the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 33 รออะไรอยู่น่ะ
เมื่อไหร่ที่เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มสอนเหยียนลิ่วหยวน เสี่ยวอวี่ก็จะฟังเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นเอง เธอก็รู้สึกอิจฉาเหยียนลิ่วหยวนขึ้นมา ถ้าก่อนหน้านี้เธอมีคนคอยชี้แนะนำทางบ้าง เธอคงไม่ทำเรื่องที่ไม่สมควรทำลงไปมากมายขนาดนั้น
“พี่ หลังจากนี้พี่สอนบทเรียนชีวิตให้ผมเยอะๆ ได้ไหม” เหยียนลิ่วหยวนถามอย่างกระตือรือร้น
เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเขา “ฉันสอนเรื่องนั้นทีไรนายก็หลับตลอดไม่ใช่เหรอ ฉันจะให้ฉันสอนไง ผ่านความฝันงั้นสิ?”
“รอบหน้าผมไม่หลับแล้ว” เหยียนลิ่วหยวนมองเสี่ยวอวี้ แล้วหัวเราะขวยเขิน
ตอนนั้นเองก็มีคนมาเคาะประตูคลินิก
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว หันไปมอง ปกติแล้วกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไม่มีใครมาหาเขาหรอก เพราะว่าในเมืองไม่ปลอดภัย
วันนี้มันวันอะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าหวังฟู่กุ้ยกลับมาที่คลินิกอีกรอบน่ะ จากที่เริ่นเสี่ยวซู่มอง คงมีแต่หวังฟู่กุ้ยที่มาหาเขาเวลานี้ได้ อย่างไรเสียบ้านของทั้งคู่ก็อยู่ติดกันอยู่แล้ว
ต่อให้มีใครคิดร้ายต่อหวังฟู่กุ้ย เขาก็สามารถขอความช่วยเหลือที่คลินิกก่อนที่ผู้ร้ายจะลงมืออยู่ดี
เริ่นเสี่ยวซู่เปิดประตู พลางว่า “เหล่าหวัง ลุงต้องหาภรรยาจริงๆ จังๆ แล้วมั้งเนี่ย ทำไมถึงต้องมาเคาะประตูบ้านฉันได้ทุกวี่ทุกวันเลยล่ะฮะ”
แต่พอเปิดประตูออก เริ่นเสี่ยวซู่พลันผงะ ที่มาไม่ใช่หวังฟู่กุ้ยนี่
เริ่นเสี่ยวซู่รู้จักคนผู้นี้ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มักจะเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในเมือง ชื่อว่าจางเป่าเกิน ไม่ทำงานทำงานอะไร ผลาญเงินพ่อแม่ซึ่งทำงานที่โรงงานไปวันๆ
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “มีอะไร”
เขากวาดตามอง แต่ไม่เห็นว่าจางเป่าเกินจะมีร่องบาดเจ็บที่ไหน
ทำไมคนผู้นี้ถึงมาเสียดึกดื่น ถ้าอยากจะปล้นคลินิก ก็มาไกลเกินไปหน่อยนะ…
เริ่นเสี่ยวซู่ตอนนี้มีพละกำลัง 5.5 แต้ม ความคล่องแคล่ว 4.1 แต้ม แถมยังมีประสบการณ์ต่อสู้กับผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตมาอย่างโชกโชน ต่อให้เด็กหนุ่มอย่างจางเป่าเกินมาสิบคน ก็ไม่อาจเป็นคู่มือเริ่นเสี่ยวซู่ได้
จางเป่าเกินรีบพูด “หมอ ดูอาการผมให้หน่อย แต่อย่าเอาไปบอกใครนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพิจารณา แล้วหลบตัวให้เขาเข้ามา รู้สึกสงสัยไม่น้อย “บอกว่าหน่อยสิว่าป่วยเป็นอะไร ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจที่จะเล่าไปหรอก ชีวิตฉันเห็นอะไรมามาก ไม่มีอาการป่วยใดที่ไม่เคยเห็น”
“รอสักครู่นะครับ” จางเป่าเกินถือว่าสุภาพมากทีเดียว
