the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 337 การซุ่มยิงเป็นพรสวรรค์มีมาแต่กำเนิด
- Home
- the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 337 การซุ่มยิงเป็นพรสวรรค์มีมาแต่กำเนิด
“การซุ่มยิงเป็นพรสวรรค์มีมาแต่กำเนิด”
หยางเสียวจิ่นหมอบอยู่หลังเนินทราย ซ่อนตัวไร้ร่องรอยอยู่หลังพุ่มไม้ นอกจากจะมีคนก้มหน้ามองลงมาจากบนฟ้า ก็แทบไม่มีทางสังเกตเห็นเลยว่าบนพื้นมีคนนอนหมอบอยู่
หยางเสียวจิ่นกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ที่หมอบอยู่ข้างเธอ “ในการฝึกของพวกเรา ความสมดุลและความมั่นคงของระบบประสาทขั้นสูงของนายจะเป็นตัวชี้วัดว่านายมีเพดานแต่กำเนิดอยู่ตรงไหน ในเชิงชีววิทยาแล้วอาจจะดูไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสตร์เท่าไร แต่พวกเราชินกับการเรียกมันแบบนั้น”
“ไม่ไช่แค่พรสวรรค์อย่างเดียวหรอก ยังรวมไปถึงอุปนิสัยที่ยากจะบ่มเพาะเปลี่ยนแปลงด้วย” หยางเสียวจิ่นว่า “ในการวัดอุปนิสัย ตามเกณฑ์แล้วมันจะแบ่งประเภทได้เป็นสิบหกแบบ เกณฑ์แรกคือเข้าสังคมหรือไม่เข้าสังคม ถ้าให้คะแนนมือสไนเปอร์จากศูนย์ถึงสิบ ศูนย์คือเป็นคนเก็บตัวและเป็นคนไม่เด็ดขาด ส่วนสิบหมายถึงคนกล้าหาญกล้าเสี่ยง สำหรับมือสไนเปอร์แล้ว คนควรจะมีคะแนนอยู่ระหว่างห้าถึงแปด แต่ที่ดีที่สุดคือแปด”
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “แล้วเธอได้คะแนนเท่าไร”
“แปด” หยางเสียวจิ่นตอบ
เริ่นเสี่ยวซู่ก็กะไว้แล้วว่าเธอจะตอบเช่นนี้ ในเมื่อเธอมีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติ ก็ควรจะไร้ที่ติในทุกด้าน เพราะถ้ามีตำหนิ ก็ไม่เรียกไร้ที่ติสิ
“มาพูดเรื่องการฝึกที่พวกเราจะทำกันวันมะรืน” หยางเสียวจิ่นว่า “นายต้องรักษาร่างกายให้มั่นคงและเรียนวิธีควบหุบลมหายใจให้สม่ำเสมอ ทุกอย่างก็เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อลั่นไกออกไปแล้วกระสุนจะเข้าเป้าตามต้องการ ในช่วงนั้นทุกฮอร์โมนในร่างกายนายต้องใช้เพื่อให้กระสุนเข้าเป้า แต่จะทำได้ขนาดนั้นต้องผ่านการฝึกฝนอย่างยาวนาน”
“ยังต้องฝึกการตอบสนองทางชีวะ[1] อีก เมื่อมือสไนเปอร์เจอสถานการณ์บางอย่าง ต้องห้ามให้หัวใจเต้นรัวหรือหลั่งเหงื่อออกมาเหมือนคนปกติ” หยางเสียวจิ่นว่า
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ “เธอฝึกยังไง มันไม่ต่อต้านสันชาตญาณตัวเองเหรอ”
ถึงว่าทำไมหยางเสียวจิ่นดูเย็นชาอยู่บ้าง หลังตั้งใจสังเกตก็จะเห็นถึงความสงบนิ่งอันเกิดจากการควบคุมตนเองอย่างแกร่งกล้าจนทำให้เธอสามารถยับยั้งสันชาตญาณตนเองได้อย่างสมบูรณ์
ก็อย่างที่ว่าขนาดเธออยู่บนยอดตึกยังสามารถหาเริ่นเสี่ยวซู่เจอได้ เห็นว่าแม้จะมีตัวทดลองเข้าใกล้ก็ยังสามารถยิงปืนได้อย่างใจเย็น ทั้งยังสามารถหนีไปได้ในชั่ววินาทีสุดท้าย
วันนั้นลั่วซินอวี่กลัวแทบตาย นึกว่าตนเองจะพาหยางเสียวจิ่นหนีไม่ทันแล้ว
หยางเสียวจิ่นว่า “มันมีวิธีฝึกการตอบสนองทางชีวะอยู่ อย่างเช่นนะ ตารางการฝึกแบบเก่าของฉันคือเอาแขนจุ่มลงในถังน้ำ ถังหนึ่งเป็นน้ำเย็น ถังหนึ่งเป็นน้ำร้อน หลังจากฝึกมาถึงจุดหนึ่ง ฉันก็สามารถสะกดจิตตัวเองเพิ่มอุณภูมิของมือหนึ่งได้สององศา
เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจ “ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ ลองทำตอนนี้ได้ไหม ขอจับมือเธอหน่อยสิ…”
หยางเสียวจิ่นกลอกตาใส่เขา “เป้าหมายการฝึกนี้ไม่ใช่ควบคุมอุณหภูมิของมือ แต่เป็นการให้มือสไนเปอร์ควบคุมสันชาตญาณตนเองได้ เช่นพออยากสูดลมหายใจลึก อัตราการเต้นของหัวใจก็จะสงบลงทันที”
เริ่นเสี่ยวซู่ตระหนักว่าทักษะการซุ่มยิงของพวกเขานั้นห่างกันไม่ใช่เล็กน้อยเลย ความสำเร็จของหยางเสียวจิ่นนั้นได้มาจากการฝึกฝนนานหลายต่อหลายปี เขาจะใช้คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐานเฉยๆ คัดลอกมาได้หมดได้อย่างไร ถึงว่าทำไมต่อให้เป็นคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นไร้ที่ติก็ยังคัดลอกได้แค่ทักษะระดับปรมาจารย์ ถ้าอยากจะทะลุขีดจำกัดเดิมของตัวเองจนแตะถึงระดับสมบูรณ์แบบล่ะก็คนจำเป็นต้องพยายามอย่างหนักหน่วง แน่นอนว่าทักษะกวนโอ๊ยคนของเขาเป็นข้อยกเว้น ดูเหมือนว่าเขาเกิดมาก็เป็นเลย ไม่ได้ฝึกอะไรเสียสักกะนิด
เริ่นเสี่ยวซู่ที่ถามอย่างสงสัยว่า “เด็กสาวแบบเธอมาเรียนยิงปืนได้ไงเหรอ”
“ฉันแค่ชอบน่ะ” หยางเสียวจิ่น “มันเป็นพลังที่ฉันสามารถใช้ปกป้องตัวเองได้”
คำพูดของหยางเสียวจิ่นทำให้เริ่นเสี่ยวซู่คิดเรื่องว่ามีแต่คนที่ขาดความรู้สึกปลอดภัยถึงจะเสาะตามหาพลังที่จะนำมาใช้ปกป้องตัวเองได้
“ลำบากมากไหม” เริ่นเสี่ยวซู่พูดแกมถอนหายใจ
“ถ้าบอกว่าไม่ลำบากก็คงโกหก” หยางเสียวจิ่น “แต่ฉันสนุกไปกับมัน“
“แล้วทำไมถึงออกมาฝึกยิงปืนในแดนรกร้างล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย
“เพื่อฝึกให้จิตใจชืดชา” หยางเสียวจิ่นว่า “จิตใจจะได้ไม่ได้รับผลกระทบหลังจากเห็นศพ เห็นเลือด เห็นความตาย”
เริ่นเสี่ยวซู่มองหยางเสียวจิ่นด้วยสายตาว่างเปล่า พร้อมสงสัยว่าเด็กสาวผู้นี้ผ่านอะไรมาบ้าง
หยางเสียวจิ่นสงสัย “พวกเรารอมาวันหนึ่งแล้ว ทำไมถึงไม่มีโจรผ่านมาอีก นี่เป็นเส้นทางที่พวกโจรต้องผ่านนะ”
พวกเขาหมอบอยู่ที่นี่มาทั้งวันแล้ว อีกด้านคือหยางเสียวจิ่นต้องการดูว่าเริ่นเสี่ยวซู่มีศักยภาพที่มือสไนเปอร์สมควรมีไหม อีกด้านคือพวกเธอสามารถสำรวจดูการเคลื่อนไหวของพวกโจรได้
และหยางเสียวจิ่นก็ได้รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่เหมือนจะมีความทรหดไม่ต่างไปจากเธอ ถึงพวกเธอจะนอนในพุ่มไม้มากว่าแปดชั่วโมงแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่กลับไม่เปลี่ยนท่าทางแม้แต่ครั้งเดียว แต่ที่หยางเสียวจิ่นประหลาดใจที่สุดคือต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่จะไม่เปลี่ยนท่าทางหรือขยับแม้แต่นิด แต่เธอก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเขาเกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้ออยู่ตลอด การทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เลือดไหลเวียนและให้กล้ามอยู่ในสภาพผ่อนคลายตลอดเวลา
หยางเสียวจิ่นมั่นใจว่าถ้าเกิดมีอันตรายเข้ามา เริ่นเสี่ยวซู่ที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นมาทั้งวันก็สามารถเข้าต่อสู้รบอย่างดุเดือดได้รวดเร็วแน่นอน เธอสงสัยว่าเด็กหนุ่มต้องฝึกมาอย่างไรถึงอยู่ในสภาวะแบบนี้ได้
