the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 306 สมาคมตระกูลชิ่งเปลี่ยนมือ
ภูเขาที่ตั้งอยู่ในป้อมปราการ 111 นั้นรู้จักกันในชื่อเขาแปะก๊วย ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทั่วทั้งเขาจะกลายเป็นสีเหลืองทอง พอถึงช่วงหน้าหนาวใบแปะก๊วยก็จะร่วงโรยอยู่ในหุบเขา เหลือเพียงแต่กิ่งไม้ไร้ใบ
ความรุ่งโรจน์ที่มาถึงจุดสิ้นสุดและถูกฝั่งกลบในดินโคลน
ชิ่งเจิ่นยืนนิ่งสายตาทอดมองภาพทิวทัศน์โรยราในหุบเขา จากนั้นเขาก็โพล่งหัวเราะแล้วว่า “น่าเสียดาย”
เป็นสามคำที่ชิ่งเจิ่นชอบพูดที่สุด
เลขาโจวที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วแล้วพูด “ทุกคน ถอดรองเท้าชิ่งเจิ่นออกและคุมตัวเขาขึ้นเขาแปะก๊วย!”
แต่ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าทางภูเขาแห่งเขาแปะก๊วยกลับไม่ขยับ เลขาโจวพูดอย่างมีโทสะ “กล้าขัดคำสั่งฉันงั้นเหรอ”
แต่ทหารทั้งสองนายยังคงนิ่งเงียบ ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเลขาโจว
ชิ่งเจิ่นยิ้ม มองทหารที่ดูอายุน้อยกว่าหน่อย “ฉันจำนายได้ นายชื่อจางอวี๋เกอ เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาฉัน หลังจากฆ่าคนของบริษัทหัวจ่งก็สร้างชื่อให้ตัวเองจนได้รับรางวัล”
ทหารที่ชื่อจางอวี๋เกอตื่นเต้นขึ้นมา เขายืนตัวตรงและตะโกน “ผมชื่อจางอวี๋เกอจากกองพลน้อยที่ห้า ไม่นึกเลยว่าท่านจะยังจำผมได้ครับ!”
ชิ่งเจิ่นหันไปมองทหารอีกคนและยิ้มว่า “นายคือหวังหาง เป็นทหารของฉันเหมือนกัน แม่ดีขึ้นแล้วหรือยัง”
ตาของหวังหางแดงก่ำขึ้นมา “ขอบคุณครับท่าน ไม่คิดเลยว่าท่านจะยังจำเรื่องเล็กน้อยๆ นั่นได้”
ชิ่งเจิ่นถอนหายใจใส่เลขาโจวแล้วเอ่ย “พวกเขาล้วนเป็นทหารชั้นยอดที่ควรออกไปสู้รบในสงคราม แต่เพราะเคยมีความสัมพันธ์กับฉันเลยถูกทิ้งให้กลายเป็นทหารเฝ้ายามให้สมาคมไป น่าเสียดาย แต่อย่าทำให้พวกเขาลำบากเลย ฉันจะขึ้นไปเอง”
เลขาโจวพูดเสียงเย็นอยู่หลังชิ่งเจิ่น “รู้หรือเปล่าว่าไม่มีเงาในประวัติศาสตร์สมาคมตระกูลชิ่งคนไหนทำแบบคุณเลย ทุกคนล้วนแต่ก้มหัวให้กับสมาคม!”
