the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 31 โอกาสครั้งใหม่
“เขา…เป็นหมอจริงๆ เหรอ” มีคนจากวงดนตรีถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
“พวกเราเข้าใจเขาผิดไปหรือเนี่ย!” ลั่วซินอวี่สับสนกว่าใครเพื่อน
หวังฟู่กุ้ยคิด ไม่เข้าจงเข้าใจผิดอะไรทั้งนั้นแหละ เขาเพิ่งมาเป็นหมอเมื่อสองวันก่อนเองจริงๆ
แต่เพราะอยากเอาตัวเองหลีกหนีปัญหาเลยไม่คิดจะบอกพวกเขา “พวกนายพูดว่าฉันแนะนำคนสติไม่ดีเป็นคนนำทางให้สินะ ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย ดูสิ เขาเป็นหมอจริงๆ”
“ไม่ใช่แล้ว ขอฉันย้อนความจำแป๊บ” ทหารนายหนึ่งตกอยู่ในความคิดตัวเองไปพักหนึ่ง “รอบล่าสุดเขาพูดอะไรกับพวกเรานะ”
“ยินดีด้วยนะ! ทั้งพ่อทั้งลูกปลอดภัยแล้ว! น้ำหนักทารกอยู่ที่ 3.24 กิโลกรัม!”
“ใช่ คนที่พูด ‘ทั้งพ่อทั้งลูกปลอดภัยแล้ว’ แบบนั้นจะมาเป็นหมอประจำเมืองได้ยังไง” ทหารนายนั้นพูดอย่างโมโห
เห็นพวกเขานึกย้อนถึงคำที่เริ่นเสี่ยวซู่พูดก่อนหน้า หวังฟู่กุ้ยก็อธิบาย “สภาพความเป็นอยู่ของพวกเรา การรักษาก็ไม่ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง แต่ยังไงก็เถอะนะ เขาเป็นหมอของเมืองนี้แล้วจริงๆ ถ้าไม่เชื่อฉัน ไปถามใครเอาก็ได้”
จากนั้นหวังฟู่กุ้ยก็เดินไปเคาะประตูบ้านคนอื่นแบบสุ่มๆ แล้วถาม “เริ่นเสี่ยวซู่เป็นหมอประจำเมืองใช่ไหม”
ผู้ที่อยู่หลังประตูผงะไปวูบหนึ่ง แล้วตอบ “ใช่”
“วิชาแพทย์เขาเป็นไงบ้าง” หวังฟู่กุ้ยถามอีกรอบ
เขายกนิ้วหัวแม่มือให้ “ทุกวันนี้ใครบ้างไม่สรรเสริญเริ่นเสี่ยวซู่!”
สมาชิกในวงดนตรีต่างตกอยู่ในภวังค์อีกรอบ จากนั้นหันหน้ากลับไปทางคลินิก ก่อนจะเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงหน้าต่างแล้ว
“นายจะบอกว่าเขาคือบุคคลเพียงผู้เดียวที่จะนำทางคนผ่านเขาจิ้งซานได้งั้นเหรอ” ลั่วซินอวี่ที่สงบลงแล้วถามขึ้น
“ใช่” หวังฟู่กุ้ยคิดสักพักแล้วยิ้มพูด “บอกตามตรง ฉันเองก็รับประกันไม่ได้เหมือนกันว่าเขาจะผ่านเข้าไปได้ไหม แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ ก็ไม่มีใครในเมืองนี้ที่สามารถพาไปได้อีกแล้ว”
“ยกยอเขาจนจะเทียมสวรรค์อยู่แล้ว” ลั่วซินอวี่แค่นเสียง
“บอกเขาด้วยว่าตัวเองถูกเกณฑ์มาแล้ว พวกเราจะออกเดินทางอีกรอบหลังจากพักผ่อนและจัดกลุ่มกันใหม่เสร็จ”
“เดี๋ยว บอกฉันไปก็เท่านั้น” หวังฟู่กุ้ยยิ้มแหย พลางว่า “ถ้าอยากจะเรียกตัวเขาไป ก็ต้องไปขออนุญาตจากเถ้าแก่หลัวซะก่อน”
“เถ้าแก่หลัว? เขาเองก็เกี่ยวข้องกับเถ้าแก่หลัวด้วยเหรอ” ลั่วซินอวี่นิ่งงัน
“ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ เธอสั่งใช้งานเขาตามใจชอบไม่ได้” หวังฟู่กุ้ยพูด
ลั่วซินอวี่แค่นเสียงอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ทันใดนั้นเองทหารที่เข้าไปรายงานในป้อมก็กลับมาพร้อมข่าวใหม่ ทหารรายงานว่าคนที่ยืนบนยอดป้อมกำลังเปิดประตูแล้ว ลั่วซินอวี่ไม่พูดอะไรต่อ เพียงพาทั้งกลุ่มเข้าป้อมปราการ
หวังฟู่กุ้ยตบอกโล่งใจ จริงๆ แล้วเขาก็กลัวอยู่หรอกว่าอีกฝ่ายจะหาเรื่องจัดการเขา แต่โชคดีที่เขามีความสัมพันธ์กับเถ้าแก่หลัวเรื่องยาดำอยู่ หากวันนี้ไม่โยนชื่อนี้ออกไป ต่อให้ไม่ถึงกับสิ้นชีพ ก็คงโดนอะไรๆ ไม่น้อยแน่นอน
ในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่หวังฟู่กุ้ยเองก็ไม่มั่นใจนักว่าเถ้าแก่หลัวมีอำนาจขนาดไหนในป้อมปราการกันแน่ แต่เมื่อไรที่ใช้ไปส่งๆ ก็รู้สึกว่ามันโคตรใช้การได้เลยโว้ย!
