the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 318 มาช่วยฉันหน่อย!
“ไอ้เจ้าการผ่าน่องเนี่ยคือกระบวนท่าที่พอคู่ต่อสู้เสียสมดุลปุ๊บเธอต้องคว้าข้อเท้าของศัตรูทันที จากนั้นก็ฉวยโอกาสเอาข้อพับเกี่ยวน่องของศัตรูจากนั้นก็ออกแรงบีบ แบบนี้ก็จะสามารถสร้างแรงกดหลายร้อยกิโลกรัมลงไปยังกระดูกหน้าแข้งและกระดูกน่องได้ ถึงกระดูกหน้าแข็งจะเป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างกายมนุษย์ แต่ถ้าใช้วิธีการล็อคแบบนี้ก็สามารถทำให้มันหักได้ง่ายๆ เลย หลังจากลู่หย่วนพูดจบก็เรียกคู่ฝึกให้มาลองประมือกับเริ่นเสี่ยวซู่
เทคนิคแบบนี้ต้องลองใช้ในการต่อสู้จริง เพียงแค่มองเริ่นเสี่ยวซู่คงไม่เข้าใจหลักการ
ครูฝึกมองร่างผอมบางของเริ่นเสี่ยวซู่และคิดว่าเขาน่าจะอ่อนแอมาก จึงยิ้มพูดว่า “ค่อยๆ ลองท่าก่อน”
เขาคิดว่าคนของตระกูลหยางน่าจะเป็นคนส่งเริ่นเสี่ยวซู่มา ไม่อย่างนั้นเจ้าสำนักคงไม่ออกมาฝึกเขาด้วยตัวเองหรอก ดังนั้นไม่ทำให้คนเช่นนี้บาดเจ็บจะดีกว่า ถ้าพ่อแม่มาต้องการคำอธิบายขึ้นมา เขาคงเจอปัญหาใหญ่แล้ว
ลู่หย่วนกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ถึงเป็นแค่การฝึก แต่จำเป็นต้องทำให้เธอเข้าใจหลักการจริงๆ ในหัวเธออาจจะนึกถึงวิธีการออก แต่ถ้าไม่ออกกระบวนท่าให้เร็วและมั่นคงพอ ความคิดก็ยังคงเป็นความคิดอยู่แค่นั้น”
ลู่หย่วนพูดกับครูฝึก “พยายามให้เต็มที่ อย่าโดนเขาล็อคเอาได้”
“ครับ” ครูฝึกว่า
หลังจากเตรียมพร้อมกันแล้ว ลู่หย่วนก็บอกให้เริ่มได้ ครูฝึกหันมาเตรียมจะเข้าล็อคเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ไม่ทันไรเริ่นเสี่ยวซู่กลับเข้าคว้าขาเขาแล้ว!
ก่อนที่ครูฝึกจะทันได้ตอบโต้ ก็สัมผัสได้ว่าร่างกายถูกทุ่มลงกับพื้น ขาตัวเองถูกแขนเริ่นเสี่ยวซู่ล็อคไว้แน่น ไม่ใช่แค่นั้น พอเริ่นเสี่ยวซู่ล็อคขาเขาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็จะใช้มือเปล่าโจมตีไปที่ซี่โครงเข้าครูฝึกตามจิตใต้สำนึก เริ่นเสี่ยวซู่คิดจะทำลายความสามารถในการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม
ครูฝึกหลั่งเหงื่อ รู้สึกว่าตัวเองกำลังได้เจอเรื่องน่ากลัวอย่างที่สุด
ลู่หย่วนรีบตะโกน “หยุดๆๆ!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วไปจนครูฝึกไม่ทันตั้งตัว เขาเกือบได้ตายคาหมัดของเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว
มีแต่ลู่หย่วนที่เห็นชัดเจน ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ส่งหมัดออกไปจริงๆ ครูฝึกอาจจะพิการเลยก็ได้ หมัดนี้อาจจะทำให้อวัยวะแตกจนถึงแก่ชีวิตเลยด้วยซ้ำ
ครูฝึกกลับมายืนได้ด้วยความมึนงง จากนั้นลู่หย่วนก็พูดกับเริ่นเสี่ยวซู่เสียงเคร่งว่า “ทำไมถึงพยายามฆ่าเขา”
ครูฝึกได้ยินอย่างนั้นเหงื่อก็แตกเต็มหลัง
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วว่า “ที่จริงผมก็คงไม่ต่อยออกจริงๆ หรอกครับ แต่คิดไปคิดมา ถ้าแค่ทำให้คู่ต่อขยับไม่ได้ ผมจะดูเป็นคนอ่อนแอเอาได้”
“จะบอกว่าถ้าไม่ฆ่าแต่แค่ทำให้คู่ต่อสู้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ มันจะเป็นสัญญาณแสดงความอ่อนแอของตนงั้นสิ?” ลู่หย่วนพูดด้วยสีหน้าเปร่งๆ
“ก็ไม่เชิงครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ศัตรูที่ผมเคยเจอในแดนรกร้างต่างสู้สุดตัวถึงตาย ไม่มีผลลัพธ์อื่นอีก ดังนั้นผมเลยคิดว่าหักแค่ขาข้างเดียวไม่น่าพอ ถ้าศัตรูมีปืนกับตัวและยิงใส่ผมล่ะ ผมคงได้ตายแน่!”
ลู่หย่วนเงียบไปพักใหญ่ เขาเติบโตมาในป้อมปราการ ธรรมเนียมของที่นี่สอนให้เขาเมตตาต่อผู้อื่นและแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
ทว่าปรัชญาชีวิตที่เริ่นเสี่ยวซู่ได้มาจากการอาศัยอยู่ในแดนรกร้างนั้นคือเมตตาเท่ากับอ่อนแอ
ครูฝึกที่อยู่ด้านข้างผู้โดนเด็กหนุ่มร่างผอมบางจัดการอย่างราบคาบพลันรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าสำนักครับ ผม…”
“ไม่เป็นไร” ลู่หย่วนยิ้มก่อนจะบอกปัด “ไม่ใช่ความผิดของเธอ เดี๋ยวฉันฝึกกับเขาเอง แค่นี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว เธอจะได้ใช้โอกาสนี้ได้สังเกตพลังที่ผู้มีพลังพิเศษมีจากด้านข้างด้วย”
พูดจบลู่หย่วนก็เข้าไปซ้อมมือกับเริ่นเสี่ยวซู่ อย่างไรครูฝึกธรรมดาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ต่างจากของเล่นหรอก ไม่มีความสามารถมากพอที่จะสู้กับเริ่นเสี่ยวซู่ได้
ในที่สุดครูฝึกก็ถอนหายใจโล่งอกยกใหญ่ เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นผู้มีพลังพิเศษนี่เอง ถึงว่าทำไมเขาถึงสู้ไม่ได้ ดูเหมือนได้แต่ต้องให้เจ้าสำนักรับมือเขาเองแล้ว
สิบนาทีต่อมา ลู่หย่วนก็ตบพื้น “ปล่อยๆ! ยอมแล้วๆ! เจ็บชะมัด เจ็บๆๆ!”