ชิ่งเจิ่นยิ้ม “แต่ฉันคือชิ่งเจิ่น”
ราวกับนามชิ่งเจิ่นแฝงไปด้วยอำนาจวิเศษ ความภาคภูมิฝังลึกในกระดูก และเขาจะไม่ก้มหัวให้แก่ใคร
จากนั้นชิ่งเจิ่นก็ถอดรองเท้าถุงเท้าและเดินไปตามทางภูเขาที่มีใบแปะก๊วยร่วงหล่นเต็มไปทั่ว
ลมหนาวพัดเข้ามาตามทางภูเขา พื้นเย็นเยียบราวโลหะ
แต่ไม่มีใครเห็นความเจ็บปวดหรือความรำคาญใจบนใบหน้าของชิ่งเจิ่น หลังจากเดินขึ้นไปพักหนึ่ง ชิ่งเจิ่นพลันชี้ไปที่สันเขาแห่งหนึ่ง “ตอนเด็กฉันเคยไปเล่นโคลนตรงนั้นกับหลัวหลาน ตอนนั้นแม่น้ำเย็นมาก ฉันจะเอาลูกพลับที่ขโมยมาไปแช่อยู่ในน้ำเย็นๆ ตอนเอาขึ้นมากินแล้วอร่อยมากเลยล่ะ ตอนนั้นชิ่งอวิ่นจะตามเราต้อยๆ แต่ฉันรู้สึกตลอดว่าเขาเกลียดฉัน”
เลขาโจวที่ตามเขามายังคงนิ่งเงียบ ไม่คิดเลยว่าชิ่งเจิ่นอยู่ขอบปากเหวแห่งความตายยังสบายใจได้เช่นนี้
“แต่ว่าตอนนี้ที่นั่นน่าจะมีทหารเฝ้ายามอยู่ล่ะสิ คงถูกปิดตายไปแล้วมั้ง?” ชิ่งเจิ่นยิ้ม
พลันมีเกล็ดหิมะลอยล่องมาจากฟ้า ฝ่าเท้าเปลือยขาวกระจ่างของชิ่งเจิ่นเหยียบไปบนชั้นหิมะบาง ทิ้งรอยเท้าสายหนึ่งไว้บนทางภูเขา
แรกเริ่มหิมะขาวแต่รอยเท้าเป็นสีดำ ทุกก้าวเผยให้เห็นชั้นดินอยู่ใต้หิมะ
เลขาโจวที่อยู่บนพื้นหิมะตะโกนมาจากข้างหลัง “คิดดีแล้วหรือยัง!”
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ชิ่งเจิ่นทำหูทวนลม
ยิ่งเดินไปรอยเท้าบนพื้นหิมะก็กลายเป็นสีแดงชาด ทุกก้าวที่ออกไปไม่อาจเห็นจุดหมายปลายทาง แต่กระนั้นลักษณะท่าทางของชิ่งเจิ่นก็ยังตั้งตรง
ขณะชิ่งเจิ่นเดินผ่านทหารยามระหว่างทาง พวกเขาก็หันหน้าหนีมองไปยังทางภูเขา
ระหว่างที่เดินไป เท้าชิ่งเจิ่นก็ด้านชา เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเดินมาไกลขนาดไหน แต่ทุกครั้งที่ก้าวออกเหมือนเขากำลังคิดบางอย่างไปด้วย
เลขาโจวที่อยู่ด้านข้างโพล่งถาม “เมื่อคืนทำไมถึงถอยทัพทิ้งให้สมาคมตระกูลหยางหัวเดียวกระเทียมลีบล่ะ”
“อ้อ เรื่องนั้นน่ะนะ?” ชิ่งเจิ่นยิ้ม
“ตอนนั้นชิ่งอี้ยังไม่ขึ้นมามีอำนาจสั่งการกองทัพ คุณน่าจะรู้ดีว่าหลัวหลานยังอยู่ในมือสมาคมตระกูลหยาง” เลขาโจวขมวดคิ้ว “สมาคมตระกูลหยางต้องจับหลัวหลานขังแล้วแน่ ตอนนี้คนไม่น้อยก็น่าจะได้ยินเรื่องที่คุณถูกเรียกกลับป้อมปราการ 111 แล้วด้วย พวกเขาอาจจะคิดว่าชิ่งอี้เป็นคนสั่งการให้ถอยทัพ”
