the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 334 นักมายากลจงเฉิง
เริ่นเสี่ยวซู่จะรู้สึกว่าป้อมปราการ 178 ยากจนมากก็ไม่ผิด เพราะที่ตั้งในสภาพแวดล้อมโหดร้ายแบบนั้นดูใช่ว่าจะมีความร่ำรวยมากเสียหน่อย แต่คำอธิบายของหยางเสียวจิ่นทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมสายตาคนมากมายถึงจับจ้องไปที่ป้อมปราการ 178 แม้มันจะอยู่สุดขอบชายแดน
ถึงว่าทำไมป้อมปราการ 178 อยากปราบโจรและเปิดเส้นทางการค้าใหม่ เพราะต้องขนถ่ายแร่พวกนั้นไปยังที่ราบตอนกลาง!
ที่สำคัญคือจางจิ่งหลินเคยปฏิเสธจะเป็นผู้บัญชาการป้อมปราการ 178 ด้วยทั้งๆ ที่พวกเขาร่ำรวยขนาดนั้นน่ะนะ? คือสมองกลับไปแล้วอย่างไร!
เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มปรามาศจางจิ่งหลิ่น…
พอมาถึงป้อมปราการที่สองเพื่อทำการซ่อมบำรุง หยางเสียวจิ่นก็หายตัวไปไหนไม่ทราบอีกครั้ง ขณะเดียวกันเริ่นเสี่ยวซู่ไปแลกทองเป็นเงินเสร็จก็กลับมาที่รวมพลก่อนเวลา ตอนที่เขามาถึงหยางเสียวจิ่นยังไม่กลับมา จงเฉิงกำลังหัวเราะพูดคุยกับทหารนาโนแมชชีนของสมาคมตระกูลหยาง
ทหารของเขาเองนำเก้าอี้พับและนำอาหารเฉพาะของทางเหนือมาให้พวกเขากินต่างขนม
ดูเหมือนว่าจงเฉิงจะสนใจทหารนาโนแมชชีนและอยากจะพูดคุยกับพวกเขามาก ไม่ว่าทหารนาโนแมชชีนจะหยิ่งผยองแค่ไหนก็ไม่อาจเชิดหน้าต่อคนสำคัญของสมาคมตระกูลจง พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกไม่น้อย
พอเริ่นเสี่ยวซู่กลับมา เขายังไม่เข้าไปหาพวกเขาทันทีแต่สังเกตพวกเขาจากไกลๆ ดูเหมือนว่าจงเฉิงกำลังแสดงมายากลให้พวกทหารนาโนแมชชีนดูอยู่ จงเฉิงถือขวดน้ำไว้ในมือและถามทหารนาโนแมชชีนนายหนึ่ง “ปกติคุณชอบดื่มอะไรเหรอ”
ทหารนาโนแมชชีนยิ้ม “ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ผมขอน้ำเปล่าพอ”
“ได้” จงเฉิงว่า เอียงขวดเล็กน้อยและเทน้ำสีใสออกมา
จงเฉิงหันไปหาทหารอีกนาย “คุณจะเอาอะไร รอบนี้ขออย่างอื่นนะ”
“ผมขอน้ำองุ่น” ทหารนาโนแมชชีนว่า
“ได้” จงเฉิงยังคงถือน้ำขวดเดิมในมือ แต่คราวนี้นำที่อยู่ขวดไม่ใช่น้ำสีใสแล้ว น้ำที่เขาเทออกมาเป็นสีม่วงของน้ำองุ่น
ทหารนาโนแมชชีนอุทาน “ในขวดน่าจะมีกลไกอะไรบางอย่างใช่ไหมครับ”
“ลองตรวจด้วยตัวเองสิ” จงเฉิงยื่นขวดไปให้หนึ่งในทหารนาโนแมชชีน เขามองเข้าไปในขวด แต่ก็ไม่เห็นกลไกลอะไร
จงเฉิงหันไปรอบๆ และเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ “พี่น้องเสี่ยวซู่! มองอะไรจากตรงนั้นนะ มานั่งกับพวกเราพักหนึ่งสิ เดี๋ยวหยางเสียวจิ่นกลับมาค่อยออกเดินทาง”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มและว่า “นายเล่นกลไพ่เป็นไหม”
“เป็นของที่นักมายากลทุกคนต้องเรียนอยู่แล้ว” จงเฉิงควักไพ่สำรับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “อยากเห็นกลไพ่แบบไหนล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่พลันรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ทำไมบุคคลแกนหลักของสมาคมหนึ่งถึงรู้จักมายากลได้ เขาเคยได้ยินมาว่าจงเฉิงเป็นผู้มีพลังพิเศษ ดังนั้นพลังของเขาน่าจะเกี่ยวกับมายากลสินะ?
