the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 309 แกะสัมฤทธิ์แห่งสมาคมตระกูลหยาง
ชายวัยกลางคนที่มาส่งอาหารทักทายเริ่นเสี่ยวซู่ หลังวางอาหารเสร็จกำลังจากไป หลัวหลานบ่นอยู่ในลานบ้าน “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ! ฉันเป็นพี่ชายของผู้นำสมาคมตระกูลชิ่ง อย่างน้อยก็ควรได้รับความเคารพบ้างไม่ใช่เหรอไง ทำไมไม่เห็นพวกนายมาส่งอาหารให้ฉันบ้างล่ะ ฉันเป็นพี่ชายของชิ่งเจิ่นนะ!”
แต่ชายวัยกลางคนไม่นำพา
หลัวหลานเห็นพวกเขาออกจากบ้านไปแล้วก็หยุดร้อง จากนั้นก็มองอาหารที่พวกเขานำมา “โอ้โห นี่มันของทำหม้อไฟนี่ เนื้อหมักเรียบร้อย ผ้าขี้ริ้ว[1]บนน้ำแข็ง น้ำซุปก็มีมาให้!”
เริ่นเสี่ยวซู่มองหน้ากันเอง พวกเขาเองก็เคยกินหม้อไฟกันมาก่อน แต่ว่ายังไม่เคยได้กินพวกจานเนื้อมากนัก
ผู้อพยพมักกินหม้อไฟเก้าช่องกัน ซึ่งช่องทั้งเก้าไม่ได้มีไว้แยกวัตถุดิบอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะทุกคนยากจนมาก คนที่มารุมกินหม้อไฟก็จะได้หนึ่งช่องต่อหนึ่งคน จะได้ไม่แย่งอาหารกัน
ตอนนั้นแต่ละช่องไม่ได้ตายตัวอะไรเพราะทำมาจากแผ่นไม้ไผ่เฉยๆ ดังนั้นจึงมักจะมีคนแอบขโมยอาหารคนอื่นผ่านก้นหม้อตลอด
ต่อให้ข้างนอกยังมีทหารนอกเครื่องแบบจับตาอยู่ แต่พอมาถึง ในที่สุดเขาก็ได้พักดีๆ และยังได้กินอาหารดีๆ
อย่างที่เริ่นเสี่ยวซู่ว่าไว้ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือรอให้เขาหายดีมากกว่าที่จะสร้างปัญหาอื่น
โต๊ะหลายตัวถูกนำมาตั้งในลานบ้านกว้างขวางที่มีทางเข้าถึงสามประตูและคนนับร้อยสามารถอยู่อาศัยได้ พวกเขามีแค่สามสิบคนนับว่าอยู่ได้สบายๆ
พอน้ำซุปในหม้อไฟเริ่มเดือด หลัวหลานก็เริ่มกินไปพูดไป “หยางเสียวจิ่นพาพวกนายเข้ามาในป้อมปราการ 88 เหรอ ทำไมไม่พาพวกนายไปหาน้องฉันในพื้นที่ของสมาคมตระกูลชิ่งแทนล่ะ”
“ทำไมพวกฉันต้องไปสมาคมตระกูลชิ่งด้วย” เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเขา “ตอนนี้สมาคมตระกูลชิ่งนายกำลังวุ่นวาย ไปที่นั่นก็หาเรื่องใส่หัวเปล่าๆ”
“แต่ก็ยังดีกว่ามาที่สมาคมตระกูลหยางตอนนี้แหละน่า ด้วยเฉพาะอย่างยิ่งนายอยู่กับผู้ก่อจลาจลด้วยแล้ว”
“หมายความว่าไง” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“รู้หรือเปล่าว่าผู้ก่อจลาจลส่วนใหญ่ออกจากสมาคมตระกูลหยางไปแล้ว” หลัวหลานว่า
“รู้” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ
“ตอนนี้ฝ่ายหลักของสมาคมกำลังเถลิงอำนาจ ผู้ก่อจลาจลถูกดันออกไปอยู่ชายขอบ แถมผู้ก่อจลาจลก็ปลีกตัวออกจากสมาคมไปเป็นกองกำลังเอกเทศด้วย นี่ยิ่งทำให้สภาบริหารสมาคมตระกูลหยางไม่พอใจเข้าไปใหญ่ เพราะอย่างงั้นพวกเขาเลยแยกทางกันในที่สุด!” หลัวหลานพูดแกมขัน “ฉันต้องบอกเลยว่าผู้ก่อจลาจลน่าประทับใจมากจริงๆ สมาคมตระกูลหยางทำอะไรพวกเขาไม่ได้เลย มีแต่กลุ่มผู้มีพลังพิเศษแหละถึงจะทำอย่างนี้ได้”
