the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 302 สถานการณ์บีบเค้น หยางเสียวจิ่นช่วยเหลือ
- Home
- the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 302 สถานการณ์บีบเค้น หยางเสียวจิ่นช่วยเหลือ
ผู้ลี้ภัยเป็นกลุ่มคนที่โดนสถานการณ์ที่เพิ่งประสบมาทำเอาเสียขวัญไปหมด บางคนถึงกับฝันร้ายและสะดุ้งตื่นมากลางดึกด้วยความหวาดผวา
ดังนั้นพอมีระเบิด ผู้ลี้ภัยบางคนก็นึกว่ามีสงครามอีกครั้งและกรีดร้องให้คนอื่นๆ รีบวิ่งหนี เพราะอย่างนั้นผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ ก็วิ่งตามไปติดๆ อย่างไร้สติ
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระเบิดมาจากไหน!
ที่จริงประตูเงากับไพ่ระเบิดเป็นส่วนผสมอาวุธลับที่ทำให้ผู้อื่นตื่นตะลึงได้จริงๆ จุดระเบิดต่อไปคือที่ไหนไม่อาจรู้ได้เลย
ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่จะใช้วิธีนี้สร้างโกลาหลตั้งแต่นานนมแล้วก็ได้ เขาแค่ไม่ต้องการเสียเหรียญคำขอบคุณไปกับการใช้งานแบบนี้
ตอนแรกเขามีเหรียญคำขอบคุณเก้าร้อยเหรียญแล้ว อีกนิดก็ใกล้ได้ปลดล็อคอาวุธใหม่แล้วแท้ๆ
แต่ตอนนี้เหรียญคำขอบคุณเขาลดวูบมาเหลือแค่แปดร้อยกว่าเหรียญ
เริ่นเสี่ยวซู่โยนไพ่สามแต้มสี่ใบไปสิบกว่าชุดในรอบเดียว ส่วนชุดไพ่ที่ทรงพลังกว่านั้นเขายังเก็บไว้ในมือก่อน
ตอนที่กำลังเตรียมว่าจะใช้งานนั้น เขาวางแผนว่าจะโยนออกไปสุ่มๆ ให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายด้วย แบบนี้ความโกลาหลจะได้หนักหนากว่าเดิม แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาก็นึกถึงเฉินอู๋ตี๋ เลยตัดสินใจโยน ‘ระเบิด’ ไปยังพื้นที่ที่ไม่คนและอยู่ใกล้ป้อมของทหารสมาคมตระกูลหยางแทน
ถ้าเป็นตัวเขาเมื่อก่อน คงไม่ชะงักแม้แต่ครึ่งวินาที…
สิ้นวัน แต่อาทิตย์ยังไม่สิ้นแสง
กลุ่มเริ่นเสี่ยวซู่แอบเนียนเข้าไปในฝูงชนและคืบหน้าไปทางตะวันตก ขณะเดียวกันทหารสมาคมตระกูลหยางก็กำลังเร่งรีบกลับไปช่วยพรรคพวกที่เต็นท์ตัวเอง ไม่มีเวลามาสนใจหรอกว่าผู้ลี้ภัยกำลังหนีไปทางไหนบ้าง
ตอนที่ผู้ลี้ภัยหนีออกจากค่ายผู้อพยพ ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้ายามเพียงยิงเตือนสองสามนัดก็ล้มเลิกไป รู้ดีว่าอย่างไรก็ห้ามผู้ลี้ภัยที่กำลังหนีตายอย่างเสียสติไม่ได้อยู่แล้ว
เหยียนลิ่วหยวนอยู่ข้างเริ่นเสี่ยวซู่ตลอดเวลาเพราะเขายังอ่อนแอมาก ต้องคอยกันไม่ให้มีคนเผลอชนเขาล้ม
กว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะซ่อมกระดูกตัวเองได้ไม่ง่ายเลย ถ้ามันหักอีกรอบกว่าจะจัดกระดูกได้ต้องเจ็บปวดกว่าเดิมมากแน่ ดั้งนั้นถ้ามีคนเข้าใกล้เริ่นเสี่ยวซู่ เหยียนลิ่วหยวนก็ผลักออกไปทันที
“พี่ พวกเรากำลังไปไหนกันน่ะ” เหยียนลิ่วหยวนว่า
“ป่าบนภูเขาทางตะวันตก” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “พวกเราจะไปซ่อนกันในป่า”
แต่ตอนนั้นเองก็มีเสียงเครื่องยนต์คำรามมาจากทางใต้ เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักเท้าหันไปมองและเห็นว่าเป็นรถบรรทุกทหารสิบกว่าคันกำลังขับกลับมาจากแนวหน้า
รถขบวนนี้ไม่ได้มาหาเขาแน่ๆ ถึงทหารจะเรียกกำลังเสริมมาหลังมีระเบิดในค่ายผู้อพยพ แต่ไม่ว่าสมาคมตระกูลหยางจะฝึกทหารมาดีขนาดไหน พวกเขาก็ไม่น่ามาถึงไวขนาดนั้นหรอก ดังนั้นกองทหารนี้น่าจะเป็นทหารสมาคมตระกูลหยางที่กลับมาจากสนามรบในแนวหน้า!