ชิ่งเจิ่นหัวเราะ “เพราะฉันรู้ว่านายจะมาตามจับฉันน่ะสิ”
“หมายความว่ายังไง”
“ตอนที่พ่อจากพวกเราไป เขายืนกรานให้หลัวหลานคอยปกป้องฉัน แต่นายก็น่าจะรู้นะว่าเขาเป็นคนยังไง” ชิ่งเจิ่นหัวเราะ “กินนอนอย่างเดียว แถมยังใจร้อนอีก ทำไมฉันต้องให้เขามาปกป้องด้วย มันเหมือนฉันเป็นคนคอยปกป้องเขามากกว่า”
“คุณตั้งใจให้สมาคมตระกูลหยางจับเขางั้นเหรอ” เลขาโจวขมวดคิ้วพูด ไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องนี้มันหมายความว่าอย่างไร แต่แผนการของชิ่งเจิ่นมักจะใช้งานได้ดีกว่าของผู้อื่นหน่อยๆ ตลอด
“ถ้าฉันไม่ให้คนคอยจับเขาไว้ เขาอาจจะรีบร้อนมาสู้กับพวกตาแก่ที่เขาแปะก๊วยแล้วก็ได้” ชิ่งเจิ่นถอนหายใจแล้วเอ่ย “สมาคมตระกูลหยางไม่ฆ่าเขาแน่ เจ้าอ้วนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีค่ากว่าเจ้าอ้วนที่ตายไปแล้ว ดังนั้นก่อนที่พวกเขาจะหาประโยชน์จากหลัวหลานได้ สมาคมตระกูลหยางจะไม่ฆ่าเขาหรอก แบบนั้นมันดีกว่าให้เขาพุ่งกลับมาที่นี่”
“แต่ในอนาคตพวกเขาก็จะฆ่าหลัวหลานอยู่ดี” เลขาโจวพูดเสียงนิ่ง
“ฉันเตรียมทางหนีให้เขาแล้ว” ชิ่งเจิ่นว่า
ที่ชิ่งเจิ่นเริ่มจับมือของสมาคมตระกูลหยางนั้นไม่ใช่อะไร ก็เพื่อที่เขาสามารถบังคับให้หลัวหลานอยู่ในป้อมปราการ 88 และไม่กลับมาตายที่นี่
เป็นเพราะชิ่งเจิ่นเองก็ไม่มั่นใจว่าวันนี้ตัวเองจะรอดชีวิตไปได้หรือเปล่า
ชิ่งเจิ่นยืนเท้าเปล่าใกล้หน้าผาบนทางภูเขาอันคดเคี้ยว จากนั้นก็มองออกไปดูหิมะโปรยปราย เขาพูด “เจ้าโง่หลัวหลานเอ้ย ถ้าฉันตายวันนี้ เขาต้องร้องไห้แบบสุดใจแหง ตาแก่ของพวกเราพูดตลอดว่าครอบครัวต้องสามัคคีกัน พวกเราจะอยู่ได้ถ้ามีครอบครัวอยู่ด้วย”
เลขาโจวถาม “แล้วทำไมถึงยังขัดขืนต่อคำสั่งของตระกูลชิ่งอีกล่ะ”
ชิ่งเจิ่นมองไปยังภูเขาไกล ราวเขาคิดอะไรบางอย่างได้จึงว่า “ฉันคิดดูแล้ว ครอบครัวมีแค่ฉันกับหลัวหลาน คนอื่นไม่นับ”
จากนั้นชิ่งเจิ่นก็กลับหลังหันและมองตรงไป เขาพลันหัวเราะออกมาแล้วพูด “เกือบไม่ทันสังเกตแน่ะ พวกเราจะถึงแล้ว! มา ไปกันเถอะ!”
ชิ่งเจิ่นเดินนำ เลขาโจวถามเสียงดังจากข้างหลัง “เกือบหมดเวลาแล้ว คุณคิดดีแล้วหรือยัง!”
