ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความดุร้าย
หัวหน้าผู้อพยพยิ้มกล่าว “ฉันชื่อเฉาจวินเผิง เรียกฉันว่าพี่เฉาก็ได้ ยุคสมัยแบบนี้พวกเราต้องเกาะกลุ่มกันเอาตัวรอดสิ ในกลุ่มนายมีผู้หญิงตั้งหลายคน แถมยังมีคนเจ็บเป็นภาระอีก นายจะทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน พวกเขาคงไม่คิดจะพึ่งนายอย่างเดียวทุกอย่างหรอกใช่ไหม”
สำหรับสายตาคนภายนอก กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ดูกำลังจะพึ่งพิงความช่วยเหลือจากเหยียนลิ่วหยวน เป็นเพราะว่างานอำมหิตทุกอย่างล้วนต้องผ่านมือเหยียนลิ่วหยวนทั้งหมด
แต่เหยียนลิ่วหยวนแค่นเสียง “พี่เฉา? คิดว่านายมีค่าพอจะให้ฉันเรียกแบบนั้นเหรอ บนโลกนี้มีคนเดียวที่เหมาะจะเป็นพี่ชายฉัน”
เฉาจวินเผิงพูดเสียงนิ่ง “พูดถึงพี่ชายพิการของนายน่ะนะ? ก่อนหน้านี้เขาอาจจะแข็งแกร่งมาก แต่ฉันได้ยินมาจากหมอว่าเขากระดูกหักหลายแห่งเลยนี่ คิดเหรอในอนาคตเขาจะลุกขึ้นมาได้อีกน่ะ แต่ต่อให้เขาลุกขึ้นมา ก็ต้องกลายเป็นคนไร้ค่าไปตลอดชีวิต ฟังฉันนะ โลกแบบนี้นายจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้ เขาจะเป็นตัวถ่วงนายไปเปล่าๆ”
จากนั้นเฉาจวินเผิงก็ต้องกระโดดถอยหลังไปห้าหกเก้าเพราะเห็นเหยียนลิ่วหยวนชักมีดออกมาจากแขนเสื้อ
เหยียนลิ่วหยวนพูดเสียงเย็น “ไอ้เวรที่ไม่รู้จักสูงต่ำ มองยังไงก็เป็นคนต่ำช้า คิดเหรอว่าแค่มีผู้อพยพคอยเชิดชูแล้วจะกลายเป็นคนสำคัญจริงๆ ไปน่ะ!”
ชีวิตนี้เหยียนลิ่วหยวนเกลียดการได้ยินคนพูดถึงเริ่นเสี่ยวซู่ในทางไม่ดีที่สุด ใจเขาตั้งมั่นแล้วว่าจะฆ่าเฉาจวินเผิงให้ได้ เริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่ในที่พักตลอดย่อมได้ยินคำพูดของเฉาจวินเผิง เหยียนลิ่วหยวนจะปล่อยให้คนอื่นพูดดูหมิ่นเหยียดหยามเริ่นเสี่ยวซู่แบบนั้นได้อย่างไร
ทุกคนรู้ดีว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นพี่ชายของเหยียนลิ่วหยวน หมอคนที่มาดูอาการของเริ่นเสี่ยวซู่ปากสว่าง ผู้อพยพคนอื่นๆ จึงรู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังจะกลายเป็นผู้พิการ
แต่เริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกรู้ดีว่าใครคือผู้บงการที่แท้จริงของกลุ่ม เริ่นเสี่ยวซู่จะกลายเป็นคนพิการเหรอ ไม่มีทาง!
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็พูดออกมาจากที่พัก “ลิ่วหยวน พูดแบบนั้นกับคนอื่นได้ยังไง ขอโทษซะ”
เหยียนลิ่วหยวนยิ้มให้เฉาจวินเผิงแล้วว่า “โทษที ไม่ควรหลุดปากไปว่านายเลย นายดูไม่เลวนะ”
แต่พอพูดจบปุ๊บ ก็ได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่พูดว่า “ฉันบอกให้นายขอโทษ ไม่ได้บอกให้โกหก”
“อ้อ” เหยียนลิ่วหยวนว่า “โทษทีๆ”
เฉาจวินเผิงแค่นเสียง “นายมีสมาชิกกี่คน คิดจริงๆ เหรอว่าพวกเราไม่กล้าแตะต้องพวกนายน่ะ ยังเด็กแต่ทำตัวมารยาททรามขนาดนี้แล้ว แล้วเจอกันไซต์ก่อสร้างพรุ่งนี้ หลังจากตายแล้ว ดูสิจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายตัวเอง ไหนยังจะพวกเด็กสาวในกลุ่มอีก ถึงเวลาต้องเจอกับชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย!”