“ผู้ก่อจลาจลกำลังพยายามทำลายสถานีทดลองนิวเคลียร์พวกนายอยู่นะ ยังจะชื่นชมพวกเขาลงอีกเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“หึหึ มันคนละเรื่องกันหรอก” หลัวหลานหัวเราะและว่า “ฉันแค่บอกความจริงเฉยๆ ฉันไม่จำเป็นต้องกัดคนอื่นพวกให้ตัวเองดูดีหรอก แถมยังไงพวกเขาก็ไม่มีทางเจอสถานีของพวกเรา ไม่มีใครมีทางเจอ!”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่จึงได้รู้ว่าสมาคมตระกูลหยางที่จริงไม่ได้ชอบใจผู้ก่อจลาจลเลย “ว่าแต่นายจะหนีจากสมาคมตระกูลหยางยังไงล่ะ พวกเขาคงไม่มีทางปล่อยนายไปอยู่แล้วนี่”
หลัวหลานรีบเปลี่ยนเรื่อง “ฮ่าๆๆ กินผ้าขี้ริ้วหน่อย รู้เปล่ามันมีวิธีกินแบบพิเศษด้วยนะ เดี๋ยวฉันสอนให้ หลังจากจุ๋มผ้าขี้ริ้วลงน้ำซุป…”
เริ่นเสี่ยวซู่พลันคว้าแขนหลัวหลาน “ไม่ต้องสอนฉัน นายเล่นสอนพวกเราด้วยการใช้ผ้าขี้ริ้วไปครึ่งจานแล้ว ที่เหลือพวกเราจัดการเองได้”
…
ทิศเหนือของป้อมปราการ 88 เป็นฝั่งเจริญรุ่งเรืองของที่นี่ มีพื้นที่สีเขียวตลอดทั้งเขต คฤหาสน์พร้อมสวนวางตั้งเรียงราง
คฤหาสน์พื้นที่ 3,210 ตารางเมตรแห่งหนึ่ง คนรับใช้กำลังวิ่งวุ่นเข้าๆ ออกๆ ห้องทานอาหาร มีดที่มีอัญมณีติดด้ามมีสองเล่มห้อยติดกำแพงห้องอาหาร พวกมันดูมีราคามาก แต่อาวุธระยะประชิดที่ประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างประณีตในยุคสมัยแห่งปืนและระเบิดนั้นเป็นได้แค่เครื่องประดับ จะถูกแตะต้องเฉพาะยามที่คนรับใช้ต้องทำความสะอาดเท่านั้น
นอกจากนี้บนด้ามมีดยังมีสัญลักษณ์แกะ[2]สัมฤทธิ์อันเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของสมาคมตระกูลหยาง ว่ากันว่าผู้ก่อตั้งของสมาคมตระกูลหยางในหลายปีก่อนนู้นเกือบหิวตายในแดนรกร้าง แต่ก่อนที่จะได้ขาดอาหารจนตายนั้น ก็มีแกะตัวหนึ่งเดินมาคุกเข่าตรงหน้าและยอมเสียสละตัวเองเป็นอาหารของเขา
ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเรื่องนี้ล่ะก็เขาคงล้มโต๊ะทิ้งเลยทีเดียว…
คนรับใช้วางอาหารหลากหลายลงบนโต๊ะ ขณะที่บนโต๊ะยาวนั้นมีคนนั่งแค่สามคน ได้แก่หยางเสียวจิ่นและชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง
ชายวัยกลางคนเลิกแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นและว่า “เสียวจิ่น ได้ยินว่าพาผู้อพยพกลับมางั้นเหรอ”
หยางเสียวจิ่นเงียบไปพักหนึ่งและว่า “ใช่แล้วค่ะอาสาม”
“เป็นเพื่อนกับผู้อพยพไม่ใช่นิสัยที่ดีเท่าไรนะ” อาสามของหยางเสียวจิ่นหยิบตะเกียบขึ้นมา “เพื่อนอยู่ระดับไหน คนผู้นั้นก็อยู่ระดับนั้น เธอออกไปข้างนอกได้เพราะพวกเราไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรเธอ และเธอจะได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย แต่อย่าไขว้เขว ไปเลียนแบบนิสัยแย่ๆ ของน้าตัวเอง”