เธอค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้น “ไปกันเถอะ ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับรังโจรระแวกนี้แล้วล่ะ ไปดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
จากนั้นหยางเสียวจิ่นก็เดินไปตามทางที่เธอจำได้ หนึ่งชั่วโมงให้หลัง เธอยืนอยู่ในพื้นที่ราบกลางภูเขาแห่งหนึ่ง เธอขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าที่นี่มีแต่โครงกระดูกขาวหลงเหลืออยู่
รอบๆ คือบ้านในอุโมงค์ถ้ำที่พวกโจรขุดสร้าง ข้างในมีโต๊ะเก้าอี้และม้านั่งที่ซีดจางแต่มีคราบหนาสีดำเปื้อนอยู่
คราบสีดำที่ว่าคือเลือดที่แห้งกรังมานานมาก
“มีคนเข้ามาปล้นที่นี่” หยางเสียวจิ่นว่า “ฝีมือใครกันนะ บนพื้นมีกระสุนกับปลอกกระสุน ปืนกับรถจักรยานยนต์ถูกเอาไปหมดด้วย”
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปยังโครงกระดูกรอบๆ เขาเห็นรอยฟันที่โครงกระดูก ดูแล้วคงมีสัตว์ป่าเข้ามาที่นี่ “ในรังโจรมีพวกผู้หญิงไหม”
“ส่วนใหญ่จะมีอยู่บ้าง พวกโจรจะเข้าไปลักพาตัวผู้หญิงจากตามเมืองน้อยหรือตามโรงงาน”
“ที่นี่ไม่มีโครงกระดูกผู้หญิงกับโครงกระดูกเด็ก” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
“ที่นี่ต้องถูกโจรอีกกลุ่มเข้ามาปล้นชิงแน่ แปลกแฮะ ทำไมถึงมีคนมาเล็งเป้ามาที่กลุ่มโจรยากจนล่ะ” หยางเสียวจิ่นว่า “ดูเหมือนว่าในหุบเขาจะไม่สงบสุขแล้ว มันต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้นในวงพรรคพวกโจรแหงเลย เมื่อก่อนพวกเขาไม่ฆ่ากันเองเพราะผู้สนับสนุนจะคอยรักษาความสมดุลจากเบื้องหลังอยู่ตลอด”
“มีคนคิดจะรวบรวมโจรในหุบเขาหรือเปล่า แบบนั้นเป็นไปได้ไหม” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“เป็นไปได้ แต่ต้องไปสืบความในรังโจรอื่นๆ ก่อนถึงจะมั่นใจได้“ หยางเสียวจิ่นตอบ “ไปกัน ที่นี่ไม่อะไรให้ดูแล้วล่ะ”
ทั้งสองคนมุ่งไปตะวันตกเฉียงเหนือต่อ เขาต๋าป่านอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว จากที่หยางเสียวจิ่นจำได้ พวกเขาน่าจะเจอนิคมมนุษย์ขนาดเล็กเป็นครั้งแรก
[1] การตอบสนองทางชีวะ(Biofeedback) เป็นเทคนิคที่ฝึกให้ผู้ป่วยควบคุมร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมของตนเอง โดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ ช่วยให้เห็นผลของการผ่อนคลายมากขึ้น อย่างเช่นใช้อุปกรณ์ที่ให้สัญญาณเสีย หรือสัญญาณภาพ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเกร็งก็จะมีสัญญาณเสียงดังขึ้น หรือเห็นกราฟสูงและถี่ขึ้น เมื่อผ่อนคลาย สัญญาณเสียงก็จะเบาลง กราฟก็จะเล็กลงและความถี่ลดลง นอกจากนี้อุปกรณ์ที่หาง่ายๆ ภายในบ้าน คือ กระจกเงา ส่องดูหน้าตัวเอง เช่น สีหน้า การขมวดคิ้ว หน้าผากย่น เมื่อมีอาการเครียด เป็นต้น แล้วฝึกผ่อนคลายว่ามีสีหน้า ท่าทางอย่างไร โดยต้องฝึกบ่อยๆจนเรียนรู้ด้วยตนเองได้ว่าจะผ่อนคลายอย่างไร เมื่อรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาก็จะได้ผ่อนคลายตนเองเป็น