the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 331 การประชุมผู้ปกครอง
นี่เป็นครั้งแรกที่เหยียนลิ่วหยวนได้ยินเกี่ยวกับการประชุมผู้ปกครองของโรงเรียนในป้อมปราการ เขาไม่รู้จักคำนี้จนกระทั่งครูมาแจ้งเขา แต่ก็สงสัยอยู่ว่ามันคืออะไร
เจียงอู๋บอกว่าเป็นการประชุมเกี่ยวกับความคืบหน้าการเรียนของนักเรียนและพูดถึงปัญหาที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องใส่ใจ ไม่มีอะไรพิเศษ พอเจียงอู๋พูดเช่นนั้นเขาก็โล่งอก
ทว่าเขาไม่ได้บอกเริ่นเสี่ยวซู่เพราะกลัวจะไปกระทบกับการเดินทางของเขาเข้า แต่แน่ล่ะว่าเขายังมีเหตุอื่นที่ไม่บอก
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เสี่ยวอวี้จะได้เข้าร่วมประชุมผู้ปกครองด้วย เธอตั้งใจไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ในป้อมปราการ ทั้งยังซื้ออุปกรณ์แต่งหน้าและเครื่องประดับมาด้วย
หลังจากเสี่ยวอวี้แต่งตัวเสร็จและเดินออกจากห้องมา เหยียนลิ่วหยวนก็ตาทอประกายทันที “พี่เสี่ยวอวี้สวยมากเลย”
เสี่ยวอวี้ใส่ต่างหูเรียบๆ คู่หนึ่ง เสื้อกันหนาวขนเป็ดและรองเท้าบูทใหม่ เดิมทีเธอจะใส่กระโปรงแล้ว แต่เหยียนลิ่วหยวนโน้มน้าวว่าอย่าเลยเพราะอากาศหนาวเกินไป
ตอนแรกเสี่ยวอวี้โปะหน้าหนาเกินไปเพราะกำลังวิตกกังวล แต่เหยียนลิ่วหยวนหัวเราะอยู่นานก็เข้ามาช่วยเธอล้างหน้า
เหยียนลิ่วหยวนว่า “พี่สาว เดิมทีพี่ก็สวยอยู่แล้ว ต่อให้ไม่แต่งหน้าเลยก็ยังดูดี”
เสี่ยวอวี้จิ้มหน้าผากเขาและว่า “ปากหวานจริงๆ ไปประชุมผู้ปกครองกันได้แล้ว”
“หลังเห็นพี่ พวกนักเรียนต้องละสายตาไปไม่ได้แหง” เหยียนลิ่วหยวนยิ้ม
ไม่ว่าเหยียนลิ่วหยวนไปที่ไหนก็เป็นเพื่อนกับผู้หญิงได้หมด ถึงเขาจะชมคนแบบกิจจะลักษณะไม่เป็น แต่ก็ชดเชยด้วยการชมบ่อยๆ เอา อย่างไรผู้หญิงก็ชอบถูกชมอยู่แล้ว
และเหยียนลิ่วหยวนที่เห็นเสี่ยวอวี้มีความสุขก็ปิติยินดีขึ้นมาจริงๆ
เสี่ยวอวี้ขึ้นรถรางไปโรงเรียนพร้อมเหยียนลิ่วหยวนและหวังต้าหลง ขณะอยู่บนรถราง เหยียนลิ่วหยวนก็พูด “ดูสิ ตาแก่ข้างหลังเราจ้องพี่ตาไม่กระพริบแนะ”
พอมาถึงโรงเรียน เหยียนลิ่วหยวนก็เห็นว่ามีคนมารวมตัวกันเยอะแล้ว เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ของโรงเรียนมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลในป้อมปราการ ทุกคนจึงล้วนมีรถส่วนตัวกัน เพราะพวกเขาต้องขึ้นรถรางมา จึงไม่แปลกที่จะมาช้า แต่โชคยังดีที่ไม่ได้มาสาย
แต่พอเข้าไปในห้องเรียน เหยียนลิ่วหยวนก็สังเกตเห็นว่าสายตาของพวกผู้ปกครองแปลกไปเล็กน้อย พวกเขาต่างสำรวจมองพวกตน และกระซิบไปยังเด็กๆ และผู้ปกครองด้านข้าง
ครูหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องเรียน เธอยิ้มกล่าว “ผลคะแนนสอบปลายภาคของห้องเราเมื่อเทอมที่แล้วดีมากๆ ขอเสียงปรบมือเสริมกำลังใจให้เด็กๆ สักรอบค่ะ”
เสี่ยวอวี้ก็ปรบมือไปด้วย แต่เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ด้านข้างกระซิบ “พี่ ผมไม่ได้เข้าสอบปลายภาคนั่นเสียหน่อย ไม่ต้องปรบมือก็ได้”
เสี่ยวอวี้มองเขาเป็นเชิงถามไถ่ “ต่อให้เธอไม่ได้เข้าสอบ ฉันก็ยังเสริมกำลังใจให้เธอได้ไม่ใช่เหรอไง เธอเป็นเด็กดี ฉันก็ต้องให้กำลังใจสิ”
เหยียนลิ่วหยวนกลั้นหัวเราะ
ครูพูดถึงเรื่องวิชาเรียนกับคาบสอนเสริมสุดสัปดาห์อยู่หน้าห้อง เธอแนะนำให้พวกเด็กๆ เรียนพิเศษเพราะว่านักเรียนห้องนี้มีโอกาสได้เข้ามหาวิทยาลัยในอนาคต ถ้าได้เรียนวิชาสูงกว่าปีตัวเองแต่เนิ่นๆ พวกเขาก็จะนำหน้าพวกนักเรียนที่อยู่ชั้นมัธยม
ก็อย่างที่ว่า ก้าวก่อนนำก่อน หลักการเช่นนั้นแหละ
เหยียนลิ่วหยวนกับเสี่ยวอวี้ไม่ได้ฟังอะไรคำพูดครูมากนัก ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะรบเร้าให้เขาตั้งใจเรียน แต่เสี่ยวอวี้กลัวว่าเหยียนลิ่วหยวนจะเหนื่อยกับการเรียนเกินไป จึงไม่ได้ย้ำเรื่องการเรียนของเขานัก เธอรู้ดีว่านี่เป็นการตามใจเขา แต่มันก็อดใจไม่ได้จริงๆ…
ตอนนี้เอง ครูก็พูดว่า “เรื่องมันเป็นแบบนี้ค่ะ ที่ฉันเรียกประชุมผู้ปกครองในตอนบ่ายสุดสัปดาห์เพราะว่าอยากใช้โอกาสนี้ถกปัญหาบางอย่างกับทุกคน”
ทั้งห้องเงียบงัน ก่อนครูจะว่า “เหยียนลิ่วหยวน? หวังต้าหลง? พ่อแม่เธออยู่ที่นี่หรือเปล่า”
เหยียนลิ่วหยวนเงยหน้ามองเธอ ครูยิ้มให้เสี่ยวอวี้และว่า “คุณน่าจะเป็นผู้ปกครองของเหยียนลิ่วหยวนสินะ”
เสี่ยวอวี้ยิ้ม “ใช่ค่ะ ฉันเป็นพี่สาวของเหยียนลิ่วหยวนกับหวังต้าหลง”
“คุณยังดูเด็กมากเลย พ่อแม่พวกเขาไปไหน ทำไมถึงไม่มาล่ะ” ครูว่า
เสี่ยวอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะว่า “คุณครูพูดกับฉันได้ ไม่มีปัญหาอะไร”
“คือว่ามันเป็นอย่างนี้” ครูหญิงว่า “บรรดาพ่อแม่ให้ข้อเสนอแนะมาว่าเหยียนลิ่วหยวนกับหวังต้าลงเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ห้องเรียนพวกเราเป็นห้องเรียนระดับบนของโรงเรียน ขณะคุณครูสอน ก็จะเสริมความรู้เหนือจากระดับชั้นที่เรียนอยู่ไป พื้นฐานของพวกเขาไม่ดีพอ เรียนตามเพื่อนไม่ทันเลย”
ยิ่งครูพูดไป อารมณ์ของเสี่ยวอวี้ก็หม่นหมองไป เธอนึกว่านี่จะเป็นการประชุมผู้ปกครองธรรมดาเสียอีก เจียงอู๋บอกว่าน่าจะเป็นการคุยกันเรื่องปัญหาทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ
แต่ดูเหมือนเรื่องจะต่างไปจากที่พวกเธอคิดเล็กน้อย
