the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 314 ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ
เริ่นเสี่ยวซู่ยังคงไปอ่านหนังสือตามปกติทุกวัน หลายวันมานี้เขาพบว่าพอมาถึง ห้องสมุดก็เปิดเรียบร้อย และอันอวี้เฉียนก็นั่งกรนอยู่บนเก้าอี้ตรงทางเข้า ดูแล้วเขาคงเล่นไพ่นกกระจอกตลอดทั้งคืนอีก
ที่จริงได้เงินห้าร้อยหยวนต่อวันก็พอจะทำให้อันอวี้เฉียนอยู่ได้สบายๆ รายรับของครอบครัวทั่วไปในป้อมปราการอยู่ราวๆ สี่พันถึงห้าพันหยวน ด้วยเงินหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนต่อเดือน เขาน่าจะใช้ชีวิตอย่างสบายมากๆ
แต่อันอวี้เฉียนก็นำเงินนั่นไปใช้กับการเล่นไพ่นกกระจอก...
แม้เริ่นเสี่ยวซู่จะเป็นคนจ่ายเงินค่าเรียน เขาก็ยังต้องให้หวังอวี่ฉือแอบไปแลกเศษทองเป็นเงินสด อย่างไรตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่มีแหล่งรายได้
โชคดีที่ว่าเขายังมีเงินเหลืออีกมาก คิดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็หวังว่าในอนาคตตัวเองจะไปผ่านซากอารยธรรมหรืออะไรเทือกนั้นอีกสักแห่งเพราะอารยธรรมมนุษย์ก่อนยุคภัยพิบัติมีสมบัติละลานตา
ก็เป็นไปอย่างที่หยางเสียวจิ่นเคยพูด สิ่งของจากแล็บทดลองสามารถเอามาแลกเป็นเงินก้อนใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นความสุขที่ตกมาจากฟ้า
ถึงว่าทำไมชิ่งเจิ่นถึงทุ่มสุดตัวพยายามขุดค้นแล็บทดลองในเขาจิ้งซาน
บุหรี่เสียได้เหล้าระเหย ทว่ากระดาษเอกสารที่เก็บไว้ในพื้นที่ปิดย่อมมีค่ามหาศาล
แน่นอนว่ามีคนพบเหล้าที่ยังไม่ระเหยอยู่ แต่ว่านั่นเป็นเหล้าที่ทำการปิดผนึกด้วยภาชนะพิเศษ ถ้าเอาไปขายได้ก็ร่ำรวยชั่วข้ามคืน
เริ่นเสี่ยวซู่เคาะโต๊ะหน้าอันอวี้เฉียน “กินข้าวเช้ายัง”
“หืม?” อันอวี้เฉียนมองเริ่นเสี่ยวซู่และพูดเสียงงัวเงีย “ยังเลย รอนายเอาเงินข้าวเช้ามาให้อยู่นี่ไง ตอนเดินผ่านร้านหมั่นโถวเมื่อเช้านี่อย่างกับกลิ่นจากสวรรค์แน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ตบธนบัตรสิบหยวนลงบนโต๊ะและพูดอย่างหัวเสียว่า “ไปกินข้าวเช้าเลยไป ฉันจะดูห้องสมุดให้”
“ฮาๆ” อันอวี้เฉียนเก็บเงินธนบัติสิบหยวนลงกระเป๋าและว่า “ช่างเป็นคนดีจังเลย!”
