the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 322 ตะลึง
เริ่นเสี่ยวซู่ฟังเสียงคุยกันรอบกายแล้วก็ไม่นึกเลยว่างานเลี้ยงจะสำคัญขนาดนี้ เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างสมาคมตระกูลหยาง ตระกูลจง และป้อมปราการ 178
ขณะเดียวกันหลัวหลานที่อยู่ด้านข้างก็สบถเสียงต่ำ “ฉิบหายแล้ว ตาแก่ในสมาคมตระกูลหยางกำลังเข้าร่วมกับพวกสมาคมตระกูลจงและป้อมปราการ 178 เพื่อกดดันสมาคมตระกูลชิ่ง”
พวกเขาไม่รู้เลยว่าหลัวหลานฟังปุ๊บก็เข้าใจทันทีว่าสมาคมตระกูลหยางกำลังคิดทำอะไรอยู่ ตอนนี้การพ่ายแพ้ของสมาคมตระกูลหลี่เป็นเรื่องแน่นอนแล้ว และผลสงครามก็จะปรากฏออกมาในอีกไม่ช้า ทว่านี่สงครามยังไม่จบ สมาคมตระกูลหยางก็วางแผนจะจัดการสมาคมตระกูลชิ่งแล้ว
ก็ดั่งคำว่าใครไม่คิดวางแผนล่วงหน้า ปัญหาถามหาถึงหน้าประตู หยางอวี้อันวางแผนการสำหรับสงครามนี้ล่วงหน้าไปหลายก้าว ตอนนี้เขากำลังต้องการสร้างพันธมิตรกับสมาคมตระกูลจงและป้อมปราการ 178 เพื่อกดดันสมาคมตระกูลชิ่งยามที่สมาคมตระกูลหลี่ล้มสลายไปแล้ว
สมาคมตระกูลหยางสามารถร่วมกำลังกับสมาคมตระกูลจงและป้อมปราการ 178 ในทางเหนือได้ แต่สมาคมตระกูลชิ่งได้แต่ถูกต้อนเข้ามุมและสู้รบอย่างหัวเดียวกระเทียมลีบ
ที่จริงทางตะวันออกของสมาคมตระกูลชิ่งอยู่ใกล้ที่ราบภาคกลางไม่น้อย แต่ว่าภูเขาที่เป็นปราการธรรมชาตินอกจากจะปกป้องสมาคมตระกูลชิ่งจากภัยภายนอกแล้ว ก็ยังกันไม่ให้พวกเขาเสาะหาพันธมิตรจากกองกำลังอื่นด้วย
ถ้าสมาคมตระกูลหยางจับมือพันธมิตรได้สำเร็จจริงๆ สมาคมตระกูลชิ่งคงได้กลายเป็นหมากโดดเดี่ยวบนกระดาน ถ้าทุกคนในตะวันตกเฉียงเหนือเล็งเป้าไปที่พวกเขา สมาคมตระกูลชิ่งก็คงลงเอยด้วยการเป็นสมาคมตระกูลหลี่ที่สอง!
ระหว่างที่ต่อสู้กับสมาคมตระกูลหลี่ ชิ่งเจิ่นส่งหลัวหลานมาเพื่อร่วมมือกับสมาคมตระกูลหยาง แต่สุดท้ายสมาคมตระกูลหยางก็ซ้อนแผนเอากลยุทธ์เดียวกันมาแว้งกัดชิ่งเจิ่น
แต่หลัวหลานกำลังเป็นห่วงตัวเองมากกว่า “พวกตาแก่กล้าเชิญฉันมางานเลี้ยงด้วยแบบนี้แสดงว่าแม่*ไม่คิดจะปล่อยฉันกลับไปแน่ๆ”
เริ่นเสี่ยวซู่มองเขา “แล้วนายจะทำไง”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวชิ่งเจิ่นก็คิดหาวิธีเอง” หลัวหลานกระดกเหล้าจนหมดแก้ว “แต่ยังไงฉันก็เป็นตัวประกันต่ออยู่ดี กลุ่มบ้านนอกคอกนาพวกนี้รับมือชิ่งเจิ่นไม่ไหวหรอก ที่ต้องระวังคือป้อมปราการ 178 ต่างหาก ฉันเคยบอกให้ชิ่งเจิ่นลอบจัดการจางจิ่งหลินไปซะ แต่เขาไม่ฟังฉันเนี่ย! ดูสิว่าลงเอยยังไง!”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งและว่า “ชิ่งเจิ่นคงคิดอะไรๆ ได้ดีกว่านายแหละมั้ง”
