the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 320 ช่องว่างตามธรรมชาติ
ครั้นเริ่นเสี่ยวซู่หลับไปแล้วเสี่ยวอวี้ก็ดึงตัวเหยียนลิ่วหยวนมาถาม “ทำไมไม่บอกพี่ชายเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนล่ะ”
“พี่เสี่ยวอวี้ เบาๆ หน่อย” เหยียนลิ่วหยวนว่าแล้วลากเธอออกไป “ผมบอกเขาไม่ได้หรอก”
“ทำไมบอกไม่ได้ล่ะ เธอน่าจะบอกให้พี่ชายตัวเองไปสั่งสอนเด็กเวรพวกนั้นหน่อย พวกเขามีสิทธิ์อะไรถึงตั้งชื่อเล่นให้เธอกับต้าหลงแถมยังจะมาค้นของของพวกเธออีก” เสี่ยวอวี้พูดอย่างเดือดจัด
เหยียนลิ่วหยวนกระซิบ “ถ้าพวกเขาต้องได้รับบทเรียนล่ะก็ ผมจัดการเองก็ได้ กว่าพี่เสี่ยวซู่จะตัดสินใจมาที่นี่เพื่อพี่เสียวจิ่นได้มันไม่ง่ายเลยนะ ผมจะไปรบกวนเขาเวลาแบบนี้ได้ยังไง”
หลังจากเหยียนลิ่วหยวนเริ่มเข้าเรียนเพื่อนร่วมห้องก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นผู้อพยพด้วยเพราะความเข้าใจต่อชีวิตประจำต่างๆ นั้นไม่เหมือนคนอื่น
หยางเสียวจิ่นเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดในป้อมปราการ 88 ให้เหยียนลิ่วหยวน นักเรียนที่นั่นต่างไม่ใช่คนธรรมดา และพ่อแม่นักเรียนก็ต่างมีเส้นสายมากมาย ดังนั้นย่อมรู้อยู่แล้วว่ามีผู้อพยพเข้ามาเป็นนักเรียน
ตอนแรกพวกนักเรียนก็เรียกเหยียนลิ่วหยวนตรงๆ เลยว่าเจ้าผู้อพยพ แต่ให้หลังคนอื่นๆ ก็ตั้งชื่อล้อเลียนอื่นๆ บ้างก็เรียกเขากับหวังต้าหลงว่ากุ๊ยเพราะเปลี่ยนแค่เสียงเดียว[1]
อาจารย์ในโรงเรียนเองก็บังคับให้เหยียนลิ่วหยวนกับหวังต้าหลงไปนั่งหลังแถว ทั้งยังตั้งใจปล่อยว่างที่นั่งถัดจากพวกเขาด้วย
แต่ว่าตั้งแต่เริ่มจนจบเหยียนลิ่วหยวนไม่ได้ตอบโต้อะไรแม้แต่น้อย เริ่นเสี่ยวซู่ทำเพื่อเหยียนลิ่วหยวนมามาก เสียสละนิดหน่อยเพื่อเริ่นเสี่ยวซู่ไม่นับว่าเป็นอะไรได้
รุ่งเช้าวันต่อมา เริ่นเสี่ยวซู่พาเหยียนลิ่วหยวนไปซื้อเสื้อผ้าที่ร้าน ในเมื่อพวกเขาถูกเชิญไปงานแถมยังมีคำแนะนำให้ใส่ชุดอย่างเป็นทางการอีก ย่อมต้องกระทำไปตามนั้น
ด้วยเหตุนี้ หวังฟู่กุ้ยเลยนำเงินที่เพิ่งแลกมาทั้งหมดให้เริ่นเสี่ยวซู่ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่เอาทองมาจากไหน แต่ก็รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังมีทองคำในครอบครองอีกมาก มากเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการไหว
ส่วนเสี่ยวอวี้เองก็เตือนเริ่นเสี่ยวซู่ย้ำๆ ว่าอย่าขี้เหนียว ต้องใส่ชุดดีๆ
ทว่าพอมาถึงร้านตัดเสื้อชื่อดังในป้อมปราการ เริ่นเสี่ยวซู่ก็พบว่าพวกเขาไม่มีเสื้อผ้าที่เป็นทางการขาย
“เถ้าแก่” เริ่นเสี่ยวซู่เรียกเจ้าของ “ไม่มีชุดแบบทางการบ้างเหรอ พวกเราอยากลอง”
ชายชราเดินออกมาพร้อมสายวัดห้อยคอ ที่แขนแขวนเสื้อไว้หนึ่งตัว ชายเสื้อห้อยลงมา “อยากซื้อชุดทางการงั้นเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ใช่ มีแบบไหนเหมาะกับพวกเราไหม”
ชายชรามองเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนและว่า “ขอโทษที แต่ฉันขายสูทให้พวกเธอไม่ได้”
“เดี๋ยวนะ” เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจ “ทำไมล่ะ ฉันมีเงินนะ!”
