the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 311 เด็กหนุ่มในห้องสมุด
ชีวิตเริ่นเสี่ยวซู่พลันสงบสุขขึ้นมา ทุกเช้าหลังกินข้าวเสร็จก็จะพาหวังอวี่ฉือและนักเรียนคนอื่นๆ ฝึกร่างกาย พอพวกเขาฝึกจนถึงขีดกำจัดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ถึงหยุด
ระหว่างที่ฝึกกันอยู่ หลัวหลานมาพิงกำแพงและให้ความเห็นว่า “ฝึกแบบนี้มันเสี่ยงเกินไปแล้ว ทั้งไม่เป็นระบบทั้งไม่เป็นวิทยาศาสตร์”
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็นึกได้ว่าหลัวหลานเป็นผู้นำทหารมากความสามารถ เขาน่าจะเชี่ยวชาญด้านนี้ เขามองหลัวหลานแล้วว่า “อย่าพูดเฉยๆ ถ้าบอกว่ามันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ก็ลองแสดงให้ดูหน่อยสิ”
“หิหิ” หลัวหลานหยีตาเผยความเฉลียว “อย่าคิดลวงให้ฉันไปฝึกพวกนาย ไม่มีทางหรอก!”
“ฉันแบ่งอาหารให้” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงหนักแน่น
“ใจดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลัวหลานไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
อาหารของทั้งสองฝ่ายต่างกันอย่างเห็นได้ชัด อาหารที่สมาคมตระกูลหยางให้พวกหลัวหลานเป็นซาลาเปานึ่ง ผัดกาดขาว และผักดอง แต่พวกเริ่นเสี่ยวซู่ได้เนื้อมาเต็มไปหมด เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างอิ่มหนำขนาดนี้มาก่อน มีน่องไก่ให้กินทุกวัน!
พอน่องไก่หมูตุ๋นวางเรียงบนโต๊ะ กลิ่นหอมก็ตลบอบอวลข้ามกำแพงไป หลัวหลานที่อยู่บ้านข้างเคียงอยากกินจนแทบน้ำตาไหลแล้ว!
เริ่นเสี่ยวซู่ “นายมีหน้าที่วางแผนการฝึกกับคอยดูพวกเขา จากนั้นนายกับคนของนายก็ข้ามมากินอาหารด้วยกันได้ทุกวัน”
บ้านข้างๆ รวมหลัวหลานแล้วก็มีสมาชิกแค่สี่คน เจ้าอ้วนหลัวมาที่นี่ในฐานะทูตเจรจาของสมาคมตระกูลชิ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจพาคนมาด้วยมากได้ เพราะอย่างนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงไม่มีปัญหาอะไรกับการแบ่งอาหารไปหน่อย
หลัวหลานลูบมือยิ้มตาหยีว่า “รู้สึกแย่จัง แต่ฉันไม่ได้ทำเพราะอาหารหรอกนะ ในฐานะพี่ชายของผู้นำสมาคมตระกูลชิ่ง อาหารนิดอาหารหน่อยฉันไม่ขาดหรอก แต่อยากช่วยเพราะการฝึกของพวกนายมันดูไม่เป็นระบบเลย!”
“จ้าๆๆ ใช่ที่สุดเลย” เริ่นเสี่ยวซู่พูด คร้านจะมีปากเสียงด้วย
“แต่ฉันสงสัยอยู่หน่อย นายฝึกพวกเขาไปทำไม” หลัวหลานถาม “ถ้าไม่คิดจะให้พวกเขาเข้าร่วมกองทัพ ฝึกร่างกายแบบนี้ไปก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี ถ้าไม่ฝึกดีๆ ล่ะก็ พละกำลังของคนผู้หนึ่งก็ไม่สามารถต้านรับพละกำลังของผู้มีพลังพิเศษได้หรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่ทำหูทวนลม จะให้พูดว่าฝึกเพื่อให้พวกหวังอวี่ฉือสามารถควบคุมนาโนแมชชีนในร่างกายได้ดีขึ้นก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ!