“เดี๋ยวก่อน” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ทำไมถึงเอาเงินไปเล่นไพ่นกกระจอกหมดเลยล่ะ”
ที่เขาคิด อันอวี้เฉียนย่อมไม่ใช่คนธรรมดา บรรณารักษ์ธรรมดาที่ไหนจะทำแผนการสอนวิชาคณิตและฟิสิกส์ในระยะสั้นๆ แบบนี้ได้
ความรู้พื้นฐานอาจจะดูไม่ยากอะไร แต่จะสอนให้เป็นระบบอย่างไรนั้นคือทักษะที่เหนือชั้นมากจริงๆ
อันอวี้เฉียนหัวเราะและมองเริ่นเสี่ยวซู่ “งั้นฉันขอถามกลับ ถ้าไม่เล่นไพ่นกกระจอกแล้วต้องทำอะไร”
เริ่นเสี่ยวซู่อึกอัก เขาไม่รู้คำตอบจริงๆ
อันอวี้เฉียนเดินออกนอกห้องสมุดไปพร้อมโบกมือ “โลกนี้น่าเบื่อนัก ทั้งวันเล่นไพ่นกกระจอก ดื่มกินฟรีรอความตายไม่ดีกว่าหรือ”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม นั่นก็ฟังไม่เลว
หลังจากผ่านไปพักหนึ่งอันอวี้เฉียนก็กลับมา เขายัดซาลาเปาให้เริ่นเสี่ยวซู่ถุงหนึ่ง “ลองกินดู ซาลาเปาร้านนี้อร่อยเหาะ ดูแล้วนายน่าจะไม่ใช่คนแถวนี้ พนันเลยว่ายังไม่เคยกินของร้านนี้มาก่อน รู้เปล่าเถ้าแก่เนี้ยร้านนี้สวยว้าว ชื่อเล่นเธอคือ ‘ซาลาเปาไซซี[1]’!”
เริ่นเสี่ยวซู่เบ้ปาก หลังจากเห็นหน้าของหยางเสียวจิ่นตอนถอดหมวกแล้ว นิยามของความงามที่แท้จริงคืออะไรเขาก็ได้รับรู้แล้วในที่สุด
ส่วนเถ้าแก่เนี้ยร้านซาลาเปาผู้นั้น เริ่นเสี่ยวซู่เคยเห็นเธอมาก่อน ไม่ได้หน้าตาสะสวยตามที่อันอวี้เฉียนกล่าวอ้าง อาจจะเป็นเพราะว่าตอนเดินผ่านซาลาเปาไซซีกำลังซอยต้นหอมกระเด็นมาโดนหน้า จิตใต้สำนึกเขาเลยคิดว่าเธอไม่ได้สวยอะไรเลย
อันอวี้เฉียนหันมองหนังสือที่เริ่นเสี่ยวซู่อ่านอยู่ “อ้อ นิยายชื่อ ‘ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ’ เหรอ หนังสือดีมากเลยนะ ฉันเคยอ่านมาก่อนเหมือนกัน แต่โชคร้ายหลังเกิดภัยพิบัติมันเหลือแค่เล่มหนึ่งกับเล่มสอง ไม่รู้ว่าเล่มอื่นๆ ไปอยู่ไหนแล้ว”
เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเขา “ก็แค่อ่านผ่านๆ”
“นายอ่านหนังสือแบบสุ่มไปสุ่มมาจัง” อันอวี้เฉียนว่า แล้วนึก “ทุกเช้าจะอ่านหนังสือหลายๆ แบบ พอตอนบ่ายก็จะเปลี่ยนไปอ่านหนังสือเรียน ถ้าจำไม่ผิด เธออ่านหนังสือเศรษฐศาสตร์ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ แล้วก็พวกการ์ตูนด้วยนี่”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า
“จริงๆ แล้วเธออยากอ่านอะไรกันแน่ล่ะ” อันอวี้เฉียนว่า “ต้องมีเป้าหมายสิ ฉันแบ่งการอ่านเป็นสามประเภท ประเภทแรกคืออ่านเพื่อความบันเทิง และอ่านไปเพราะชอบหนังสือเฉยๆ ประเภทที่สองคือข้อมูล อย่างเช่นเพราะอยากเรียนวิธีการทำอาหารเลยอ่านสูตรอาหาร ประเภทที่สามคือความรู้ อย่างเช่นอ่านหนังสือเรียนเพราะว่าต้องสอบเข้าและต้องการทำแบบฝึกหัด”
“ฉันอาจจะอ่านเพื่อความบันเทิงก็ได้” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม
“แล้วพยายามหาอะไรจากการหนังสือพวกนี้ล่ะ” อันอวี้เฉียนถาม
