the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 330 ปราบโจร
จากที่หยางเสียวจิ่นว่าไว้ พวกเขาจะออกจากป้อมปราการ 88 จากนั้นก็เดินทางผ่านป้อมปราการ 97 และ 99 ก่อนจะถึงหุบเขาในทางเหนือ
ถิ่นกำเนิดของพวกโจรอยู่ที่นั่น เดิมทีสมาคมตระกูลจงใช้งานพวกเขาในการปล้นเหล่าพ่อค้าที่เดินทางมา และใช้ในการยึดครองทรัพยากรจากอารยธรรมก่อนภัยพิบัติที่ถูกทิ้งไว้ในหุบเขา
เหนือและใต้หุบเขามีซากโครงสร้างเมืองขนาดใหญ่ที่เหลือจากภัยพิบัติ ส่วนใหญ่แล้วเป็นของไม่มีค่า แต่ถ้าเจออะไรใช้งานได้ขึ้นมาก็ถือว่ามีค่าเหนือประมาณ
ครั้งหนึ่งมีกลุ่มพ่อค้าเดินทางผ่านพื้นที่โดยอ้างว่าเป็นการเดินทางทำธุรกิจ แต่ว่าที่จริงพวกเขาเข้าหุบเขาเพื่อมาขุดค้นทรัพยากรและเทคโนโลยีที่ใช้งานได้ในหุบเขานี้
มีคนพยายามใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในการขุดค้นหาเทคโนโลยีและความลับในหุบเขา แต่ที่จริงมันยังมีหมอกนิวเคลียร์และซากกัมมันตรังสีเล็ดลอดออกมาทำลายอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างบนพื้น
ของที่พบส่วนใหญ่พุพังไปหมดแล้ว ต่อให้มีการเก็บรักษาแบบไม่เลวก็ไม่รอด
ตอนแรกสมาคมตระกูลจงก็จะปล่อยให้กลุ่มพ่อค้าขุดค้นไปตามใจ แต่หลังจากขุดเสร็จ พวกโจรก็จะโผล่มาปล้นของมีค่าไป
สุดท้ายคือกลุ่มโจรเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากการออกปล้นชิง ส่วนตระกูลจงก็กลายมาเป็นขุมอำนาจที่ไม่อาจมองข้ามได้ในทางเหนือ
แต่สมาคมทางการทั้งหลายปกติแล้วดูหมิ่นสมาคมตระกูลจง เพราะรู้สึกว่าสมาคมตระกูลจงทำอะไรไม่ลึกซึ้ง
เพื่อที่จะชุบตัวเอง หลายปีมานี้สมาคมตระกูลจงเริ่มแยกตัวออกห่างจากเหล่าโจร แต่เมื่อคิดจะสังหารพวกโจร ก็พบว่าพวกโจรนั้นเชี่ยวชาญพื้นที่และกระจัดกระจายอยู่ทั่วในหุบเขาไปแล้ว ทำให้สมาคมตระกูลจงปวดหัวไม่น้อย
ตอนนี้โจรทั่วหุบเขาไม่พอใจสมาคมตระกูลจง พวกเขาเคยให้บรรณาการอยู่ทุกปี จู่ๆ ก็โม่แป้งเสร็จฆ่าลาเสียได้ อำมหิตเกินไปแล้ว!