“โชคร้ายฉิบเป๋ง!” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ
เขาเสียเหรียญคำขอบคุณตั้งมากเพื่อสร้างโอกาสให้หลบหนี แต่โชคร้ายจริงๆ ที่แผนการไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ ดันมาเจอทหารสมาคมตระกูลหยางที่เพิ่งกลับมาจากแนวหน้าเสียได้!
เริ่นเสี่ยวซู่หันกลับพากลุ่มตัวเองกลับไป เพราะอย่างไรเขาไม่อาจสู้ซึ่งหน้ากับทหารของสมาคมตระกูลหยางได้
พวกเขาเห็นว่าขบวนรถพบเห็นความวุ่นวายในค่ายผู้อพยพแล้ว พวกเขาแยกกำลังออกเป็นหลายๆ ส่วนเข้าขัดขวางตามเส้นทางของผู้ลี้ภัย
ผู้ลี้ภัยไม่ต่างไปจากแกะน้อยที่ถูกเลี้ยงให้เชื่อฟัง พอเห็นคนเลี้ยงแกะมาถึงก็หมอบราบคาบตามจิตใต้สำนึก
ทหารกระโดดลงจากรถและใช้ปืนกดดันให้ผู้ลี้ภัยกลับที่พัก “กลับที่พักตัวเอง! ใครฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกประหาร!”
ผู้ลี้ภัยหันหลัง และพวกเขาก็ได้รู้ว่าตอนนี้ระเบิดมันหยุดไปแล้ว
นายทหารที่ประดับยศพันโทพูดเสียงดัง “ใครทำหน้าที่ดูแลค่ายผู้อพยพนี้ แล้วทำไมถึงมีการก่อจลาจลได้!”
ทหารจากกองร้อยเสริมนายหนึ่งวิ่งออกมารายงาน “ครับท่าน ผมไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็มีระเบิดทั่วค่ายผู้อพยพ ที่ผู้ลี้ภัยหนีก็เพราะว่ากลัวกัน ส่วนผู้บังคับบัญชาพวกเราเสียชีวิตในหน้าที่แล้วครับ”
พันโทตะลึงไป “มั่นใจแล้วใช่ไหมว่ายึดอาวุธพวกเขามาหมด น่าจะรู้นี่ว่ามีโอกาสที่ในหมู่พวกเขามีสายลับซ่อนตัวอยู่น่ะ”
“พวกเรามั่นใจแล้วครับว่ายึดอาวุธมาหมด แต่ไม่รู้ว่าระเบิดพวกนั้นมาจากไหน” ทหารตอบ “ผมคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ ก่อนหน้าที่ก็มีระเบิดที่ผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้”
“เล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น” พันโทพูด
ผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ ยืนเหม่อนอกที่พักฟังพวกเขาคุยกัน ตอนนี้ในค่ายผู้อพยพมีฝุ่นตลบ ที่พักบางหลังก็มีไฟลุกโชน โชคดีที่ระหว่างที่พักไม่ได้ใกล้กันนัก ไฟเลยไม่โหมลามเป็นวงกว้าง
ทหารผู้นั้นมองไปรอบๆ และว่า “จู่ๆ ก็มีระเบิดในที่พักของผู้ลี้ภัยกลุ่มหนึ่ง พวกเราสอบสวนฆาตกรไปแล้ว แต่สุดท้ายพวกเราก็ถูกระเบิดด้วยเหมือกัน พวกเรายังไม่รู้ว่าพวกเขาทำได้ยังไง แต่ผมมีลางสังหรณ์ว่าสองเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกัน”
“เจอผู้ต้องสงสัยหมดหรือยัง” พันโทถาม
“เจอแล้วครับ” ทหารว่า “มีคนลงมือกับพวกเราหลังจากเริ่มสืบสวนผู้ต้องสงสัยกลุ่มนี้”
ตอนนี้นาโนแมชชีนในร่างของเริ่นเสี่ยวซู่กำลังส่งเสียงหึ่งๆ ในร่าง เขาเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบแล้ว
ถ้าสถานการณ์อยู่เหนือการควบคุม เขาต้องฆ่าฟันเปิดทางออก ชีวิตเขามีคนเสียสละให้มา เขาไม่มีทางยอมตายแบบนี้แน่ๆ!