“ฉันอยากรู้ว่าโลกนี้เป็นแบบไหน” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างจริงจัง “เมื่อก่อนฉันไม่มีโอกาสให้อ่านหนังสือมากนัก และก็ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกนี้อย่างเป็นระบบด้วย ดังนั้นฉันเลยอยากถนอมโอกาสที่มีอยู่ตอนนี้”
“อ้อ” อันอวี้เฉียนพยักหน้า “แต่ยังมีหนังสือสองประเภทที่เธอยังไม่ได้อ่าน”
“ซึ่งก็คือ?” เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไป เขาไม่ทราบจริงๆ
“ไม่เห็นจะอ่านหนังสือปรัชญาเลย ฉันเห็นวันก่อนนายหยิบมา แต่อ่านได้สองหน้าก็เก็บเข้าชั้น” อันอวี้เฉียนว่า
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ ไม่นึกเลยว่าอันอวี้เฉียนจะสังเกตเขาอย่างใกล้ชิดแบบนี้ “แค่ไม่ชอบน่ะ”
“แต่เป็นปรัชญาเลยนะ เป็นเนื้อหาที่น่าสนใจดีทีเดียว” อันอวี้เฉียนหยอก “จะไม่อยากอ่านได้ยังไง”
“ไม่อยากทรมานตัวเองน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มกล่าว
ถึงคราวที่อันอวี้เฉียนต้องชะงักบ้างแล้ว เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะยิ้มพูด “นายนี่น่าสนใจจริงๆ ความหมายของปรัชญาคือความเข้าใจต่อโลกผ่านการสะท้อนมองตนเอง แต่พวกเขาเขียนตามความเข้าใจของผู้อื่น ดังนั้นไม่อ่านก็ไม่เป็นไร แล้วทำไมไม่อ่านเรื่องรัฐศาสตร์ล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งและว่า “เพราะโลกมันน่าสนใจกว่ารัฐศาสตร์”
“ตามใจละงั้น” อันอวี้เฉียนเบ้ปาก “จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าพวกเรามีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน”
เริ่นเสี่ยวซู่หันมาจริงจังอีกครั้งและพูด “แต่ฉันไม่คิดงั้นนะ…”
ก่อนที่อันอวี้เฉียนจะระเบิดอารมณ์ ก็มีเสียงหนึ่งพลันดังมาจากทางเข้า “สวัสดี มีใครอยู่ไหม ฉันอยากเข้าห้องสมุดไปอ่านหนังสือ”
เป็นเสียงแหลมใสน่าฟัง พออันอวี้เฉียนหันไปมองตาก็เป็นประกายวิบวับ “มาแล้วๆ”
หญิงสาวที่อยู่หน้าประตูมีผมยาวเป็นลอน เริ่นเสี่ยวซู่เห็นต่างหูของอีกฝ่ายห้อยลงมาที่แก้ม ราวกับพวกมันกำลังพยายามล่อลวงเขาอยู่
หญิงสาวสวมรองเท้าส้นสูงชั้นดีคู่หนึ่ง รอให้อันอวี้เฉียนมาตรวจสอบบัตรห้องสมุด อันอวี้เฉียนว่า “นางสาวโจวอิ๋งเสวียใช่ไหม”
“ใช่แล้ว” โจวอิ๋งเสวียพยักหน้า
“อ่าฮะ เรียบร้อย” อันอวี้เฉียนพูดตามระเบียบ “ห้ามยืมหนังสือออกนอกห้องสมุด ถ้าหนังสือเกิดเสียหายให้ติดต่อผมทันที หวังว่าคุณจะรักษาดูแลหนังสือที่นี่อย่างดี เพราะว่าหนังสือหลายเล่มไม่อาจหาได้จากที่ไหนอีกแล้ว”
“ค่ะ ขอบคุณ” โจวอิ๋งเสวียยิ้มบางๆ
อันอวี้เฉียนเหมือนถูกสะกดจิต “ถ้าต้องการอะไรก็บอกได้เลยครับ”
โจวอิ๋งเสวียค่อยๆ เดินไปหาเริ่นเสี่ยวซู่ จากนั้นก็นั่งตรงข้ามกับเขา เธอมองเริ่นเสี่ยวซู่และยิ้มเอ่ย “สวัสดี”
เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้าแล้วว่า “สวัสดีคุณป้า”
อันอวี้เฉียนที่อยู่ตรงโต๊ะได้ยินแบบนั้นก็เดือดปุดๆ เจ้าเด็กนั่นกล้าพูดแบบนั้นได้อย่างไรกัน ขนาดเฒ่าจันทรา[2]เอาเหล็กเส้นมาผูก พูดแบบนั้นนี่คงขาดทันทีเลยมั้ง!