ถึงพวกทหารจะไม่มายุ่มย่ามกับการสู้กันในค่าย แต่ว่าห้ามฆ่าแกงกันเด็ดขาด ถ้าฆาตกรรมใคร ก็จะถูกทุบตีอย่างหนักและต้องทำงานหนักเพิ่มสองเท่าเป็นบทลงโทษ แต่ว่าในไซต์ก่อสร้างไม่ได้มีกฎเช่นนั้น
พอเหยียนลิ่วหยวนกลับมาในที่พักแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันจัดการเอง”
เหยียนลิ่วหยวนผงะ เขารู้ดีว่าคำขู่ของอีกฝ่ายนั้นมันข้ามเส้นของเริ่นเสี่ยวซู่ไปแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน เฉาจวินเผิงคงได้ตายคาที่ตรงนี้ไปแล้ว แต่เริ่นเสี่ยวซู่จะจัดการเรื่องนี้อย่างไรนะ
เริ่นเสี่ยวซู่ขยับมือขาเป็นการยืดเส้นเล็กน้อย แม้จะเพิ่งผ่านมาไม่ถึงสิบวัน แต่กระดูกที่แตกหักก็เริ่มผสานกันหน่อยๆ แล้ว แรงมากๆ อาจยังใช้ไม่ได้ แต่ถ้ามีนาโนแมชชีนช่วยเหลือก็ยังพอเดินได้อยู่
เริ่นเสี่ยวซู่พูด “เดี๋ยวตอนดึกฉันจะก่อเรื่องสักหน่อย พวกเราจะใช้โอกาสนั้นหนีไปจากที่นี่ จับตาดูสถานการณ์ข้างนอกไว้”
ดวงตาเหยียนลิ่วหยวนเปล่งประกาย “ได้!”
พอตกดึก เฉาจวินเผิงและพรรคพวกกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ ผู้อพยพกลุ่มหนึ่งจับกลุ่มกันเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดที่พวกทหารกองร้อยเสริมให้มา ไม่รู้ว่าทหารกองกำลังเสริมนี้ใช้งานมานานแค่ไหนแล้วเพราะสภาพไพ่ยับเยินมาก
แต่สำหรับผู้อพยพ มีไพ่ให้เล่นในช่วงเวลาแบบนี้ก็ดีถมเถ
ถ้าพวกเขาอยากจะร่วมมือกันค่ายผู้อพยพ อับดับแรกคือต้องมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับทหารสมาคมตระกูลหยางก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะถือว่าเป็นการร่วมกลุ่มกันอย่างผิดกฎและจะถูกลงโทษข้อหาคิดก่อการ ไม่กี่วันก่อนเฉาจวินเผิงจับไก่ป่าได้สองตัวและส่งไปให้ทหารกองกำลังเสริมเป็นเครื่องบรรณาการ เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงได้รับอนุญาตให้จับกลุ่มกันได้ ตอนนี้จึงกำลังเล่นไพ่ซึ่งเป็นของขวัญที่พวกทหารให้มาตอนนั้นอยู่
เฉาจวินเผิงว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เราถึงไซต์ก่อสร้างเมื่อไร พวกเราจะใช้ช่วงที่พวกทหารไม่ทันสังเกตลากเจ้าเด็กนั่นไปฆ่าหมกป่าซะ อย่าลืมปิดปากเจ้าเด็กนั่นล่ะจะได้ร้องขอความช่วยเหลือไม่ได้ หวังฟู่กุ้ยเองก็สนิทกับพวกทหารไม่เลว พวกเราไม่อยากเจอปัญหา”
“หวังฟู่กุ้ยก็แค่คนรับใช้คอยบริการน้ำชาไม่ใช่เหรอไง จะกลัวอะไรกัน” ชายผู้หนึ่งตะโกนเสียงดัง “แต้มสามหนึ่งใบ!”
รอบหนึ่งเล่นได้แค่สามคน ดังนั้นคนที่เหลือจึงนั่งมุงคอยฟังคอยดูอยู่รอบๆ กลิ่นเท้าตลบอบอวลในที่พัก
“แต้มสี่อีกใบ” เฉาจวินผิงจั่วไพ่วางลงบนโต๊ะ
แต่ตอนนั้นเองก็มีมือหนึ่งผลุบมาจากด้านข้างและโยนไพ่ ‘สามแต้ม’ มาสี่ใบบนโต๊ะ
เฉาจวินเผิงผรุสวาททันที “ฉันเพิ่งลงแต้มสี่ แต่นายเล่นลงสามแต้มสี่ใบเลยเหรอวะ! เล่นเป็นเปล่าเนี่ย หา? แล้วเรามีคนเล่นครบสามคนแล้วด้วย ไพ่สามแต้มสี่ใบมาจากไหนวะ คิดจะโกงกันเหรอ!”
“เอ๋ ไม่ใช่แล้ว ฉันไม่ได้เป็นคนลงไพ่พวกนั้นนะ” มีคนว่า
เฉาจวินเผิงกวาดตามองไปถาม “ใครโยนไพ่สามแต้มสี่ใบนี้ออกมา”
แต่ตอนนั้นเอง ไพ่สามแต้มทั้งสี่ใบบนโต๊ะก็พลันทอแสงและร้อนขึ้นเรื่อยๆ
เกิดเสียงตู้มดังสนั่น หลังคาที่พักไม้ที่เพิ่งสร้างใหม่ปลิวลอยขึ้นฟ้า ทุกคนข้างในดั่งไก่ในหม้อตุ๋น ไม่มีใครรอดพ้นแรงระเบิดไปได้!
พอเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเสียงข้างนอก ก็หันมาพูดกับพวกหวังฟู่กุ้ยทันที “เตรียมตัวหนี!”