หวังฟู่กุ้ยเข้าไปเคาะประตูคลินิกเพราะอยากจะคุยอะไรบางอย่างกับเริ่นเสี่ยวซู่ แต่หลังจากเคาะอยู่พักใหญ่ ก็ยังไม่มีใครตอบรับอะไรกลับมา หวังฟู่กุ้ยพึมพำ “อย่าบอกเชียวว่าไม่พอใจฉันแล้วเนี่ย”
……
เช้าวันต่อมา เริ่นเสี่ยวซู่เปิดประตูคลินิก พร้อมเปิดทำการ ทว่าทันทีที่เปิดออกมาปุ๊บ ก็เห็นหวังฟู่กุ้ยฉีกยิ้มแฉ่งส่งมาให้เขาปั๊บ เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างไม่สบอารมณ์ “มีอะไร”
“เธอก็เห็นแล้วนี่ ที่ฉันแนะนำชื่อเธอไปก็เพราะหวังดีหรอกนะ” หวังฟู่กุ้ยพูด “มันเป็นโอกาสที่เธอจะได้เข้าไปในป้อมปราการ รู้ไหมว่ามีคนมากขนาดไหนอยากจะเข้าไปในป้อมจนตัวสั่น บอกเลยว่าทุกคน!”
“แล้วทำไมไม่ฉวยโอกาสนี้เป็นของตัวเองซะล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดสวนอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “เดี๋ยวฉันวาดแผนที่ให้ ถ้าลุงพาพวกเขาไปถึงจุดหมายสำเร็จ ก็จะได้มีโอกาสเข้าไปในป้อมไง”
“ฉันทำไม่ได้” หวังฟู่กุ้ยสะดุ้งเฮือก “ฉันไม่เก่งเหมือนเธอสักหน่อย ขืนฉันเข้าไปในป้อมได้จริง ลูกชายฉันจะอยู่ยังไง ตอนนี้ฉันอายุเยอะแล้ว ถ้าอยู่ข้างนอกแล้วพร้อมจ่ายเงินหน่อยก็หาภรรยาไม่ยาก แต่ถ้าฉันได้เข้าไป ก็ไม่มีใครเหลือบแลหรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ “ลุงมีลูกชาย ฉันก็มีลิ่วหยวนกับพี่เสี่ยวอวี้เหมือนกัน ถ้าฉันเข้าไปในป้อมได้แล้ว พวกเขาจะอยู่ยังไง ขืนรอบหน้าลุงยังแนะนำชื่อฉันอีก ฉันจะพาลิ่วหยวนกับพี่เสี่ยวอวี้ไปสูบเลือดสูบเนื้อลุงถึงบ้าน!”
“ฉันทำไปก็เพราะหวังดีหรอก!” หวังฟู่กุ้ยฮึดฮัดแล้วพูดว่า “ถ้าฉันเด็กกว่านี้สักยี่สิบปีคงเข้าไปแล้วโว้ย!”
“หวังดีกับฉัน?” เริ่นเสี่ยวซู่แค่นเสียง “ขอบคุณครอบครัวลุงทั้งบ้าน!”
หวังฟู่กุ้ยเดือดปุดๆ “ฉันก็ขอบคุณบรรพชนเธอไปแปดชั่วโคตร!”