ในเมืองมีคนหนุ่มสาวไม่น้อยที่ยังพึ่งใบบุญพ่อแม่แบบจางเป่าเกิน พวกเขาจะรวมกลุ่มกันขโมยของ กรรโชกผู้อื่น และเสพสังวาสกันเอง ไม่มีใครในเมืองกล้าไปหาเรื่องพวกเขา
แต่แน่นอนว่าจางเป่าเกินไม่ใช่คนโง่งม เขารู้ดีว่าตนเองไม่ควรไปหาเรื่องยั่วยุเริ่นเสี่ยวซู่เช่นกัน
เอาจริงๆ ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องเริ่นเสี่ยวซู่หรอก ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะคล้ายๆ กลุ่มวัยรุ่นพวกนี้ คนในเมืองรู้ดีว่า มีเรื่องกับพวกจางเป่าเกินเท่ากับจะถูกระรานนิดหน่อย ซึ่งยังพอทนได้ อย่างมากก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก
แต่ถ้าเกิดไปยุ่งกับเริ่นเสี่ยวซู่ คงได้ตายซี้แหงแก๋…
จางเป่าเกินปิดประตูคลินิกให้ แล้วหันมาถาม “หมอ มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับผม”
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว แล้วพูด “ถ้านกเขาไม่ขันบอกเลยรักษาไม่ได้”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” จางเป่าเกินว่า “เดี๋ยวผมแสดงให้ดู อย่าตกใจล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่รอดูว่าจะมีอะไร
เขาเห็นจางเป่าเกินอ้าปาก แล้วเป่าฟองน้ำลาย!
เริ่นเสี่ยวซู่ “???”
เชี่ยไรเนี่ย!
แต่ทันในนั้นเอง ฟองน้ำลายก็แตกออกจากปากจางเป่าเกินดังเปาะ เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ถึงพลังงานระเบิดออกจนผลักเขาผงะถอยหลัง
แม้ไม่ได้แรงอะไร แต่ย่อมไม่ใช่ฟองน้ำลายธรรมดาๆ แน่นอน!
“หมอ หมอทำอะไรน่ะ” จางเป่าเกินมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างไม่แน่ใจนัก
“ก็ดูอยู่น่ะสิว่ามีน้ำลายนายกระเด็นมาโดนฉันไหม” หลังจากทำความสะอาดเสื้อผ้าเรียบร้อย เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “นายไปได้พลังนี้มาจากไหน มันไม่ใช่อาการป่วยอะไรนะ ฉันรักษาให้ไม่ได้หรอก”
“แต่พ่อกับแม่บอกว่าผมป่วย หัวผมไม่ปกติ” จางเป่าเกินพูด “ถ้าไม่มาหาหมอ พวกเขาจะไม่สบายใจเลย พ่อกับแม่ผมชอบหมอมากเลย…”
เริ่นเสียวซู่ฟังแล้วรู้สึกแปร่งหูชอบกล เขาคิดพักหนึ่งแล้วว่า “ฉันมองยังไงที่นายมีก็ไม่ใช่อาการป่วยหรอก นายน่าจะเคยได้ยินว่ามีคนมีพลังพิเศษแปลกๆ อยู่บ้างในยุคสมัยนี้”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้โกหก กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคนผู้หนึ่งจู่ๆ มีพลังพิเศษสามารถเสกรถไฟออกมาจากความว่างเปล่าได้
คนในเมืองเล่าลือไปปากต่อปากด้วยความคลุมเครืออย่างตื่นเต้น
แต่ไหงพอเกิดกับพวกตัวเองถึงเรียกว่าเป็นอาการป่วยไปได้ล่ะเนี่ย
พอจางเป่าเกินได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่บอกว่าตัวเองไม่ได้ป่วย ก็เอ่ยขอบคุณอย่างยินดียิ่ง “ขอบคุณหมอมากครับ ผมจะกลับไปบอกพ่อแม่เรื่องนี้”
[ได้รับคำขอบคุณจากจางเป่าเกิน +1!]
จากนั้นจางเป่าเกินก็จากไป เริ่นเสี่ยวซู่อดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่าเด็กคนนี้สุภาพไม่เลวเลย
ทว่าอย่างไรเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ชอบพวกวัยรุ่นอย่างจางเป่าเกิน ยุคสมัยเช่นนี้ ไม่รู้จักขยันหมั่นเพียรทำงานหนัก ย่อมไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้ ที่วัยรุ่นพวกนี้ยังอยู่อย่างสบายใจเฉิบได้ทุกวันนี้เป็นเพราะมีพ่อแม่คอยสนับสนุนอยู่ล้วนๆ เลย
พ่อแม่ทุกคนย่อมเป็นห่วงเป็นใยบุตรธิดาตนเป็นธรรมดา ทว่าพ่อแม่บางคนก็พร้อมจะยอมทำ ‘ทุกอย่าง’เพื่อให้มั่นใจว่าลูกของตนจะมีชีวิตที่ดี
เช้าวันต่อมา หวังฟู่กุ้ยเดินมาที่คลินิกอย่างเงียบงัน เขาดึงเริ่นเสี่ยวซู่ไปด้านข้างแล้วกระซิบ “มีข่าวล่ามาเร็วจะบอก! เฉินไห่ตงเพิ่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนจะมีคนจากอีกป้อมใช้พลังพิเศษโจมตีผู้ปกครองป้อมตัวเอง ตอนนี้พวกเขากำลังสืบสวนพวกมีพลังพิเศษของป้อมปราการอื่นๆ อยู่ ผู้มีพลังพิเศษมีจริงด้วย!”
“เป็นอย่างนั้นหรอกเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ตีหน้าตกใจ “มีผู้มีพลังพิเศษอยู่จริงงั้นเหรอ”
“ใครจะไปรู้ล่ะเนอะ” หวังฟู่กุ้ยหัวเราะ “แต่ยังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราอยู่ดี”
“ก็จริง” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะตาม ทว่าในใจกำลังคิดเรื่องเมื่อคืน สงสัยนักว่าจางเป่าเกินบอกเรื่องตัวเองกับใครหรือเปล่า
มีคนปากสว่างอย่างหวังฟู่กุ้ยอยู่รอบกายนี่เป็นเรื่องดีจริงแท้ คนผู้นี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนในป้อม ข่าวเข้าหูไวกว่าคนอื่นในเมืองมาก
ถึงว่าทำไมหวังฟู่กุ้ยถึงมีชีวิตดีกว่าคนอื่นๆในเมือง ดูทรงแล้วเพราะเรื่องหูไวตาว่องเนี่ยแหละ
ทันใดนั้นเองหวังฟู่กุ้ยก็หัวเราะโง่งมออกแล้วแล้วถามว่า “เสี่ยวซู่ ถ้าฉันมีพลังพิเศษบ้าง คงหาภรรยาได้ง่ายๆ สินะ?”
“เลิกคิดเรื่องนั้นเถอะลุง” เริ่นเสี่ยวซู่หยอกล้อ “ลูกชายโง่ของลุงร้องห่มร้องไห้บ่อน้ำตาแตกขนาดนั้นลุงยังไม่เลิกคิดจะหาเมียอีกเหรอ”
“วาจาไร้สาระ ลูกฉันไม่ได้โง่เฟ้ย” หวังฟู่กุ้ยไม่พอใจ “เขามายุ่งกงการอะไรเรื่องฉันไม่ได้หรอก แถมฉันก็พูดไปงั้นเองแหละ ถ้าฉันมีพลังพิเศษนะ…”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดขัด “ถ้าลุงอยากมีภรรยา ก็มีได้ไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ ลุงรออะไรอยู่”
หวังฟู่กุ้ย “…”