the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 3 พระราชวัง
เริ่นเสี่ยวซู่ผล็อยหลับไป หลังจากไปเฝ้ารออยู่ในดินแดนรกร้างตั้งนาน สุดท้ายก็จับนกกระจอกมาได้ตัวหนึ่ง ถึงแม้เขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนนิ่งอยู่เฉยๆ บนพื้น แต่กับคนที่มีประสบการณ์จะทราบดีว่าการต้องตื่นตัวตลอดเวลาในสภาพแบบนั้นมันเหนื่อยขนาดไหน
ก่อนที่จะหลับไป เขาได้สั่งเหยียนลิ่วหยวนไว้แล้วว่า “ถ้าเห็นคนพวกนั้นอีกก็อยู่ให้ห่างไว้ ไม่มีทางที่พวกนั้นจะไม่รู้ว่าเขาจิ้งซานอันตรายขนาดไหน คนส่วนใหญ่ล้วนเลี่ยงที่จะผ่านทางนั้นกัน แต่พวกนั้นก็ยังจะใช้เส้นทางนี้อยู่อีก สัญชาตญาณฉันบอกว่าต้องไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายเด็ดขาด”
“ได้” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “เข้าใจแล้ว”
บอกตามตรง เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนนั้นค่อนข้างเป็นกลุ่มที่แปลกทีเดียว ไม่กี่ปีก่อน พวกเขายังไม่รู้จักกันเลย ภายหลังเริ่นเสี่ยวซู่ไปพบความลับของเหยียนลิ่วหยวนอย่างไม่ได้ตั้งใจ เลยตัดสินใจที่จะคอยปกป้องเด็กชายไว้ นอกจากนี้อาการปวดหัวของเขายังเป็นปัญหาติดตัวมาเนิ่นนาน ทั้งต้องการให้คนมาเฝ้าเขาช่วงกลางคืนด้วย
ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่บอกเหยียนลิ่วหยวนว่าพวกเขาจับกลุ่มโดยมีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ตลอดช่วงหลายปีมานี้ ก็ไม่ทราบอย่างแน่ชัดแล้วว่าความร่วมมือนี้มีอารมณ์ร่วมด้วยหรือยังคงเป็นเพราะมีผลประโยชน์ต่อกันและกันอยู่กันแน่
เหยียนลิ่วหยวนที่ยืนยามอยู่ข้างนอกฉลาดเฉลียวมาก แต่ต่อหน้าเริ่นเสี่ยวซู่นั้นกลับทำตัวเป็นแกะน้อยแสนเชื่อฟังยิ่ง
บางครั้งเหยียนลิ่วหยวนจะพูดว่า ที่เขายังมีชีวิตรอดอยู่ได้เป็นเพราะเริ่นเสี่ยวซู่เสี่ยงชีวิตช่วยไว้ แต่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่กลับไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เพียงแค่อยากรู้นักว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจเขากันแน่ คืนนี้เขาเฝ้ารออยู่นาน หวังว่าจะได้เห็นว่า ‘อาการป่วย’ ที่สร้างปัญหาให้เขาตลอดมานั้นหายดีหรือยัง แต่สุดท้าย ‘ความสับสนอลหม่าน’ ก็ไม่โถมเข้ามา
ดูเหมือนว่าในช่วงที่เขาอยู่ในสภาวะสับสนนั้น พระราชวังหลบซ่อนอยู่ที่นั่นมาตลอด แต่ตอนนี้กลุ่มหมอกแห่งความปั่นป่วนโกลาหลได้หายไปแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่อยากรู้นักว่าข้างในพระราชวังสภาพเป็นอย่างไร
พอเหยียนลิ่วหยวนเห็นเริ่นเสี่ยวซู่นอนลงที่ข้างกาย เขาก็ลุกขึ้นไปหยิบมีดกระดูก แล้วนั่งอยู่ตรงม่านประตูทางเข้ากระท่อมอย่างเงียบงัน นี่ก็ใกล้ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว จึงรู้สึกหนาวอยู่บ้าง
ทันใดนั้นเองฝนก็หยุดตก
เสียงฝีเท้าดังมาจากนอกม่านประตู เสียงรองเท้ากระทบถนนโคลนหลังฝนตกจนเกิดเสียงเฉอะแฉะอย่างเป็นเอกลักษณ์
มีคนยกมุมม่านประตูขึ้น แต่ก่อนที่ผู้มาเยือนจะได้ยกม่านไปอีกทาง มีดของเหยียนลิ่วหยวนก็พุ่งปราดเข้าจ่อยังลำคอของคนผู้นั้นแล้ว
เป็นใบหน้างดงาม สตรีงดงามยืนอยู่หน้าประตู
เหยียนลิ่วหยวนเห็นหญิงสาวแล้วก็ขมวดคิ้ว เธอไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าอะไร อาศัยอยู่แถวนี้นี่เอง
หญิงสาวยิ้ม “ลิ่วหยวน ทำไมยังตื่นอยู่อีกล่ะ แล้วเสี่ยวซู่ไปไหน ได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว”
“หลับไปแล้วน่ะพี่เสี่ยวอวี้” เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม “ถ้ามีอะไรก็บอกผมไว้ก่อนได้เลย”
ใบหน้าเสี่ยวอวี้ดูแปลกๆ อยู่บ้าง “คราวนี้ตอนออกไปเขาได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า”
“มือโดนนกกระจอกจิก แต่พี่เสี่ยวอวี้ไม่ต้องมาเป็นห่วงพี่ชายของผมก็ได้มั้ง ยังไงพี่ก็อายุมากกว่าเขาตั้งแปดปีเลยนะ” หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่หลับไป เวลาเหยียนลิ่วหยวนต้องเผชิญหน้ากับบุคคลภายนอกก็แปรเปลี่ยนมาเป็นผู้ใหญ่เกินวัยทันที แม้ว่าจะเป็นคนรู้จักมักคุ้น แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรออกมา เขาก็ไม่ได้ขยับมีดออกจากคอของเธอเลย
เสี่ยวอวี้ควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าที่มักจะหิ้วไปไหนต่อไหนขึ้นมาจุด มันเป็นบุหรี่แบบม้วนยาสูบที่ได้รับการแจกจ่ายจากเหมืองถ่านหิน โรงไฟฟ้า หรือสถานที่อื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของป้อมปราการ
เหล่าผู้ใช้แรงงานไม่น้อยที่ไปทำงานนั้น ไม่เพียงแต่ไปเพื่อเงินและอาหารอย่างเดียว ยังรวมถึงพวกบุหรี่นี่ด้วย เริ่นเสี่ยวซู่เคยอธิบายให้เหยียนลิ่วหยวนฟังว่าบุหรี่พวกนี้เหมือนจะใส่สารที่ทำให้เกิดการเสพติดอย่างหนัก
แต่เห็นได้ชัดว่าบุหรี่ที่เสี่ยวอวี้มี ไม่ได้มาจากสถานที่ทำงานเหล่านั้น
เสี่ยวอวี้จุดไฟ สูดเข้าไปสองฟอด ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ “เจ้าผีน้อย ฉันเห็นพวกเธอสองคนเป็นน้องชายหรอก”
“อ้อ” จู่ๆ เหยียนลิ่วหยวนก็ถาม “พี่เป็นหวัด?”
เสี่ยวอวี้หัวเราะ “ใช่ เสียงฉันฟังดูแหบแปลกๆ เหรอไง”
“เปล่า” เหยียนลิ่วหยวนส่ายหัวแล้วหัวเราะ “พอดีเห็นว่าหลังจากสูบเข้าไปแล้ว ควันไม่ออกมาจากรูจมูกข้างหนึ่งน่ะ”
เสี่ยวอวี้ “…”
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เสี่ยวอวี้รู้สึกว่าเหยียนลิ่วหยวนไม่ค่อยชอบเธอนัก
“งั้นฉันไปก่อนแล้วกัน” เสี่ยวอวี้พูด “พี่ชายเธอตื่นเมื่อไหร่ก็ฝากบอกด้วยนะว่าฉันมาหา”
“ได้” เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม “เดี๋ยวจะบอกให้”
หลังจากเสี่ยวอวี้ไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็พูดขึ้นจากข้างหลังเหยียนลิ่วหยวน “ต่อไปอย่ารังแกพี่เสี่ยวอวี้อีก สำหรับเธอเองชีวิตก็ไม่ง่ายนักหรอก”
“โธ่พี่ เธอไม่บริสุทธิ์นะ” เหยียนลิ่วหยวนท้วง “แถมที่เธอเข้าใกล้พี่ ก็เพราะรู้ว่าพี่ออกไปล่าสำเร็จตลอดหรอก”
“แถวนี้มีใครบริสุทธิ์ด้วยเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง “ผู้ใดบริสุทธิ์ ย่อมไม่อาจอยู่รอดบนโลกใบนี้ได้ ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่รอด รักษาระยะห่างจากเธอได้ แต่ต้องไม่ไปหยอกล้อเล่นเธอ”
ในเมืองนี้ หญิงบริสุทธิ์ไร้สามีไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้หรอก
เริ่นเสี่ยวซู่ตกอยู่ในห้วงความคิดพักหนึ่งก่อนจะพูด “เธอยังไม่เคยบอกว่าชอบฉัน แถมนะ นายมั่นใจเหรอที่เธอเข้าใกล้ฉันเพราะฉันล่าสำเร็จน่ะ ไม่ใช่ว่าเข้าใกล้เพราะฉันหล่อเหลาหรอกเหรอ”
“…นี่พี่ชาย ทุกคนไม่ได้ล้างหน้ามาหลายเดือน มองไปก็หน้าตาเหมือนๆ กันหมดแหละ” เหยียนลิ่วหยวนมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างพูดไม่ออก “ไม่ใช่ว่าพี่หลับไปแล้วเหรอ ทำไมยังตื่นอยู่อีกล่ะ”
“กำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อยน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่อธิบายแบบรวบรัด
ที่เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่หลับ เป็นเพราะกำลังสำรวจความลับของพระราชวังอยู่
ข้างในพระราชวังทรงกลม ที่กำแพงเรียงรายไปด้วยตู้ไม้เก่าเก็บ ทำให้ดูราวกับห้องแสดงสินค้าขนาดใหญ่อย่างไรอย่างนั้น แต่เขากลับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดว่าในตู้นั้นมีอะไรอยู่ เพราะมีหมอกดำปกคลุมอยู่ทั่ว
ตรงกลางห้องนั้น มีเพียงแค่โต๊ะตัวหนึ่งที่มีเครื่องพิมพ์ดีดทองเหลืองวางอยู่ มันเป็นเครื่องพิมพ์ดีดตกยุค ที่ไม่ได้เห็นมานานมากแล้วตั้งแต่เกิดภัยพิบัติ
เครื่องพิมพ์ดีดนี้มีเพียงแป้นทองเหลือง 24 แป้น ในแต่ละแป้นสลักไว้ด้วยตัวอักษร: เท่าเทียม เที่ยงตรง สัตย์ซื่อ ความจริง มิตร เมตตา มั่งคั่ง ฮึกเหิม…
กล่าวคือเต็มไปด้วยพลังงานด้านบวก
แต่ดูเหมือนว่าเครื่องพิมพ์ดีดนี้จะใส่แผ่นหนังสำหรับเขียนหนังสือจำนวนเหลือประมาณ มันสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเองโดยไม่มีใครไปแตะต้องแป้นทองเหลืองนั่นเลย ตอนนี้บนแผ่นหนังถูกพิมพ์ไว้ด้วยตัวอักษรเล็กๆ เป็นประโยคสองบรรทัดที่ปรากฏขึ้นมาในหัวเมื่อตอนบ่าย…
[ภารกิจ: ให้เหยื่อที่ล่ามาได้กับคนอื่น
ภารกิจสำเร็จ รางวัล: คัมภีร์เรียนรู้ทักษะขั้นพื้นฐาน ท่านสามารถใช้เพื่อเรียนรู้ทักษะจากผู้อื่นได้]
เริ่นเสี่ยวซู่บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเขากำลังจินตนาการไปเองหรือมีคำอธิบายอื่นอีก ตามตำนานว่าไว้ บางคนสามารถสร้างพระราชวังความทรงจำ[1]ได้ และในพระราชวังความทรงจำนั้นจะสามารถสร้างโลกมายาฝันได้โดยขึ้นอยู่กับระดับพลังใจของคนผู้นั้นด้วย
แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าพระราชวังนี้…ดูต่างไปจากพระราชวังความทรงจำที่อยู่ในคำอธิบาย
ทำไมมันถึงอยากให้เขาเอาเหยื่อที่ล่ามาได้ไปให้คนอื่นล่ะ เจ้าเครื่องพิมพ์ดีดนี่อยากให้เขาเป็นคนดีงั้นเหรอ
เป็นคนดีในโลกที่จริยธรรมเป็นของหรูหราฟุ่มเฟือยเนี่ยนะ?
ไม่มีทางเสียหรอก!
ตอนนี้จิตสำนึกเขากำลังยืนอยู่กลางพระราชวังอันกว้างใหญ่ เขามองไปยังเหล่าบรรดา ‘ตู้แสดง’ รอบกาย ดูเหมือนในตู้นั้นจะมีของลอยไปมา ทว่ากลับซ่อนอยู่ภายใต้ความมืดมิด กลุ่มหมอกทมิฬเหล่านี้บดบังไม่ให้เริ่นเสี่ยวซู่มองเห็นได้ว่าข้างในมีอะไรลอยอยู่
พวกตู้แสดงเหล่านี้เชื่อมต่อไปถึงยอดโดมของพระราชวัง ทำให้มันดูราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดมหึมา เริ่นเสี่ยวซู่เดินเข้าไปยังตู้หนึ่ง ก่อนจะพยายามเอื้อมมือไปสัมผัสสิ่งของที่ลอยอยู่ใต้กลุ่มหมอก แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไร ก็ไม่อาจทะลุกำบังม่านหมอกทมิฬได้เลย
มันเป็นพลังอำนาจที่เขาไม่อาจสอดเข้าไปรู้ได้
หากอยากรู้ว่าพระราชวังแห่งนี้ดำรงอยู่จริงหรือเปล่า เริ่นเสี่ยวซู่คงได้แต่พิสูจน์ด้วยการกระทำแล้ว
[1] พระราชวังความจำ (Memory Palace) เป็นการจดจำสิ่งที่เราอยากจะจำ โดยการเชื่อมโยงเข้ากับสถานที่ต่างๆ ทำให้เราสามารถจดจำได้ง่ายยิ่งขึ้น หรือก็คือการ ‘ฝากความจำ’ ไว้ในสถานที่ที่เราคุ้นเคยนั่นเอง เทคนิคนี้มีชื่อดั้งเดิมว่า “memoria loci” ซึ่ง Loci เป็นภาษาลาตินแปลว่า “สถานที่” ผู้ริเริ่มทฤษฎีนี้คือซิโมนีเดส (Simonides) ในสมัยกรีกโบราณ