เริ่นเสี่ยวซู่พูด “เป็นความผิดของฉันเอง”
เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนที่รู้จักสอดส่องตนเอง ตั้งแต่เขาเริ่มฆ่าผู้อพยพจนถึงการสร้างความวุ่นวายโดยรอบ แม้มันดูเหมือนเขาระวังตัวสูงและเตรียมตัวอย่างดี แต่พอคิดดูดีๆ แล้วก็ไม่ใช่เช่นนั้นเลย
ต่อให้ผู้อพยพพวกนั้นคิดจะฆ่าเหยียนลิ่วหยวนและข่มขู่ความปลอดภัยของผู้หญิงในกลุ่ม หรือความจริงที่ว่าพรุ่งนี้เหยียนลิ่วหยวนจะถูกลอบจู่โจมที่ไซต์ก่อสร้าง แต่แทนที่จะใช้ไพ่ระเบิด เริ่นเสี่ยวซู่น่าจะใช้วิธีที่ลับกว่านี้เพื่อจัดการปัญหา
แน่นอนว่าที่ทำเช่นนี้ลงไปเพราะเขาไม่อาจเคลื่อนตัวอย่างสะดวก ถ้าเขาสามารถออกไปทำงานในไซต์ก่อสร้างเองได้ เขามีวิธีร้อยแปดให้ผู้อพยพพวกนั้นตายอยู่ข้างนอกในแดนรกร้าง ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงไม่ตกอยู่ในสถานการณบีบคั้นเช่นนี้
ต่อไปเขาต้องระวังให้มากกว่านี้ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้กำลังคิดเรื่องว่าเขาฆ่าหรือไม่ฆ่าใครไหม แต่กำลังคิดว่าต้องฆ่าให้ได้อย่างหมดจดกว่านี้
“พี่” เหยียนลิ่วหยวนถาม “พวกเราเอาไงต่อดี”
“กลับไปที่พัก อย่าเพิ่งทำอะไร อย่าออกมาด้วย!” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง
หวังฟู่กุ้ยและคนอื่นๆ มองหลังเริ่นเสี่ยวซู่ เมื่อช่วงเวลาวิกฤตมาถึง ก็ยังเป็นเริ่นเสี่ยวซู่ที่รับความกดดันนั้นแทนทุกคน
“พี่…” เหยียนลิ่วหยวนตระหนก เขารู้อาการบาดเจ็บของเริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งดีขึ้น เขาสู้รบดุเดือดไม่ไหวแน่
“ลิ่วหยวน” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงหนักแน่น “สาปให้ฉัน…”
แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดเสร็จ ก็มีรถออฟโรดคันหนึ่งขับมาจากนอกค่ายผู้อพยพ ดูเหมือนว่ารถคันนี้จะขับมาจากทางเหนือ
รถนี้มาหยุดหน้ากลุ่มคน เด็กสาวสวมหมวกกระโดดลงมาแล้วว่า “ใครเป็นผู้บังคับบัญชาที่นี่ ให้เขามาหาฉัน”
พันโทขมวดคิ้วมุ่น เดินไปหาเธอ “คุณคือ?”
พันโทเห็นป้ายทะเบียนรถของอีกฝ่ายแล้ว เป็นป้ายสีดำที่มีตัวอักษรสีแดง ป้ายทะเบียนรถพวกนี้จะมีแค่สมาชิกหลักของสมาคมตระกูลหลักเท่านั้นที่ใช้ได้ ดังนั้นน้ำเสียงเขาจึงสุภาพขึ้นมาก
เด็กสาวโชว์ใบแสดงตน พันโทพูดอย่างสุภาพว่า “เป็นท่านนี่เอง เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยได้พบ”
“อืม” เด็กสาวพยักหน้านิ่งๆ “เห็นเด็กหนุ่มชื่อเริ่นเสี่ยวซู่แถวนี้ไหม ฉันกำลังตามหาตัวเขา”