ก็จริงที่ว่าถ้าไม่มีนาโนแมชชีนฝึกไปก็ไม่ค่อยเห็นผล แต่ผลลัพธิ์ที่เริ่นเสี่ยวซู่ต้องการคือฝึกให้ในอนาคตพวกเขาควบคุมนาโนแมชชีนได้ดีขึ้น พวกเขาต้องลดระยะดีเลย์ให้ได้อย่างน้อยน้อยกว่า 0.1 วินาทีถึงจะสามารถสู้รบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้าเขามี ‘ทหารนาโนแมชชีน’ แปดนายคอยสนับสนุนล่ะก็ ถือเป็นกำลังรบที่ไม่น้อยเลยจริงๆ แถมถ้าเหยียนลิ่วหยวน หลี่ชิงเจิ้ง และคนอื่นๆ เข้าร่วมด้วยก็จะมีกำลังมากกว่าแปดคน พวกนักเรียนหญิงเองก็เริ่มฝึกฝนตัวเองไปด้วยแล้ว
เดิมทีเริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีแผนการจะให้พวกนักเรียนหญิงมาร่วมสู้รบ แต่หลังจากผ่านความลำบากมามากมาย พวกเธอก็เติบโตขึ้นไม่น้อยเลย
ส่วนเรื่องที่ว่าจะหานาโนแมชชีนมาจากไหน เริ่นเสี่ยวซู่ย่อมต้องหาหนทางได้มา สมาคมตระกูลหยางก็มีโรงงานผลิตนาโนแมชชีนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ พระราชวังรีเซ็ตของสมาคมตระกูลหลี่ได้ ก็น่าจะรีเซ็ตของสมาคมตระกูลหยางได้ด้วยเช่นกัน
เริ่นเสี่ยวซู่มีอิสระเต็มที่ เขาไปห้องสมุดทุกเช้า ตอนแรกพอไปถึงหน้าห้องสมุดก็เจอว่ามันยังไม่เปิด ต้องรอถึงสิบโมงเช้าถึงเห็นว่ามีชายวัยกลางคนผมรุงรังเดินมา
พอเขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่อยู่หน้าทางเข้าก็ผงะ “มาอ่านหนังสือ?”
“ใช่แล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ป้ายบอกว่าห้องสมุดเปิดแปดโปงครึ่งไม่ใช่เหรอ”
“อ้อ” ชายวัยกลางคนว่า “ปกติคนจะมาช่วงบ่ายน่ะ อีกอย่างมีคนมาห้องสมุดน้อยมากด้วย ฉันมาช้าหน่อยไม่เคยเป็นปัญหาอะไร เอางี้เป็นไง ถ้าต่อไปจะมาแต่เช้าก็โทรเรียกล่วงหน้า แล้วเดี๋ยวจะมาเปิดประตูให้”
จากนั้นลุงแกก็เขียนเลขให้เริ่นเสี่ยวซู่แถวหนึ่ง เป็นเบอร์โทรบ้านเขา
เริ่นเสี่ยวซู่สับสนเล็กน้อย ทำไมมันต่างจากที่หวังอวี่ฉืออธิบายเลยล่ะ ระดับการป้องกันแบบนี้มันอย่างกับว่าใครจะเดินมาอ่านหนังสือก็มาได้เลยตามใจไม่ใช่เหรอ แบบนี้ไม่ต้องใช้บัตรห้องสมุดก็ได้มั้ง
ขณะเดียวกันชายวัยกลางคนก็กำลังสงสัยว่าเจ้าเด็กนี่มาจากไหน ตอนนี้เป็นช่วงพักหน้าหนาว จู่ๆ ใจก็เกิดอยากปวารณาตั้งใจเรียนเหรอ หวังว่าในอนาคตตัวเองจะได้กลายเป็นเสาหลักทรงคุณค่าให้ป้อมปราการใช้งาน? ความกระตือรือร้นนี้น่าจะแฟบหายไปในไม่กี่วันสินะ
ลูกข้างบ้านเขาก็เป็นเหมือนกัน พอถึงช่วงวันหยุด ใจก็วางแผนการเรียนให้ตัวเองหลายแผน ถ้าทำได้อย่างที่วางแผนไว้ล่ะก็ เด็กนั่นน่าจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการของยุคได้ เป็นผู้ทำให้มนุษยชาติก้าวหน้าสืบไป
แต่แผนเป็นแค่แผนนั่นแหละ
ตอนที่ห้องสมุดสร้างขึ้นแรกๆ สมาคมตระกูลหยางถึงกับส่งทหารมาคอยเฝ้า ทำเช่นนี้ก็เผื่อกันไม่ให้คนขโมยหนังสือ แต่ให้หลังพวกเขาก็รู้ว่าชาวป้อมปราการเรียนมัธยมปลายจบก็ไม่สนใจจะอ่านหนังสือต่อแล้ว ในทางกลับกัน พอดาราในป้อมปราการปล่อยเพลงใหม่ ชาวมุงกลุ่มใหญ่ก็มารวมกันในงานแถลงข่าว
ตอนนี้จึงเหลือเพียงแต่ชายวันกลางคนคอยดูแลห้องสมุด
วันต่อมาเริ่นเสี่ยวซู่ตื่นเจ็ดโมงเช้า โทรหาชายผู้นั้นให้มาเปิดห้องสมุด จะได้ไม่เกิดเรื่องแบบเมื่อวานอีก
วันที่สาม ก็ยังคงเป็นเช่นนี้
พอถึงวันที่สิบ ชายผู้นั้นก็คิดว่ามันแปลกๆ หลังเปิดห้องสมุดตอนเช้า ก็คว้าเริ่นเสี่ยวซู่ไว้ “เดี๋ยวก่อน!”