[ได้รับคำขอบคุณจากหวังฟู่กุ้ย +1!]
เริ่นเสี่ยวซู่พลันนิ่งอึ้ง พูดกับพระราชวังในห้วงจิตอย่างโมโห แบบนี้แม่*เรียกคำขอบคุณได้ไงฟะ! แบบนี้ยังกล้าบอกว่าจริงใจอีกเหรอ แกต้องตั้งล้อฉันเล่นแน่!
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าเหรียญคำขอบคุณที่เก้าจะมาแบบนี้ได้ ง่ายเกินไปแล้วเฟ้ย!
ถึงแม้เริ่นเสี่ยวซู่จะรู้ว่า หวังฟู่กุ้ยทำลงไปด้วยคิดอยากจะผูกสัมพันธ์กับคนดังในป้อมปราการ แต่ที่เขาทำลงไปก็เพราะประสงค์ดีกับตนด้วยจริงๆ
ปัญหาคือ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ใคร่อยากเข้าไปในป้อมเท่าไรนัก แต่ถ้าเหยียนลิ่วหยวนได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้วยเขาย่อมพร้อมจะรับภารกิจนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่ตกอยู่ในภวังค์พักหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เหล่าหวัง ฉันพูดจริงๆ เลยนะ ฉันไม่มีทางทิ้งลิ่วหยวนกับพี่เสี่ยวอวี้เพื่อให้ตัวเองเข้าไปในป้อมปราการคนเดียวได้เด็ดขาด เลิกแนะนำให้ฉันเป็นคนนำทางให้พวกเขาได้แล้ว”
หวังฟู่กุ้ยก็คร้านจะตื๊อต่อแล้วเช่นกัน “ก็ได้ๆ ฉันเข้าใจแล้วน่า วางใจเถอะ ตราบใดที่เถ้าแก่หลัวไม่อนุญาต พวกเขาก็เอานายไปไม่ได้หรอก การเดินทางนี้ใช้เวลากว่าสามเดือน ถ้าเธอไปแล้ว ใครจะส่งยาให้เถ้าแก่หลัวล่ะจริงไหม”
“อืม ตราบใดที่ลุงเข้าใจที่ฉันจะสื่อน่ะนะ” เริ่นเสี่ยวซู่พูด
ทันใดนั้นเอง ก็มีชายผู้หนึ่งเดินมาจากถนน “หมอ ผมต้องการคำปรึกษา”
“เลิกคุยแค่นี้นะลุง ฉันมีผู้ป่วยต้องไปดูแลก่อน”
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งหลังโต๊ะ แล้วพูด “บาดเจ็บตรงไหน เอามาให้ฉันดู”
“ไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่ว่าเจ็บไข่” เขาว่า
พูดจบ พยาบาลเสี่ยวอวี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างพลันหน้าแดงขึ้นมา เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ก็พยายามทำตัวเป็นมืออาชีพด้วยการถาม “เจ็บหลังมีเพศสัมพันธ์เหรอ”
ชายผู้นั้นผงะ “จะทำไม่ทำก็เจ็บหมด!”
เริ่นเสี่ยวซู่สับสน เกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วยใหม่ที่มาขอคำปรึกษาล่ะเนี่ย!
หลังจากให้คำแนะนำและส่งเขาออกไปแล้ว ก็ได้เหรียญคำขอบคุณมาอีกหนึ่ง
ใช่แล้ว ป่วยเป็นอะไรมาไม่สำคัญ สำคัญคือพวกเขาให้เหรียญคำขอบคุณได้นี่แหละ
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่มีทั้งหมดสิบเหรียญคำขอบคุณ วันเวลาแห่งการปลดล็อกอาวุธดูเหมือนจะอยู่ไม่ไกลแล้ว
อีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมเริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากไปเป็นคนนำทางให้คนกลุ่มนั้น เป็นเพราะตอนนี้เขาอยู่ในเมืองได้เหรียญคำขอบคุณสะดวกกว่ามาก ถ้าเขาต้องออกไปกับพวกนักดนตรีพวกทหารละก็ พวกเขามีหรือจะแสดงคำขอบคุณกับเริ่นเสี่ยวซู่
ด้วยเหตุผลบางประการ เริ่นเสี่ยวซู่ตั้งหน้าตั้งตารออาวุธนี่มาก อยากรู้เสียจริงว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร
ในเมื่อคำขอบคุณแบบใจจริงหายากขนาดนี้ อาวุธก็คงไม่ย่ำแย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง?