the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 303 ขึ้นเหนือไปยังป้อมปราการ 88
ไม่มีใครในค่ายผู้อพยพเข้าใจเลยว่ามันเพิ่งเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมอยู่ๆ มีเด็กสาวโผล่มาหาคนที่นี่ได้ แถมพันโทของสมาคมตระกูลยังดูสุภาพกับเธอมากอีกด้วย นี่มันจะล้มครืนสามัญสำนึกไปหน่อยแล้ว อย่าบอกนะว่าเธอคือลูกหลานสายในของตระกูลหยาง? เธอเพิ่งพูดชื่อใครไปนะ…เริ่นเสี่ยวซู่?
จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินหยางเสียวจิ่นพูดย้ำ “ที่นี่มีใครชื่อเริ่นเสี่ยวซู่หรือเหยียนลิ่วหยวนหรือเปล่า ฉันมาพาตัวพวกเขาไป”
ผู้ลี้ภัยได้แต่รู้สึกริษยา เธอมาพาคนพวกนั้นไปจริงๆ เหรอ ดูจากลักษณะการพูดแล้ว ดูเหมือนว่าการถูกเธอพาไปนั้นเป็นเรื่องดี
เดี๋ยวก่อนนะ! ผู้ลี้ภัยอาจจะไม่คุ้นชื่อเริ่นเสี่ยวซู่เพราะปกติเขาจะนอนฟื้นตัวอยู่ตลอด คนอื่นๆ เลยไม่ค่อยมีภาพจำอะไรเกี่ยวกับเขานัก แต่ว่าชื่อเหยียนลิ่วหยวนนั้นคุ้นหูนักแหละ!
“พี่เสียวจิ่น พวกเราอยู่นี่” เหยียนลิ่วหยวนยกมือขึ้นตะโกน
หยางเสียวจิ่นตาทอประกาย ไม่นึกเลยว่าเธอจะเจอพวกเริ่นเสี่ยวซู่ที่นี่
หยางเสียวจิ่นที่โดนตัวทดลองตีกรอบล้อมได้แต่ตามลั่วซินอวี่หนีออกจากสนามรบของป้อมปราการ 108 ไป พอเธอกลับมาหาเริ่นเสี่ยวซู่อีกครั้งก็ไม่พบตัวพวกเขาแล้ว
หลังจากเดินทางอยู่ทางภาคเหนือด้วยความร้อนใจอยู่พักใหญ่ หลังจากได้ยินว่าที่นี่มีการก่อสร้างค่ายผู้อพยพ เธอจึงตัดสินใจจะมาเสี่ยงดวงดูที่นี่
เริ่นเสี่ยวซู่หันมองเหยียนลิ่วหยวนและถามเสียงต่ำว่า “นายไม่ได้ใช้พรหรือคำสาปอะไรใช่ไหม”
“เปล่า” เหยียนลิ่วหยวนส่ายหัว
ขณะกำลังอยู่ช่วงวิกฤติ หยางเสียวจิ่งกับลั่วซินอวี่ก็โผล่มาอย่างกะทันหันด้วยการขับรถออฟโรดฝ่าความมืดมิดยามค่ำคืน
รอบตัวเริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่นมีคนไม่น้อย พอหยางเสียวจิ่นเดินไปหาเริ่นเสี่ยวซู่ ผู้ลี้ภัยก็หลบทางราวทะเลแหวก
ราวนี่คือเวทีแสดง สองตัวละครที่อยู่ปลายเวทีคือดาราของค่ำคืนนี้
หยางเสียวจิ่นเดินไปหาเริ่นเสี่ยวซู่ จากนั้นเธอก็สำรวจมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เธอยังคงสวมหมวกตามปกติ ชุดกีฬาเข้ารูปก็ยังเป็นชุดเดิม “บาดเจ็บเหรอ”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “เผลอไปรับอาร์พีจีที่สมาคมตระกูลหลี่ยิงมา”
พันโทอ้าปากค้าง ใจคิด โม้ใช่ไหมนั่น โดนอาร์พีจียิงใส่แล้วยังจะยืนได้อีกเหรอ คิดว่าตัวเองเป็นใครเนี่ย แต่เขาก็นึกถึงตัวตนของหยางเสียวจิ่นได้ ดังนั้นคำพูดของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
จากนั้นหยางเสียวจิ่นก็กล่าวกับพันโทว่า “ฉันจะพาคนพวกนี้ไป ดำเนินเอกสารให้ด้วย”
พันโทพูด “พวกเรากำลังสอบสวนคดีที่เกี่ยวพันถึงสายลับอยู่ คนพวกนี้เป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ” ถึงเขาจะเกรงใจหยางเสียวจิ่นมาก แต่งานก็คืองาน
หยางเสียวจิ่นพูดเสียงนิ่ง “จะบอกว่าเพื่อนฉันคือสายลับ? แล้วฉันล่ะเป็นอะไร พวกเขาก็มาจากสมาคมตระกูลหยางเหมือนกัน ระดับของนายยังเข้าไม่ถึงข้อมูลนั้น ยังคิดจะจับพวกเขาอีกเหรอ”
“ไม่กล้าครับ” เสียงของพันโทอ่อนลง เขาหันไปหาทหารที่อยู่ด้านข้าง “ปล่อยพวกเขา!”
เริ่นเสี่ยวซู่ลอบถอนหายใจ ดีจริง ดูเหมือนเขาจะได้ตัวตนเพิ่มเป็นคนของสมาคมตระกูลหยางแล้ว ได้ครบหมดทุกสมาคมแล้วแน่ะ
เขาอดรำพึงไม่ได้ว่าตัวตนเขานี่ไม่ต่างไปจากข้อมูลลับสุดยอด หลังบันทึกลับของสมาคมตระกูลหยางหลี่ชิ่งถูกเปิดเผยในอีกห้าสิบปีให้หลัง ทุกคนคงได้ตะลึงกันยกใหญ่แน่
แต่ก็แน่ล่ะ ป่านนั้นสมาคมตระกูลหลี่คงไม่มีอยู่แล้ว
ผู้อพยพที่อยู่ใกล้ๆ ตะลึงพรึงเพริด ใต้เท้าแห่งสมาคมตระกูลหยางผู้นี้เป็นใครกัน ความริษยาเริ่นเสี่ยวซู่พุ่งทะลุฟ้าในบัดดล ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นผู้อพยพกันหมดหรอกเหรอ ทำไมจู่ๆ เขาก็กลายเป็นสมาชิกหลักของสมาคมตระกูลหยางได้ล่ะ แถมยังมีสาวสวยมารับเขากลางดึกเป็นพิเศษอีก!
ระหว่างที่หนีกัน ผู้ลี้ภัยก็อิจฉาอยู่แล้วที่กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่มีของกิน ให้หลังในค่ายผู้อพยพ ความอิจฉานั้นก็มลายหายไปเพราะต่างเป็นนักโทษเหมือนกันหมด แต่ตอนนี้ทุกคนก็ได้บรรลุแล้วว่ามันไม่ได้อย่างเช่นนั้นเลย!
หยางเสียวจิ่งนับจำนวนคนในกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่แล้วกล่าวกับพันโทว่า “ฉันจะเอารถบรรทุกขนส่งนายไปคันหนึ่ง”
พันโทรีบกล่าวกับทหารข้างกาย “ไปขับรถบรรทุกมา”
จากนั้นพันโทก็ถามต่อ “ท่านจะไปที่ไหนครับ”
หยางเสียวจิ่นตอบ “ป้อมปราการ 88”
พันโทตะโกน “เติมน้ำมันให้เต็มถัง!”