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงัก “มีอะไรเหรอ”
ชายผู้นั้นมีวงดำรอบตาเพราะเล่นไพ่นกกระจอกมาทั้งคืน เขาสูดปากและว่า “มาที่นี่ทุกวันเลย ไม่พักบ้างเหรอไง”
“อ่านหนังสือไม่เหนื่อยเสียหน่อย” เริ่นเสี่ยวซู่งง “ทำไมต้องพักด้วยล่ะ”
“พูดตามตรงเลยนะ” เขาว่า “กว่าจะเก็บเงินซื้องานข้ารัฐการพลเรือนงานนี้ได้ไม่ง่ายเลยนะ ฉันได้ยินว่างานบรรณารักษ์มันง่ายมาก ไม่ต้องทำงานตั้งแต่รุ่งเช้ายันตกเย็น แต่ว่าตั้งแต่นายมา ฉันทำงานแทบตายเหมือนที่เคยทำเมื่อสิบปีก่อนเลย!”
เริ่นเสี่ยวซู่มองอันอวี้เฉียน “แล้วให้ฉันทำไง”
“ไม่คิดจะเลี้ยงอาหารเช้าฉันบ้างเหรอ” อันอวี้เฉียนพูดด้วยสีหน้าอึมครึม
เริ่นเสี่ยวซู่กวาดตาสำรวจอันอวี้เฉียน “นี่จนขนาดไม่มีเงินซื้ออาหารเช้าเลยเหรอ”
“ฮ่าๆๆ” อันอวี้เฉียนหัวเราะลั่น “เจ้าหนู กล้าพูดนะที่บอกว่าฉันไม่มีเงินจะซื้ออาหารเช้าน่ะ ถึงจะพูดไม่ผิดก็เถอะ…”
เริ่นเสี่ยวซู่ควักธนบัตรสิบหยวนและยื่นใส่มืออันอวี้เฉียน “ไปกินข้าวเช้าโลด ฉันไม่กินด้วยนะ พอดีมีหนังสือให้อ่านอีกเยอะ”
หวังอวี่ฉือและนักเรียนคนอื่นๆ ก็มาห้องสมุดทุกบ่าย อ่านหนังสือตั้งแต่บ่ายโมงยันหกโมงเย็น เพราะพวกเขายืมหนังสือออกจากห้องสมุดไม่ได้ เลยได้แต่นั่งอ่านที่นี่
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าตัวเองเรียนแย่กว่าพวกหวังอวี่ฉือมาก เขาต้องใช้เวลาอ่านมากกว่าพวกเขาสองเท่าถึงจะมีสิทธิ์ตามพวกเขาทัน
พออันอวี้เฉียนกินข้าวเช้าเสร็จและกลับมาห้องสมุด เขาตั้งใจแวบไปดูเริ่นเสี่ยวซู่ ในห้องสมุดใหญ่โต มีเริ่นเสี่ยวซู่ผู้เดียวนั่งเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะ เสียงเปลี่ยนหน้ากระดาษที่ได้ยินเป็นครั้งคราวคือเสียงเดียวในห้องสมุดนี้