หิมะตกหนาหนัก ลมกรรโชกพัดโบก
ชิ่งเจิ่นพูดเสียงค่อยกลางพายุหิมะ “ฉันคิดดีแล้ว”
ข้างหน้าเขาคือคฤหาสน์ของสมาคมตระกูลชิ่งที่อยู่บนไหล่เขาแปะก๊วย ที่แห่งนี้ยังดูสว่างไสวอย่างที่เขาจำได้ ชิ่งเจิ่นยืนอยู่นอกประตูสีแดงเข้มและยิ้มพูด “คิดดูดีๆ แล้วฉันเคยมาที่นี่ไม่กี่ครั้งเอง”
เลขาโจวพาเขาไปถึงห้องโถง ชิ่งเจิ่นทิ้งรอยเท้าเปื้อนโลหิตบนพื้นหินอ่อนอันสะอาดเอี่ยมหรูหรา ทว่าคนรับใช้ในห้องโถงยังคงสงบนิ่ง ไม่มีใครกล้าเข้าไปเช็ดรอยเลือด
ชิ่งเจิ่นเดินเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ประตูในห้องประชุมเปิดออกอยู่แล้ว สมาชิกสภาบริหารต่างนั่งอยู่ข้างในกันอย่างพร้อมพรัก
ชิ่งเจิ่นเดินไปตามทางเดินกว้างยาว เขาเดินนำหน้าไปคนเดียว คนอื่นๆ ตามหลังจากไกลๆ
ทันใดนั้นก็มีคนเห็นว่าหลังชิ่งเจิ่นยังคงตรงแน่น ไม่คดลงแม้เพียงเสี้ยว
ด้านข้างของชิ่งเจิ่นไม่มีใคร สมาชิกสภาบริหารทุกคนล้วนนั่งตรงข้ามเขา ราวกับว่าชิ่งเจิ่นกำลังเผชิญหน้าอยู่กับทั้งสมาคม
ผู้อาวุโสในที่นั่งประธานกล่าวเสียงเรียบนิ่ง “รู้หรือเปล่าว่าทำผิดอะไร”
ชิ่งเจิ่นก็พูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง “ฉันทำผิดอะไร”
ดวงตาของชายชราหรี่ลงเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าทางภูเขายี่สิบเอ็ดกิโลเมตรยังไม่สามารถทำให้ชิ่งเจิ่นก้มหัวได้
“ฆาตกรรม ก่อกบฏ ลอบสร้างกองกำลังของตัวเอง ไร้ความเคารพ” ผู้อาวุโสเอ่ย “อาชญากรรมพวกนี้มากพอให้ประหารชีวิตได้แล้ว”
ชิ่งเจิ่นถาม “และฉันต้องตายเพราะเรื่องพวกนั้นเหรอ”
“ถ้านายไม่ตาย ฉันก็ไม่สบายใจ”
คำพวกนี้คือความคิดที่แท้จริงของทุกคนในสภาบริหาร เงาที่ไม่เคยคิดจะเชื่อฟังกฎเกณฑ์กำลังทำให้พวกเขาหวาดกลัว
แต่พวกเขาไม่เคยกลัวเงามาก่อน ดังนั้นเงาผู้นี้ต้องตาย
…
กองทหารของชิ่งเจิ่นถูกยุบไปแล้ว บ้างก็ยอมก้มหัวหลังถูกกระจายไปตามกองกำลังต่างๆ บ้างก็ยังคงดื้อรั้นจะภักดีต่อชิ่งเจิ่นจนถูกกักขังอยู่ในป้อมปราการราวสุนัข เพราะอย่างนั้นอิทธิพลของชิ่งเจิ่นในกองทัพจึงลดทอนจนแทบเหลือศูนย์
หลัวหลานยังถูกคุมขังในบ้านที่ป้อมปราการ 88
ดูเหมือนว่าชิ่งเจิ่นจะเสียเสาหลักที่คอยสนับสนุนไปแล้ว
สภาบริหารพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้เพราะเชื่อว่าตนเองได้รับชัยชนะเรียบร้อย พวกเขาจัดการตัวแปรที่น่าจะยื้อความตายของชิ่งเจิ่นไปแล้ว
ชิ่งเจิ่นยืนขึ้น และเดินไปยังหน้าต่างบานหนึ่งของห้องประชุมด้วยเท้าเปล่า มีคนคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “ชิ่งเจิ่น ยังไม่เลิกทำตัวหยิ่งผยองอีกงั้นเหรอ!”