และตอนนี้สมาคมตระกูลจงร่วมมือกำลังร่วมมือกับสมาคมตระกูลหยางและป้อมปราการ 178 เพื่อมาคานอำนาจพวกเขา และทำทุกอย่างก็เพื่อทำลายความชั่วช้าในอดีต ตราบใดที่ทำลายโจรได้หมด หลังจากผ่านไปทุกคนก็จะลืมแล้วว่าสมาคมตระกูลจงเริ่มต้นมาจากไหน
ที่บ้าน เสี่ยวอวี้กล่าว “ฉันทำขนมให้ อันนี้เป็นขนมโก๋ชื่อดังในป้อมปราการ เอาไปด้วย และก็…”
เริ่นเสี่ยวซู่ฟังเสียวอวี้พูด เสี่ยวอวี้เป็นคนจัดเตรียมข้าวของสำหรับเดินทางไกลให้เขาตลอด เขาไม่จำเป็นต้องเตรียมของเองแล้ว
หลัวหลานปีนกำแพงขึ้นมาดู เขาพูดขัด “เอาอาหารไปเยอะจัง ทำไมไม่พาฉันไปด้วยล่ะ ฉันก็สู้ได้ไม่เลวนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่มองหลัวหลานอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “รู้หรือเปล่าว่าทำไมคนเงียบๆ ถึงฉลาดกว่าคนพูดเก่ง”
หลัวหลานแปลกใจ “ทำไมเหรอ”
“เพราะว่าพวกเขาซ่อนความโง่ไว้ข้างในไง”
หลัวหลาน “…”
เริ่นเสี่ยวซู่โพล่งถาม “เคยได้ยินชื่อจงเฉิงไหม”
“จงเฉิง?” หลัวหลานพยายามย้อนความจำ “ไม่เคยได้ยินมาก่อนแฮะ แต่เดาว่าน่าจะเป็นคนของตระกูลจงล่ะสิ พวกเราไม่ค่อยคุ้นเคยกับฝ่ายนั้นเท่าไร”
“สมาคมตระกูลชิ่งมีชายแดนติดกับอาณาเขตของสมาคมตระกูลจงในทางเหนือไม่ใช่เหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ตระกูลจงมันพวกฝูงไฮยีน่า ไม่ใช่สมาคมทรงเกียรติ ไม่มีที่ไหนอยากจะไปยุ่งด้วยหรอก พยัคฆ์ไม่ผูกมิตรกับไฮยีน่า” หลัวหลานว่า “ไม่ว่ายังไงนายก็ต้องระวังพวกเขาด้วยล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้ว่าถึงเวลาเดินทางแล้วหลังจากมีเสียงรถมาหยุดนอกบ้าน หวังฟู่กุ้ย เหยียนลิ่วหยวน และคนอื่นๆ มาส่งเขาและเตือนว่าให้รักษาตัว
เริ่นเสี่ยวซู่เปิดประตูออกไปบนถนน เขาเห็นหยางเสียวจิ่นขับรถออฟโรดมา ข้างๆ เธอไม่มีใคร นอกจากนี้ยังมีรถบรรทุกทหารอีกสองคันอยู่ข้างหลัง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะส่งทหารกับข้าวของมาจำนวนหนึ่ง
“ขึ้นรถ” หยางเสียวจิ่นว่า
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปหาสั่งเหยียนลิ่วหยวน “ตอนฉันไม่อยู่ ดูแลครอบครัวเราด้วย”
“อืม” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้าหงึกหงัก
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เปิดประตูขึ้นรถ ระหว่างทางเริ่นเสี่ยวซู่ถามเรื่อยเปื่อยว่า “รถบรรทุกข้างหลังเรามีทหารกี่นายน่ะ”
หยางเสียวจิ่นเหลือบมองเขา “ทหารนาโนแมชชีนสามสิบนาย พวกเขามาช่วยพวกเราปราบโจร”
“ทหารนาโนแมชชีน?” เริ่นเสี่ยวซู่ตาทอประกาย แต่ว่าก็สลัดความคิดจัดการทหารพวกนั้นไปในทันควัน อย่างไรพวกเขาก็มาปกป้องหยางเสียวจิ่น เขาไม่ควรโจมตีทหารนาโนแมชชีนพวกนั้น แต่พอคิดแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกลังเลใจอยู่ ถึงเขากับลิ่วหยวนจะมีนาโนแมชชีนเหลือเฟือ แต่หวังอวี่ฉือและคนอื่นๆ นั้นยังมีไม่พอ
หยางเสียวจิ่นหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วถาม “นายไปพูดอะไรกับอาสามฉัน เขาถึงเปลี่ยนท่าทีทันที เขาถึงกับบอกให้ฉันตีสนิทกับนายด้วย”
“ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนะ” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “แค่บอกว่าฉันเป็นลูกศิษย์ของจางจิ่งหลิน ซึ่งก็ไม่ผิดนี่?”