เสี่ยวอวี้ว่า “คุณครูต้องการสื่ออะไร ลิ่วหยวนกับต้าหลงของฉันฉลาดมาก พวกเขาจะเรียนตามไม่ทันได้ยังไง”
“อย่าเข้าใจผิดค่ะ” ครูผู้หญิงยิ้มเอ่ย “ฉันแค่อยากให้พวกเขาเปลี่ยนห้องเรียน ครูใหญ่ท่านทราบเรื่องนี้แล้ว และพวกเราทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวพวกเขาเองด้วย ถ้าพวกเขาเรียนตามไม่ได้ ความรู้ก็จะไม่ก้าวหน้า และมันก็จะไม่ดีต่อตัวพวกเขาเอง พวกเราแค่ย้ายพวกเขาไปห้องเรียนธรรมดา ไม่ได้มีความหมายอื่นๆ เลย อย่าคิดมากไปค่ะ”
ที่ครูผู้นี้พูดก็ไม่ผิด และเธอก็ใช้เหตุผลเดียวกันนี้โน้มน้าวครูใหญ่ นี่ก็เพื่อตัวเหยียนลิ่วหยวนและหวังต้าหลงเอง เพราะเขาเรียนตามเพื่อนไม่ทันจริงๆ
เหยียนลิ่วหยวนและหวังต้าหลงสนิทใกล้ชิดกับลู่หย่วน ดังนั้นตอนแรกครูใหญ่เลยไม่เห็นด้วย แต่ว่าสุดท้ายก็ต้องยอมเพราะไม่อาจตอบปัดข้อเรียกร้องที่มาไม่หยุดจากบรรดาพ่อแม่ที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพล อีกทั้งเหตุผลพวกเขาก็ไม่ผิดด้วย
ต่อให้ลู่หย่วนจะฝากคนรู้จักให้ช่วยพาเหยียนลิ่วหยวนและหวังต้าหลงเข้าเรียน แต่คนผู้นั้นไม่ได้เป็นคนมีอิทธิพลอะไรนัก หลังจากชั่งน้ำหนักดูแล้ว ครูใหญ่ก็สั่งให้ครูประจำชั้นจัดการเรื่องนี้
เสี่ยวอวี้กล่าวกับครูหญิงเสียงหนักแน่น “ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจการจัดการของคุณ และแม้การตัดสินใจที่คุณพูดขึ้นมานี้จะดีต่อพวกเขาจริงๆ แต่ฉันมั่นใจอยู่เรื่องหนึ่งนะ คุณควรจะมาคุยเรื่องนี้กับฉันเป็นการส่วนตัวมากกว่าจะมาใช้วิธีทำให้ผู้อื่นเสียหน้าต่อหน้าห้องเรียนแบบนี้” ถึงเสี่ยวอวี้จะไม่ใช่คนที่มีความรู้มากมาย แต่เธอเข้าใจหลักการของโลกนี้
ทันใดนั้น แม่นักเรียนร่างเตี้ยคนหนึ่งก็ว่า “ทำไมพวกเราต้องมาพูดถึงเหตุผลกับผู้อพยพแบบเธอด้วย สามีฉันเป็นผู้อำนวยการของกองดูแลรักษาความเรียบร้อย ต่อให้ฉันจะพูดว่าเด็กสองคนนี้ไม่มีสิทธิ์เข้าเรียน แล้วมันจะยังไง”
ถ้าผู้อำนวยการกองดูแลความสงบเรียบร้อยมาอยู่นี่ด้วย เขาคงไม่กล้าพูดแบบนี้แน่นอน ถ้าเขารู้ว่านักเรียนทั้งสองคนเป็นน้องชายของเริ่นเสี่ยวซู่ เขาอาจจะตบภรรยาตัวเองเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ แต่ในยุคสมัยเช่นนี้ ชายผู้มีอำนาจมีหรือจะสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการประชุมผู้ปกครอง
ในทางกลับกัน ญาติ เพื่อน และภรรยา คุ้นเคยกับการการเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือแล้ว
พฤติกรรมเช่นนี้มีอยู่ทุกที่ในสังคม
พ่อนักเรียนคนหนึ่งพยายามโน้มน้าวแม่นักเรียน “คุณจะพูดแบบนั้นไม่ได้นะ พวกเราควรพูดอย่างสันติสิ อย่าใช้อำนาจไปกดดันผู้อื่น”
ขณะเดียวกันพ่อแม่คนอื่นๆ ก็เงียบไป