“มันไม่ใช่เรื่องเงิน” ชายชราว่าอย่างใจเย็น “ระเบียบของป้อมปราการกล่าวไว้ว่ามีแต่คนของทางการเท่านั้นถึงจะซื้อเสื้อผ้าทางการได้ อีกอย่างร้านเราต้องสั่งตัดสูทเอา แต่พวกเธอสองคนต้องไปร่วมงานคืนนี้ล่ะสิ สูทสั่งตัดต้องใช้เวลาตัดยี่สิบกว่าวันถึงจะเสร็จ ต่อให้สั่งตอนนี้ก็ใส่ไม่ทันคืนนี้หรอก”
คำพูดของชายชราสุภาพมาก ไม่ได้แสดงถึงความอวดดีเย่อหยิ่งแม้แต่น้อยด้วย ทว่าข้อเท็จจริงที่กล่าวออกมาทำให้เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกไร้หนทางมาก
ตอนแรกเขานึกว่าสมาคมตระกูลหยางอยากแสดงความร่ำรวยด้วยการเชิญเขากับเหยียนลิ่วหยวนไปอวดตัวเองเสียอีก พวกเขาคงคิดว่าพวกเริ่นเสี่ยวซู่เป็นผู้อพยพคงไม่มีเงินซื้อสูทหรอก แต่ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าสมาคมตระกูลหยางกำลังอวดเบ่งสถานะของตนเองอยู่
เริ่นเสี่ยวซู่พาเหยียนลิ่วหยวนออกจากร้าน เขาไปหาข้อมูลเส้นทางจากสถานีรถรางเพื่อดูว่ารถรางคันไหนบ้างไปยังคฤหาสน์ตระกูลหยาง
แต่หลังจากสอบถามอยู่นานก็พบว่าไม่มีรถรางคันไหนไปจอดที่คฤหาสน์ตระกูลหยางเลย
เริ่นเสี่ยวซู่ถามคนเดินถนนด้านข้าง “สวัสดีครับ พอรู้ไหมว่ารถรางสายไหนไปคฤหาสน์แกะสัมฤทธิ์”
คนเดินถนนผู้นั้นผงะ “คฤหาสน์แกะสัมฤทธิ์? กำลังจะไปที่นั่นเหรอ ไปทำไมน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “พวกเรากำลังไปร่วมงานเลี้ยงที่สมาคมตระกูลหยางจัดคืนนี้น่ะ”
“ฮ่าๆ” คนเดินถนนหัวเราะและว่า “นายนี่ตลกจริง คนที่ไปร่วมงานเลี้ยงที่นั่นก็มีคนขับรถให้หมดแหละ ทำไมยังต้องขึ้นรถรางอีก คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นไม่ต้องมาอัดกันบนรถรางทุกวันเหมือนพวกเราหรอก!”
เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่มีรถรางไหนพาไป ถ้าอยากจะไปก็ต้องขึ้นรถรางไปยังรอบนอกของคฤหาสน์ จากนั้นก็เดินสิบกว่ากิโลเมตรไปที่นั่น
ต้องมีสูทสั่งตัดกับรถยนต์ถึงจะร่วมงานเลี้ยงได้ โดยพื้นฐานแล้วนี่คือความแตกต่างระหว่างผู้อพยพและคนของสมาคม
ตามระเบียบของป้อมปราการ ความแตกต่างในลำดับชั้นของมนุษย์ก็เหมือนช่องว่างตามธรรมชาติที่เงินตราไม่อาจโถมทับ
ในสายตาของสมาคม เงินสามารถผ่านฝ่ามือไปราวทรายดูด แต่อำนาจคือป้อมปราการป้องกันความมั่งคั่ง
“พี่” เหยียนลิ่วหยวนตีหน้าเศร้า “พวกเขาตั้งใจทำแบบนี้สินะ”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า
สมาคมตระกูลหยางคงกำลังคาดหวังว่าพวกเขาไม่อาจจะหาสูทมาใส่ไปงานเลี้ยง สมาคมต้องใช้สมองสะกดผู้คน ไม่ต่างจากใช้มีดทื่อสับเนื้อ
เหยียนลิ่วหยวนคิดว่าป้อมปราการคงค่อยๆ ยอมรับตนเพราะหยางเสียวจิ่นเป็นคนพาเข้ามา ตอนนี้ถูกข่มเขาพอทนได้เพราะคิดว่าเดี๋ยวมันคงค่อยๆ ดีขึ้น แต่ก็พบว่านับวันคนในป้อมปราการยิ่งไร้เหตุผล เหยียนลิ่วหยวนกระซิบถาม “ไม่ต้องไปงานดีไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มพูด “ไม่สิ จะโดดงานเลี้ยงได้ยังไง ก่อนจะออกจากป้อมปราการ ต้องดูเสียหน่อยว่างานเลี้ยงของสมาคมหน้าตาเป็นยังไง”
ตอนเที่ยง พวกเขาก็กลับถึงบ้านและเจอหลัวหลานกำลังรับประทานอาหารในลาน พอหลัวหลานเห็นพวกเขาก็หัวเราะ “ไหนบอกว่าคืนนี้จะงานเลี้ยงไง ทำไมกลับมาไวจังล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ ทำไมพอคำว่างานเลี้ยงออกจากปากหลัวหลานแล้วฟังดูหยาบโลนจัง
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อายและว่า “เมื่อเช้าออกไปซื้อสูท แต่พอไปถึงก็ร้านก็บอกว่าต้องสั่งตัดล่วงหน้าและมีแต่คนของทางการในป้อมปราการเท่านั้นถึงจะซื้อได้ ไม่มีรถรางไหนไปที่นั่นด้วย”
หลัวหลานคิ้วขมวดมุ่น “ไม่ได้เชิญล่วงหน้าหรือส่งรถมารับพวกนายเหรอไง”
“ไม่มี” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหัว
“พวกลูกเต่านั่นตั้งใจสร้างปัญหาให้พวกนายล่ะสิ” หลัวหลานตบโต๊ะและยืนขึ้น “มากเกินไปแล้ว เดี๋ยวฉันจะตามพวกนายไปด้วย ใส่ชุดธรรมดานี่แหละ ขึ้นรถราง และเดินเข้าไปเลย! ดูสิว่าลูกเต่าคนไหนมันจะกล้าพูดลับหลังพวกเรา! ฉันก็ได้รับจดหมายเชิญเหมือนกัน แต่กะจะไม่ไป!”
หลัวหลานควักจดหมายเชิญที่หน้าตาเหมือนของเริ่นเสี่ยวซู่ออกมาจากอกเสื้อ
เริ่นเสี่ยวซู่มองหลัวหลานและยิ้ม “มีแผนการอะไรอยู่ล่ะรอบนี้”
“จะให้ฉันกินฟรีดื่มฟรีของพวกนายอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” หลัวหลานเช็ดปาก “อีกอย่างพวกเราเป็นเพื่อนกันนะ เพื่อนสนิทด้วย!”
“ไม่กลัวเหรอว่าถ้าเห็นอยู่กับพวกเราแล้วจะโดนดูถูกน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ
“เหอะๆ” หลัวหลานหัวเราะ “ต่อให้ตอนนี้ฉันจะเป็นตัวประกัน แต่ก็เป็นตัวประกันที่มีค่าที่สุดในตะวันตกเฉียงใต้เฟ้ย ใครๆ ก็รู้ว่าชิ่งเจิ่นเป็นคนยังไง ไม่แปลกใจที่สมาคมตระกูลหยางอยากเก็บฉันไว้เป็นตัวประกัน ถ้ามีคนจิ๊บจ๊อยอยากจะจัดการฉัน ก็ต้องดูหน้าตัวเองก่อนนะ ต่อให้ฉันฆ่าคนในป้อมปราการ พวกเขาคงไม่กล้าทำอะไรฉันสักนิด ผู้นำสมาคมตระกูลชิ่งตอนนี้คือชิ่งเจิ่น ชิ่งเจิ่นผู้เจ้าคิดเจ้าแค้น! และเขาก็เป็นน้องชายของฉัน!”
[1] ผู้อพยพ/คนเร่ร่อน 流民 (หลิวหมิน) กุ๊ย/อันธพาล流氓 (หลิวหมาง)