หยางเสียวจิ่นจ้องเขาเขม็ง “อาสามของฉันสนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตน อย่าไปโดนรูปลักษณ์ของเขาหลอกได้ล่ะ ถ้าเขารู้ว่านายโกหกเขา เขาอาจจะเปลี่ยนท่าทีทันที”
ถ้าหยางอวี้อันรู้ว่าที่เริ่นเสี่ยวซู่พูดถึง ‘เข้าแทนที่ตำแหน่ง’ นั่นหมายถึงตำแหน่งอาจารย์ประจำโรงเรียนล่ะก็ ท่าทีที่เขามีต่อเริ่นเสี่ยวซู่ต้องเปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังแน่นอน เขาคงไม่ได้ทิ้งเริ่นเสี่ยวซู่ออกจากตัวเลือกไปอย่างสิ้นเชิง แต่จงเฉิงจะดูเหมาะสมกว่า
เริ่นเสี่ยวซู่พลันถาม “แล้วเธอล่ะ”
หยางเสียวจิ่น “ลองเดาดูสิ”
เธอเหยียบคันเร่ง จากนั้นรถออฟโรดก็เร่งตัวไปยังประตูเหนือของป้อมปราการ 88 พวกเขานัดเจอกับคนของสมาคมตระกูลจงที่นั่น
พอเริ่นเสี่ยวซู่และขบวนรถเคลื่อนตัวจากไปแล้ว เหยียนลิ่วหยวนก็เหม่อมองตามรถออฟโรดไปพักหนึ่ง เสี่ยวอวี้เดินมาหาเขา “ไม่ต้องเป็นห่วง อาการบาดเจ็บของพี่นายดีขึ้นมากแล้ว เขาไม่เป็นอะไรหรอก”
“อืม” เหยียนลิ่วหยวนว่า “แต่ผมไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก”
“งั้นเธอคิดเรื่องอะไรอยู่” เสี่ยวอวี้ยิ้ม
เหยียนลิ่วหยวนมองเสี่ยวอวี้ “พี่สาว พรุ่งนี้โรงเรียนมีประชุมผู้ปกครอง พี่ไปแทนพี่ชายผมได้ไหม”
เสี่ยวอวี้อาหลักอาเหลื่อเล็กน้อย “ฉัน? ฉันไปได้เหรอ”
“พี่เป็นพี่สาวผมนะ พี่ไปได้อยู่แล้ว” เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม
ถึงเสี่ยวอวี้จะอยู่กับพวกเขามานานแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนเองก็ยอมรับเธออย่างเต็มหัวใจ แต่บางครั้งกลางดึกๆ ดื่นๆ เธอก็รู้สึกใจเป็นกังวล เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้จริงๆ หรือยัง
จะให้เธอไปเข้าร่วมประชุมผู้ปกครองได้ พวกเธอก็ต้องเป็นครอบครัวกันจริงๆ ไม่ใช่หรือ อีกอย่าง การที่เหยียนลิ่วหยวนเรียกเธอว่า ‘พี่สาว’ แทนที่จะเป็น ‘พี่เสี่ยวอวี้’ ทำให้เธอรู้สึกว่าสัมพันธ์ของเขากับเธอสนิทชิดเชื้อขึ้นมา
เสี่ยวอวี้ถามอย่างสงสัยว่า “ฉันควรแต่งตัวหน่อยดีไหมนะ”
เสี่ยวอวี้จะแต่งหน้าอยู่ตลอดตอนอยู่ในเมืองน้อยของป้อมปราการ 113 แต่ว่าตั้งแต่ติดตามเริ่นเสี่ยวซู่และเหยียนลิ่วหยวนมา เวลาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แต่หน้าอีกเพราะทำแต่งานบ้าน เกือบทุกวันล้วนเป็นหน้าสด
แต่ว่าตอนนี้เธอต้องไปเข้าร่วมประชุมผู้ปกครองกับเหยียนลิ่วหยวน จะให้เพื่อนร่วมห้องของเหยียนลิ่วหยวนดูหมิ่นว่าพี่สาวเขาเป็นหญิงหยาบกระด้างไม่ได้หรอก เธอต้องจัดเต็ม!
เหยียนลิ่วหยวนยิ้มมองเสี่ยวอวี้ “พี่สาวผมไม่ต้องแต่งหน้าก็สวยอยู่แล้ว พูดจริงนะ”
เสี่ยวอวี้กลอกตาใส่เขา “ปากหวานจริงๆ เลย!”