เริ่นเสี่ยวยิ้ม “เสกไพ่สี่แต้มสี่ใบให้หน่อยสิ”
“ง่ายมาก” จงเฉิงยิ้มอย่างมั่นใจ “หยิบไพ่ไหนก็ได้มาสี่ใบ”
เขาคว่ำไพ่ลงไม่ให้ใครเห็นว่าเป็นไพ่อะไร
เริ่นเสี่ยวซู่ยื่นมือออกมาหยิบไพ่ ไพ่สำหรับมายากลสินะ บังเอิญจังเขาก็มีไพ่คล้ายๆ กันนี่
“ว้าว เป็นไพ่สี่แต้มสี่ใบจริงๆ ด้วย” เริ่นเสี่ยวซู่มองไพ่ในมือและว่าอย่างแปลกใจ “สหายจงเฉิงเก่งกาจจริงๆ” จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ส่งไพ่คืนให้เขา
จงเฉิงนิ่งไป รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“อย่าพูดงั้นสิ ไม่ใช่เรื่องใหญ่” จงเฉิงยิ้มก่อนจะเก็บไพ่กลับเข้ากล่อง จากนั้นก็ยัดลงไปในกระเป๋าแจ็กเก็ต
จากนั้นจงเฉิงก็พูดพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ว่าแต่สหายเสี่ยวซู่ ได้ยินมาว่านายสนิทกับสูเสี่ยนฉู่มากงั้นเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาและว่า “คิดว่างั้นนะ ฉันแค่พยายามแนะนำผู้มีพรสวรรค์ให้อาจารย์เฉยๆ”
เขารู้ว่าจงเฉิงพยายามจะทำอะไร และเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ปล่อยโอกาสเพิ่ม ‘เครื่องราง’ นี้ให้หลุดรอดไป
จงเฉิงยังคงยิ้ม “ฉันเองก็สนิทกับสหายสู่มาก ราวกับโชคชะตานำพามาให้พบกัน ว่าแต่ว่า อาจารย์ของนายคือ…”
“จางจิ่งหลิน” เริ่นเสี่ยวซู่กระซิบ “ปกติฉันไม่บอกความลับกับใครหรอกนะ ฉันชอบทำตัวเงียบๆ น่ะ”
จงเฉิงตากระตุก นี่ยังเรียนว่าเป็นความลับอีกเหรอ คนเขารู้กันทั้งสมาคมตระกูลหยางแล้ว!
ขนาดเขายังรู้ข่าว ตอนแรกเขาก็กังขาอยู่บ้าง ต้องตรวจสอบอีกรอบว่าเป็นเรื่องจริงไหม และคนผู้นั้นก็ว่าทุกคนในป้อมปราการ 88 รู้กันหมดแล้ว อีกทั้งน้องชายของเริ่นเสี่ยวซู่ยังทำให้ผู้อำนวยกองดูแลความสงบเรียบร้อยต้องกล้ำกลืนความลำบากไปอีก
ก่อนออกเดินทาง จงเฉิงก็รู้สึกแล้วว่าท่าทีของหยางอวี้อันมีอะไรแปลกไป เหตุผลมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
หลังจากยืนยันข้อเท็จจริงแล้ว รอยยิ้มที่จงเฉิงมีต่อเริ่นเสี่ยวซู่ก็จริงใจกว่าเดิม ตอนแรกเขาจะเปิดปากคุยกับหยางเสียวจิ่นเป็นพักๆ แต่ตอนนี้ขนาดเดินทางมาด้วยกันเขาก็ไม่รู้แล้วว่าหยางเสียวจิ่นหายไปไหน เขายังไม่ได้คุยกับเธออีกรอบเลย และการเรียกขานของเขาก็เปลี่ยนจาก ‘เสียวจิ่น’ เป็น ’หยางเสียวจิ่น’