แต่ชิ่งเจิ่นยังคงเดินไปรอบๆ และถามเลขาโจวเสียงดัง “โจวฉี ฉันคิดดีแล้ว นายล่ะคิดดีแล้วหรือยัง”
ระหว่างอยู่บนทางภูเขายาวยี่สิบเอ็ดกิโลเมตร เลขาโจวถามชิ่งเจิ่นเสียงดังสองครั้ง แต่ตอนนี้เป็นตาที่ชิ่งเจิ่นถามเขากลับแล้ว
ภูเขาแม่น้ำนอกหน้าต่างที่สูงยันพื้นจรดเพดานนั้นกว้างใหญ่ไพศาล!
เขาไม่อยากเป็นเงาอีกต่อไปแล้ว
เขาอยากกลายมาเป็นผู้นำสมาคมตระกูลชิ่ง
ทำลายขนบธรรมเนียมเดิม ล้มครืนภูเขาแม่น้ำ ไม่พลิกฟ้าดินไม่คืบต่อ!
ชิ่งเจิ่นถามเสียงดังอีกครั้ง “นายคิดดีแล้วหรือยัง!”
เลขาโจวยิ้ม “ยินดีที่ได้รับใช้”
เลขาโจวที่ไม่รู้ว่ามาอยู่หลังผู้อาวุโสตอนไหนคว้าคลื่นสายหนึ่งในอากาศ จากนั้นคลื่นโปร่งใสก็แยกออกและพุ่งไปรัดคอของสมาชิกสภาบริหารทุกคน
เสียงกรีดร้องตกใจทำให้ทหารอารักขานอกห้องประชุมสะดุ้งเฮือก แต่เลขาโจวเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว สายคลื่นโปร่งใส่แยกตัวยิงผ่านประตูไม้หนาของห้องประชุมไป ข้างนอกเกิดเสียงร้องก่อนจะสงบเงียบไป
เกิดเสียงปืนดังสนั่นบนไหล่เขา บ่งบอกถึงการสู้รบดุเดือด
ที่ตีนเขา ทหารนามจางอวี๋เกอตะโกน “ทุกคน วันนี้เป็นวันที่เราจะบรรลุเป้าหมาย”
จากทหารกลุ่มใหญ่ก็ไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาจากป่าเขา บรรดาทหารรุดขึ้นภูเขาไปด้วยกัน เลือดไหลนองอาบทางภูเขาจนชั้นหิมะหลอมละลาย
ขณะเดียวกัน ท่อระบายน้ำในป้อมปราการ 111 พลันถูกเลื่อนออก จากนั้นทหารในชุดดำก็รุดหน้าไปยังเขตทหารสำคัญทั้งหมดในป้อมปราการ เมื่อเผชิญหน้ากับทหารประจำการณ์ในป้อมปราการ กองทัพในชุดนี้ก็สู้รบอย่างกล้าหาญไร้ซึ่งความกลัวเกรง!
ทหารชุดดำคนหนึ่งถูกยิงจนล้มกับพื้น สหายคนหนึ่งพยายามจะช่วยเขาแต่ว่าเขาเพียงคว้ามือเพื่อนทหารและยิ้มพูดว่า “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ไม่ต้องห่วงฉัน ไปบอกเพื่อนร่วมรบพวกเราว่าพวกเรารอวันนี้มานานแล้ว!”