หลัวหลานผงะ “ก็เป็นไปได้ ยังไงน้องชายฉันก็ฉลาดกว่าฉันมาก”
ตอนนี้เองเริ่นเสี่ยวซู่ถึงสังเกตว่าหลัวหลานมักมีนิสัยชื่นชมน้องชายตัวเองตลอดไม่ว่าไปที่ไหน
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็สงสัยว่าหลังจากเอาจดหมายแนะนำให้สูเสี่ยนฉู่แล้วเขาได้ไปป้อมปราการ 178 หรือเปล่านะ แล้วก็สงสัยด้วยว่าสูเสี่ยนฉู่ไปไกลขนาดไหนแล้วเพราะไม่ได้ยินข่าวคราวเลย
ถึงเขาทำให้สูเสี่ยนฉู่เป็นแพะรับบาปเพราะตัวเองมาโดยตลอด แต่เนื่องด้วยสถานการณ์มันบังคับ เขาชอบสูเสี่ยนฉู่จริงๆ เพราะเป็นคนที่จริงใจกับมิตรสหายมาก
ย้อนกลับตอนที่สูเสี่ยนฉู่มาป้อมปราการที่เขาอยู่และได้เจอหน้ากัน สูเสี่ยนฉู่ถึงถามตนด้วยซ้ำว่าอยากกินอะไรไหม และเขามีวอโถวอยู่ครึ่งก้อน
ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงหวังจากใจจริงว่าสูเสี่ยนฉู่จะประสบความสำเร็จและดำเนินชีวิตได้ด้วยดีในป้อมปราการ 178
หลัวหลานหันขวับมองเริ่นเสี่ยวซู่ “นายสนิทกับจางจิ่นหลินนี่ ไปบอกเขาเลยว่าสมาคมตระกูลชิ่งเราจะร่วมมือกับป้อมปราการ 178 จัดการสมาคมตระกูลหยางกับสมาคมตระกูลจงซะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เลิกคิ้ว “ไม่สนิทกันขนาดนั้น ไม่ต้องคิดเลย”
“ฮ่าๆ พูดเฉยๆ น่ะ” หลัวหลานหัวเราะ
คนรอบกายพวกเขาต่างยกแก้วชนคนรู้จัก บ้างก็แนะนำเพื่อนตัวเองกับเพื่อนอีกคน นี่น่าจะเป็นวิธีที่แวดวงสังคมแคบๆ สร้างขึ้นมา ผู้คนที่นี่จะผูกมิตรกับคนที่สามารถหนุนผลประโยชน์แก่ตน และก็จะเข้าพวกกันเพื่อผลประโยชน์ที่ใหญ่หว่า
ตอนนี้มีคนสังเกตเห็นเริ่นเสี่ยวซู่แล้วก็หัวเราะ “ดูสิ สามคนนั่นใส่ชุดธรรมดาแน่ะ ระหว่างเดินทางมาก็เห็นพวกเขาเดินเท้ามาด้วย ไม่รู้ว่าผ่านประตูมาได้ยังไง”
“ฮ่าๆ ฉันก็เห็นเหมือนกัน มาได้ก็คงถูกเชิญแหละ แต่ไม่รู้ใครเชิญมา”
พวกเขากระซิบใส่กัน ถึงกลุ่มเริ่นเสี่ยวซู่จะไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไหวพริบสูงยิ่ง ดูจากสายตาก็รู้แล้วว่าพวกเขาคุยเรื่องพวกตนอยู่ ส่วนว่าคุยอะไรอยู่นั้น ใช้หัวแม่เท้าคิดยังรู้เลย
สุดท้ายคนก็ค่อยๆ หันมาสนใจพวกเริ่นเสี่ยวซู่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขากระซิบใส่กันเหมือนเจอเรื่องน่าสนุกให้คุยอย่างไรอย่างนั้น แต่พวกเขาลดเสียงให้เบาจะได้ไม่เกิดการกระอักกระอ่วนขึ้นถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยิน นี่เป็น ‘มารยาท’ และ ‘ธรรมเนียม’ ที่พวกเขานิยมชมชอบ