หยางเสียวจิ่นพูดเสียงนิ่ง “พวกเขาต่างออกไป”
ตอนนี้ผู้นำสภาบริหารของสมาคมตระกูลหยางชราภาพมากแล้ว ดังนั้นกิจการกว่าครึ่งของสมาคมจึงถูกโอนมาให้หยางอวี้อันที่เป็นอาสามของหยางเสียวจิ่นดูแล
ผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามกับหยางเสียวจิ่นว่า “อาสามของเธอทำแบบนี้ก็เพื่อตัวเธอเองนะ ถ้าพ่อแม่เธอยังอยู่ พวกเขาก็คงพูดไม่ต่างไปจากแบบนี้หรอก พวกผู้อพยพไม่ได้เรียนหนังสือหนังหา เป็นพวกไร้มารยาท กินอาหารด้วยกันก็ไร้หัวข้อทั่วไปให้พูดคุย ดังนั้นอยู่ให้ห่างจากพวกเขาดีกว่า ถ้าอยากช่วย ก็เสนอการช่วยเหลือที่เหมาะสมไป”
ตอนที่เธอพูดถึงการเสนอการช่วยเหลือนั้น น้ำเสียงเธอไม่ต่างจากกำลังพูดถึงการกุศลอยู่
หยางเสียวจิ่นมีความคิดว่าอาสามหยางอวี้อันและน้าสามเมิ่งหรงนั้นมีสายตาไม่ต่างไปจากคนธรรมดา แต่ว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว คุณค่าและพลังที่เด็กหนุ่มผู้นั้นฉายออกมามันเหนือกว่าผู้มีพลังพิเศษส่วนใหญ่
แต่ว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้
หยางเสียงจิ่นวางตะเกียบลง “อิ่มแล้ว”
“อามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอ” หยางอวี้อันว่า “ตอนนี้การสู้รบที่แนวหน้าไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว ศัตรูที่เราต้องสู้เป็นลำดับต่อไปคือสมาคมตระกูลชิ่ง ชิ่งเจิ่นเป็นคนทะเยอทะยาน เขาเถลิงอำนาจตอนนี้ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับสมาคมตระกูลหยางเรา ผู้ก่อจลาจลเจอสถานีทดลองของสมาคมตระกูลชิ่งหรือยัง”
“ยังไม่เจอ” หยางเสียวจิ่นส่ายหัว “แต่ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะใช้อาวุธพวกนั้นในสงครามนี้หรอก”
“พวกเรายังต้องระวังไว้ก่อนอยู่ดี” หยางอวี้อันว่า ตอนนี้สมาคมตระกูลหยางยังคงสนับสนุนการเคลื่อนไหวบางส่วนของผู้ก่อจลาจลอยู่ ที่จริงเหตุผลที่เขาปล่อยให้หยางเสียวจิ่นออกไปข้างนอกก่อนหน้านี้ก็เพราะหวังว่าผู้ก่อจลาจลจะเจอสถานีทดลองของสมาคมตระกูลชิ่ง พวกเขาจะได้ทำลายตัวแปรลับสุดท้ายที่จะขัดขวางแผนการขยับขยับของสมาคมตน
หยางอวี้อันพูด “ต่อไปจะเป็นความขัดแย้งยาวนานระหว่างเราและสมาคมตระกูลชิ่ง พวกเราน่าจะวางแผนดึงสมาคมตระกูลจงทางเหนือมาเข้าพวกก่อนที่สมาคมตระกูลชิ่งจะฉวยโอกาสไปก่อน ด้านหนึ่งก็ช่วยรักษาแนวหลังเรา ด้านหนึ่งก็ช่วยยับยั้งสมาคมตระกูลชิ่ง ไม่ใช่แค่เขาที่สร้างพันธมิตรได้ สมาคมตระกูลหยางเราเองก็ทำได้เหมือนกัน”
หยางเสียวจิ่นมองหยางอวี้อัน “อาสามต้องการสื่ออะไร”
“ในอีกไม่กี่วันคนของสมาคมตระกูลจงมาที่นี่ อาอยากให้เธอไปต้อนรับพวกเขา”
[1] กระเพาะวัว
[2] หยาง (杨) ในสมาคมตระกูลหยาง และ แกะ/แพะ (羊) ในภาษาจีนมีเสียงเดียวกันคือ หยาง