ครูฝึก “…”
ลู่หย่วนลุกขึ้นมาจากพื้นและกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่เสียงเครียด “เธอต้องเรียนวิธีควบคุมพละกำลังของตัวเอง จำไว้ด้วยว่าผ่านการแสดงเทคนิคพวกนี้พวกเราแค่พยายามทำให้เธอเข้าใจจุดอ่อนตามข้อต่อของร่างกายมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องออกแรงมากก็ได้”
ลู่หย่วนคิดว่าไหนๆ ตัวเองก็เป็นผู้มีพลังพิเศษเหมือนกัน พละกำลังคงพอๆ กันกับเริ่นเสี่ยวซู่ แต่เขาก็ต้องแปลกใจ เพราะประเมินตนเองสูงเกินไปและประเมินเริ่นเสี่ยวซู่ต่ำเกินไปเสียได้
เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ได้ครับ จะไม่ใช้แรงมากแล้ว”
“ดี จบการสอนของวันนี้เลยแล้วกัน” ลู่หย่วนพูด “อย่าลืมนะว่าให้มาทุกคืน ถ้ามีเรื่องต้องทำก็โทรมาบอกก่อน เสียวหลี่ จดเบอร์โทรให้เขาหน่อย”
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่ออกไปแล้ว ลู่หย่วนก็จับเอวตัวเอง “มาช่วยฉันหน่อย”
ครูฝึกถามเสียงค่อย “เจ้าสำนักครับ เด็กหนุ่มคนนั้นคือใครเหรอ”
หลังจากคิดพักหนึ่ง ลู่หย่วนก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายที่มาของเริ่นเสี่ยวซู่อย่างไรดี
คืนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เดินทางกลับบ้านเร็วอยู่ เสียงคนเล่นไพ่นกกระจอกยังได้ยินอยู่ตามถนน ดูเหมือนว่าชาวป้อมปราการจะไม่สนใจสงครามภายนอกเลยเพราะคิดว่าตนเองชนะแล้วเรียบร้อย
ระหว่างเดินอยู่ก็เห็นคนงานเพิ่งเลิกงาน ถึงป้อมปราการจะระบุว่าทำงานได้เพียงแปดชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่เห็นโรงงานไหนทำตามกฎนี้เลย ผลคือชาวป้อมปราการไม่น้อยที่มีชีวิตไม่สู้ดีนัก
วงสังคมของชาวป้อมปราการพวกนี้ก็เหมือนโครงสร้างของนครใหญ่ ส่วนใหญ่ต่างไม่เคยออกไปภายนอก เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าคนพวกนี้ก็เหมือนกับผู้อพยพขั้นกว่า ทุกคนยังต้องคอยรับใช้สมาคมและใช้ชีวิตหัวหมุนทุกวัน มันก็แค่กลุ่มหนึ่งหาเลี้ยงชีพจากแดนรกร้างและอีกกลุ่มหาเลี้ยงชีพจากในป้อมปราการ
เริ่นเสี่ยวซู่เคยคิดว่าคนในป้อมปราการต่างเชื่อใจกัน จะเปิดประตูกว้างยามค่ำคืน ไม่มีใครคอยขโมยของใคร แต่หลังจากเข้ามาในป้อมปราการแล้วก็พบว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากตรอกเล็กแห่งหนึ่ง “ไผ่เก้า!”
เริ่นเสี่ยวซู่เดินเข้าไปก็เห็นอันอวี้เฉียนนั่งอยู่ในลานบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขากำลังเล่นไพ่นกกระจอกกับหญิงชราสองคนและชายชราอีกหนึ่งคน ซึ่งล้วนต่างกำลังทุ่มสมาธิกับการเล่นไพ่อย่างเต็มที่
เริ่นเสี่ยวซู่สับสนเล็กน้อย เขานึกว่าอันอวี้เฉียนถูกคนในวงไพ่โกงเลยไม่อาจชนะได้แม้มีทักษะเล่นไพ่นกกระจอกระดับปรมาจารย์ แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเลย
หลังจากสังเกตจากไกลๆ เขาก็เห็นว่าชายชรากับหญิงชราทั้งสองกำลังลอบสลับไพ่กันใต้โต๊ะ และอันอวี้เฉียนก็ดูไม่ทันจะสังเกตอะไรด้วย
ต้องโง่ขนาดไหนเนี่ย
ถ้ามีคนแอบสลับไพ่นกกระจอกแบบนั้นขณะเล่นกับเริ่นเสี่ยวซู่ละก็ เขาคงพลิกโต๊ะทุ่มใส่แล้ว
อันอวี้เฉียนเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตาโต เขากล่าวกับผู้ชราทั้งสาม “รอแปปนะ เพื่อนมาหา”
จากนั้นอันอวี้เฉียนก็ลุกขึ้นและเดินมาหาเริ่นเสี่ยวซู่ “มาทำอะไรน่ะ”
“เสียงดังของลุงไง” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ดังจนได้ยินคำว่า ‘ไผ่เก้า’ จากสองซอยแน่ะ!”