แสงไฟสวยสดรอบคฤหาสน์ส่องลงมาในสวน เหยียนลิ่วหยวนพบว่าตนเองกำลังอยู่ท่ามกลางงานยิ่งใหญ่ตระการตา ถ้าให้เขาเลือก เขาคงอยากมองงานเลี้ยงลงมาจากมุมสูงมากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในงานให้ได้ยินเสียงคนซุบซิบใส่ คนรอบตัวเป็นพวกตีสองหน้าที่นินทาพวกเขาภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เขาเคยฝันอยากเข้ามาอยู่ในป้อมปราการกับเริ่นเสี่ยวซู่ แต่พอนึกไปแล้วความฝันนั้นมันช่างน่าตลกเสียจริง ป้อมปราการไม่ได้ดีเด่อะไรเลย เป็นโลกที่เขาไม่ชอบ
หลัวหลานหันมามองและเห็นสายตาเศร้าสร้อยของเหยียนลิ่วหยวน เลยคำรามทันทีว่า “มองห่*อะไร! ใครพูดว่าต้องใส่สูทถึงเข้ามางานเลี้ยงได้ อยากใส่ชุดตามใจไม่ได้หรือไง?!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งขมวดคิ้วว่า “เป็นปัญญาชนหน่อย นี่มันงานของชนชั้นสูง พวกเรารับไม่ได้กับความหยาบคายแบบนี้”
หลัวหลานโกรธจนหัวเราะ เขาเดินเข้าไปตบผัวะชายผู้นั้นทันที จากนั้นก็ตะคอก “กล้าพูดกับฉันด้วยท่าทางแบบนี้งั้นเหรอ ฉันจำหน้านายไว้แล้ว แล้วดูกันว่าใครจะหัวเราะได้ดังสุด!”
ทุกคนตะลึงกับลูกตบของหลัวหลาน ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนกล้าตบผู้อื่นในงานเลี้ยงหรูเช่นนี้!
ชายวัยกลางคนกุมหน้า พูดอย่างมึนงงว่า “รู้หรือเปล่าว่าฉันคือใคร”
หลัวหลานหัวเราะ “อยู่ๆ ก็อยากพูดว่าใครเป็นใครงั้นสิ ทำไมกันล่ะเนี่ย เป็นผู้ชายโดนตบแล้วไม่กล้าสู้กลับ ความกล้าหายไปไหนหมด! ความปากดีหายไปไหน!”
ชายวัยกลางคนย้อน “ฉันคือผู้อำนวยการกองดูแลความสงบเรียบร้อยของป้อมปราการ 88!”
หลัวหลานหรี่ตา “รู้ไหมว่าฉันคือใคร” หลัวหลานมองไปรอบๆ ดั่งพยัคฆ์ร้าย
ทุกคนรู้ดีว่าชิ่งเจิ่นเป็นพยัคฆ์หมอบแห่งสมาคมตระกูลชิ่ง แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเป็นหลัวหลานยับยั้งตัวเองไว้ชิ่งเจิ่นจะได้เฉิดฉายกว่าเดิม
เขาพูดว่าชีวิตตัวเองไร้ค่า ทุกอย่างดีๆ ล้วนเป็นของชิ่งเจิ่นมากกว่าตัวเอง
แต่พยัคฆ์ก็คือพยัคฆ์ ธาตุแท้เป็นอย่างไร สุดท้ายย่อมปรากฏออกมา
หลัวหลานหัวเราะเสียงเย็น “ฟังให้ดี ฉันชื่อหลัวหลาน ใครกล้าท้าทาย?”
ฝูงชนเกิดเสียงฮือฮาในบัดดล ในป้อมปราการ 88 ใครกันล่ะจะไม่รู้จักหลัวหลาน ถึงสมาคมตระกูลหยางจะคุมขังเขาไว้ภายในบ้านในป้อมปราการ แต่ตอนนี้ชิ่งเจิ่นเป็นผู้นำของสมาคมตระกูลชิ่ง ถ้าหลัวหลานยังมีชีวิตทุกอย่างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาตายขึ้นมา ใครกันล่ะจะรับเพลิงโทสะจากชิ่งเจิ่นไหว
จากนั้นทุกคนก็เงียบไป ราวแมลงวันนับหมื่นที่จู่ๆ ก็หยุดบิน
ฝูงชนมองไปยังปลายด้านหนึ่งของสวน เผยให้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ เธอใส่ชุดกีฬา คล้ายๆ กับที่เด็กหนุ่มใส่อยู่