ดูแล้วการเดินทางจากที่นี่ไปยังป้อมปราการ 88 นั้นจะไกลมาก ไกลมากจนต้องใช้น้ำมันเต็มถัง
หยางเสียวจิ่งไม่ได้ขึ้นรถออฟโรดแต่ตามพวกเริ่นเสี่ยวซู่ขึ้นรถบรรทุกทหาร ลั่วซินอวี่ที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับรถของรถออฟโรดเบ้ปาก แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร
ที่ท้ายรถบรรทุก หยางเสียวจิ่นถามอีกครั้ง “อาการแย่มากไหม”
เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ข้างกันว่า “กระดูกหักสิบเจ็ดแห่ง สี่แห่งเป็นกระดูกหักย่อยครับ”
หยางเสียวจิ่นตะลึง เธอเห็นเขาเคลื่อนไหวไปไหนมาได้ก็นึกว่าอาการบาดเจ็บจะไม่เท่าไร แต่พอสำรวจเขาใกล้ๆ ก็เห็นว่าหน้าผากเขามีเหงื่อซึมเต็มไปหมด
ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะใช้นาแมชชีนเชื่อมกระดูกจนมันผสานกันได้หน่อยแล้ว แต่เวลาเคลื่อนไหวก็เจ็บมากอยู่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เริ่นเสี่ยวซู่มองหยางเสียวจิ่นแล้วว่า “ไม่เป็นไร อีกยี่สิบหรือยี่สิบกว่าวันก็หายแล้ว”
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้บอกเรื่องที่ว่าแม้หลังจากนี้ไปร้อยวัน จุดที่กระดูกเขาหักก็จะเปราะบางกว่าที่อื่นระดับหนึ่ง ดังนั้นเขาต้องใช้ระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนหรือสองเดือนถึงจะฟื้นตัวได้เต็มที่
หยางเสียวจิ่นว่า “ขึ้นเหนือไปไม่มีอันตรายอะไรแล้ว พักฟื้นอย่างสบายใจได้”
สรรพสิ่งเงียบไป ไร้ผู้เอ่ยเสียง
เริ่นเสี่ยวซู่โพล่ง “ผู้ก่อจลาจลกับสมาคมตระกูลนี่มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่”
เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยเรื่องนี้มานานมากแล้ว หยางเสี่ยวจิ่งบอกว่าลู่หย่วนไม่ได้มาจากผู้ก่อจลาจลแต่เป็นคนของสมาคมตระกูลหยาง แต่ว่าผู้ก่อจลาจลกับลู่หย่วนกลับร่วมมือปฏิบัติภารกิจด้วยกัน อีกทั้งหยางเสียวจิ่นเองก็มาจากสมาคมตระกูลหยางด้วย ดังนั้นจะบอกว่าผู้ก่อจลาจลและสมาคมตระกูลหยางนั้นมีต้นกำเนิดเดียวกันก็ไม่ผิด
แต่คำถามคือผู้ก่อจลาจลดูจะไม่สนใจเข้าร่วมในสงครามนี้เลย จากข่าวที่ถังโจวเล่ามา เขายังไม่ได้ยินเรื่องผู้ก่อจลาจลปรากฏตัวบนสนามรบเลย
หยางเสียวจิ่งพูด “ผู้ก่อตั้งผู้ก่อจลาจลคือน้าฉันเอง แต่ความตั้งใจจะรุกรานต่างแดนของสมาคมตระกูลชิ่งเพิ่มพูนขึ้นมากในหลายปีนี้ อุดมการณ์ของผู้ก่อจลาจลและสมาคมตระกูลหยางห่างไกลกันออกไปเรื่อยๆ มันมีคนในสมาคมตระกูลหยางที่สนับสนุนอุดมการณ์ของผู้ก่อจลาจลด้วย แต่ว่ามีไม่มากนักหรอก ดังนั้นผู้ก่อจลาจลเลยไม่เกี่ยวข้องกับกิจการภายในของสมาคมตระกูลหยาง และก็ไม่ได้เข้าร่วมในสงครามของพวกเขาด้วย”
เริ่นเสี่ยวซู่ฟังแล้วก็เข้าใจเรื่องราวบางประการ ผู้ก่อจลาจลน่าจะถูกก่อตั้งหลังน้าของหยางเสียวจิ่นกลายมาเป็นผู้มีพลังพิเศษ ขณะเดียวกันสมาคมตระกูลหยางก็ให้การสนับสนุนส่วนหนึ่งให้เธอจัดตั้งองค์กรผู้ก่อจลาจล
แต่ตอนนี้ฝ่ายหลักของสมาคมตระกูลหยางกำลังขยับขยายอำนาจอิทธิพล ผู้ก่อจลาจลและสมาคมตระกูลหยางก็มาถึงจุดที่ต้องแยกทางกัน
เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย “อุดมการณ์เบื้องหลังของผู้ก่อจลาจลคือการรักษาสันติภาพจริงๆ งั้นเหรอ”
หยางเสียวจิ่นส่ายหน้า “พวกเราไม่ได้กำลังรักษาสันติภาพ แต่ป้องกันไม่ให้สิ่งที่ทำลายโลกปรากฏขึ้นมาอีกในหมู่มนุษย์ หลายปีมานี้พวกเราทำลายสถานีทดลองนิวเคลียร์ไปสิบเจ็บแห่งแล้ว แต่ว่ายังไม่เจอของชิ่งเจิ่นสักแห่ง”