นี่มันต่างไปจากแผนการเดิมที่เขาจะเป็นผู้นำการโจมตีปราบโจรอย่างกลับตาลปัตร
ไม่ใช่ว่าเขากลัวเริ่นเสี่ยวซู่ด้วย เพราะอย่างที่สมาคมตระกูลหยางกล้ากักขังหลัวหลานไว้ทั้งๆ ที่มีพลังอำนาจเท่ากันทั้งสองฝ่าย มันสื่อว่าสมาคมตระกูลหยางไม่มีอะไรต้องกลัวสมาคมตระกูลชิ่ง ก็เหมือนกับสมาคมตระกูลจงยามเผชิญหน้ากับป้อมปราการ 178 หลังจากดำเนินกิจการในภาคเหนือมาหลายปี พวกเขาได้กลายเป็นขุมกำลังที่ไม่อาจมองข้าม
แต่กระนั้นเขาคิดว่าตนเองควรเป็นชายผู้ทะเยอทะยานมากกว่าจะมามีปัญหาเรื่องเล็กๆ อย่างเรื่องความรัก
สมาคมตระกูลจงอดทนมานานกับภาคเหนืออันแห้งแล้งจนทุกคนเรียกพวกเขาว่าเป็นไฮยีน่า ทั้งยังไม่ยอมรับพวกเขาว่าเป็นสมาคมแห่งตระกูลหนึ่ง
ตอนนี้ภาคใต้เกิดสงคราม เป็นโอกาสอันดีเยี่ยมให้สมาคมตระกูลจงผงาดขึ้นมา และเขาไม่อาจทำลายโอกาสนี้ด้วยมือตัวเอง
…
ก่อนเดินทางอีกครั้ง เริ่นเสี่ยวซู่ที่นั่งอยู่ข้างคนขับของรถออฟโรดถามขึ้นมา “ให้ฉันขับรถสักพักได้ไหม”
หยางเสียวจิ่นถามอย่างแปลกใจ “ทำไมอยู่ดีๆ ก็อยากขับขึ้นมา นายขับเป็นรถเป็นด้วยเหรอ”
“เป็นสิ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างมั่นใจ “เป็นผู้ชายขับรถไม่เป็นได้ไง”
“งั้นก็ได้” หยางเสียวจิ่นหยุดรถก่อนสลับที่กัน
เริ่นเสี่ยวซู่เนื้อเต้นเหยียบคันเร่ง หลังจากขับรถไปได้สิบนาที หยางเสียวจิ่นก็ควักปืนพกขึ้นมาชี้ใส่เริ่นเสี่ยวซู่ “หยุดรถ ฉันขับเอง”
เริ่นเสี่ยวซู่ฝืนใจหยุดรถ “คุยกันดีๆ นะ ไม่เห็นต้องชี้ปืนใส่เลย”
หยางเสียวจิ่นนวดขมับและเปลี่ยนเรื่องคุย “หลังจากออกป้อมปราการแล้ว ขึ้นเหนือจะเป็นหุบเขา พอถึงเวลาฉันจะสลัดจงเฉิงกับทหารนาโนแมชชีนไป พวกเราจะได้เคลื่อนไหวอะไรกันเองได้”
“เอ๋?” เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ “พวกเรามาปราบโจรไม่ใช่เหรอ มีแค่สองคนจะปราบยังไงล่ะ”
“นายอาจจะไม่รู้ว่าพวกโจรเป็นปัญหาร้ายแรงขนาดไหนของทางภาคเหนือ” หยางเสียวจิ่นอธิบาย “ที่นั่นมีกลุ่มโจรหลายร้อยกลุ่ม กลุ่มที่เล็กสุดก็มีคนเป็นเลขหลักสิบ พวกเขาเป็นภัยร้ายที่สมาคมตระกูลจงฝังไว้ตลอดหลายปี”
“เยอะขนาดนั้นเลย?” เริ่นเสี่ยวซู่ตกใจกับเรื่องโจรหลายร้อยกลุ่ม
“พวกเรามีกันแค่ร้อยคน ถ้าเจอโจรกลุ่มใหญ่ต้องสู้ไม่ไหวแน่” หยางเสียวจิ่นว่า