…
เลขาโจวยิ้มให้ชิ่งเจิ่นและว่า “เพราะว่านายไม่แน่ใจเกี่ยวกับฉันเลยไม่อยากให้หลัวหลานกลับมาที่นี่สินะ ตอนเด็กพวกเราเล่นโคลนด้วยกันนะ นายทำฉันปวดใจจริงๆ”
ขณะอยู่บนไหล่เขา ชิ่งเจิ่นพูดว่าเขาและหลัวหลานเคยเล่นโคลนและกินลูกพลับแช่แข็งอยู่ริมแม่น้ำ แต่เขาไม่ได้พูดว่าตอนนั้นโจวฉีก็อยู่พวกเขาด้วย
คนไม่น้อยคิดว่าเลขาโจวมองชิ่งเจิ่นเป็นหอกข้างแคร่ นี่เป็นเหตุผลด้วยว่าทำไมสมาคมตระกูลชิ่งถึงอยากให้เลขามาจัดการชิ่งเจิ่น
แต่ว่าชิ่งเจิ่นและโจวฉีไม่เคยขัดใจกัน พวกเขาก็มีความคิดอยากเปลี่ยนโลกใบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
หลังจากถูกโจวฉีถามแล้ว ชิ่งเจิ่นก็ยิ้ม “ฉันกังวลเรื่องนายนิดหน่อยจริงๆ แหละ ยังไงตอนเรายังเด็กๆ หมอดูทักว่านายมีชะตาคนทรยศนี่”
โจวฉีสำลัก “แม่*สุนัขผายลมสิ!”
เลขาโจวที่มีท่วงท่าราวปัญญาชนพลันกลายไม่เป็นปัญญาชนแล้ว
ผู้อาวุโสในห้องประชุมพูดเสียงเย็น “ไม่กลัวว่าชิ่งอี้เรียกกำลังกลับมาฆ่านายงั้นรึ”
ชิ่งเจิ่นว่า “บังเอิญจัง ชิ่งอี้ก็คนของฉัน”
“พวกเราเอาไงต่อ” โจวฉีถาม “ก่อกบฏทั้งทีต้องขุดรากถอนโคน”
ชิ่งเจิ่นพูด “ฆ่าพวกเขาให้หมด ฉันกะจะให้พวกเขาเดินบนเส้นทางภูเขายาวยี่สิบเอ็ดกิโลเมตรนั่นเสียหน่อย แต่ตอนนี้คิดไปคิดมา ไม่ต้องโมโหพวกเขาแล้วดีกว่า”
ชนะแล้วก็ต้องมีท่วงท่าของผู้ชนะ
พูดจบ ‘เชือกน้ำ’ บนคอของสมาชิกสภาบริหารทุกคนก็กระชับรัดแน่นขึ้น
โจวฉีมองชิ่งเจิ่นที่ยืนเหม่ออยู่ข้างหน้าต่าง เขาถาม “คิดอะไรอยู่”
ชิ่งเจิ่นพลันได้สติ “อ้อ กำลังคิดว่าต่อไปคงไม่มีโอกาสได้ปลูกดอกไม้แล้ว”
โจวฉีฟังเสียงปืนดังมาจากไหล่เขาและดันแว่นขึ้น “นายกับดอกไม้…”
สมาชิกสภาบริหารไม่ได้ตายทันที พวกเขาพยายามฉีก ‘เชือก’ รอบคอออก แต่พวกเขาก็พบว่าตัวเองไม่อาจต้านทานพลังของผู้มีพลังพิเศษได้แม้แต่นิด เชือกน้ำนี้ไม่ต่างอะไรไปจากเชือกจริง
แพ้เป็นโจร ชนะเป็นจ้าว!
สมาคมตระกูลชิ่งเปลี่ยนมือแล้ว!