the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 338 การขัดแย้งภายในของเหล่าโจร
“ดูลมหายใจตัวเองให้ดี” หยางเสียวจิ่นว่า “การหายใจเข้าจะทำให้ลักษณะท่าทางเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน อาจจะมองเห็นไม่ค่อยชัด แต่สำหรับมือสไนเปอร์แล้ว ทุกรายละเอียดสำคัญถึงชีวิต”
“เหยี่ยวกำลังบินสูงเกินไป นายต้องรอให้มันทะยานลงมาและฉวยโอกาสตอนที่มันเข้ามาใกล้นั่นแหละ แต่ว่าโอกาสมันสั้นมาก”
เมื่อโอกาสมาถึงมือสไนเปอร์ต้องเด็ดเดี่ยว
ปัง เริ่นเสี่ยวซู่เหนี่ยวไกใส่เหยี่ยวที่บินอยู่เหนือท้องฟ้า แรงถีบอย่างรุนแรงและควันที่ระเบิดออกมาจากปากกระบอกปืนทำให้พื้นทรายรอบๆ เกิดเป็นระลอกฝุ่นกลุ่มใหญ่รอบตัว
นี่เป็นปืนสไนเปอร์ที่หยางเสียวจิ่นเสกมาจากอากาศอันว่างเปล่าให้เริ่นเสี่ยวซู่
วันนี้เป็นวันฝึกสู้จริงของเริ่นเสี่ยวซู่ เขาต้องยิงเหยี่ยวที่บินอยู่บนฟ้าให้โดน แต่ว่าเริ่มมาหยางเสียวจิ่นก็สั่งให้เขายิงใส่หัวของเหยี่ยวซึ่งเป็นความยากระดับสูงสุด
หยางเสียวจิ่นเยาะเย้ย “ยังคิดอยู่ไหมว่าตัวเองยิงปืนได้ไม่เลวน่ะ”
หลังจากยิงไปรอบหนึ่ง เจ้าเหยี่ยวก็ยังปกติสุขดีและบินหนีเพราะตกใจเสียงปืน
เริ่นเสี่ยวซู่ทำหน้างง “ฉันยิงใส่หัวแท้ๆ ทำไมมันถึงหนีไปอย่างไร้รอยขีดข่วนได้ล่ะเนี่ย เป็นเหยี่ยวกลายพันธุ์แน่เลย”
“โอ้ย ปัดโธ่” หยางเสียวจิ่นเบ้ปาก “จะกลายพันธุ์แค่ไหนเหยี่ยวก็ยังเป็นเหยี่ยวอยู่ดี มันไม่ใช่เป็นสัตว์ที่บริษัทหัวจ่งปรับปรุงพันธุกรรมเสียหน่อย โดนกระสุนสไนเปอร์ไปยังไงก็ไม่รอด นายบอกว่ายิงใส่หัว แล้วทำไมมันถึงไม่เป็นอะไรล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดคำตอบ “หัวมันกลวงและกระสุนแล่นผ่านมั้ง”
“ฮา ฮา” หยางเสียวจิ่นเก็บปืนสไนเปอร์ไป “ถ้าจะเดินทางต่อก็ยิงปืนไม่ได้แล้ว เสียงปืนสไนเปอร์มันดังเกิน เดี๋ยวจะล่อพวกโจรเอาได้”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า สองวันมานี้เขาเรียนความรู้ระดับสูงเกี่ยวกับการยิงปืนมาไม่น้อยเลย แต่เขายังต้องฝึกยิงจริงๆ อีกมาก
เขาทำให้การเดินทางล่าช้าไปวันหนึ่งแล้วเพราะอยากฝึก แต่หยางเสียวจิ่นดูจะไม่รีบร้อนหรือร้อนใจอะไรเลย อยู่ฝึกเขายิงปืนอย่างใจเย็น
แต่ตอนนี้ภารกิจปราบโจรสำคัญกว่า เขาเองก็ไม่ต้องรีบร้อนจะฝึกยิงปืนด้วย
“ถ้าเราเจอนิคมของผู้อพยพแล้ว พวกเขาจะต้อนรับเราไหม” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ไม่น่าหรอก แต่คงไม่ถึงกับขนาดไล่พวกเรา” หยางเสียวจิ่นว่า “ทุกคนใช้แหล่งน้ำทำเกษตรและใช้ปลูกพืชของตัวเอง ผู้อพยพหลายคนที่เพิ่งหนีไม่มีอาหารกับตัว พวกเขาใช้เงินที่เก็บสะสมมาจากการทำงานในโรงงานใช้ซื้ออาหารและเมล็ดพันธุ์มาจากคนอื่นๆ เพราะยังไงกว่าพืชจะโตก็ใช้เวลาพักใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งผู้อพยพในนิคมต้องการพอดี อีกอย่างผู้อพยพใหม่จะพาข่าวจากโลกภายนอกมาด้วย”
“แปลกจังที่ระหว่างทางไม่เจอโจรเลย” เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว
ถ้าไม่เจอโจรในดินแดนที่เต็มไปด้วยโจรแบบนี้ ก็เหมือนกับไม่เห็นปลาในทะเลนั่นแหละ ในหุบเขานี้ต้องเกิดเรื่องประหลาดขึ้นแน่
หลังจากข้ามเนินเขาหนึ่งไป หยางเสียวจิ่นก็พลันชี้ไปข้างหน้าแล้วว่า “ดูข้างหน้าสิ”
ตรงนั้นมีแม่น้ำคดเคี้ยวสายหนึ่งไหลผ่านพื้นที่ตรงหน้าเธอ ผู้อพยพมากมายกำลังขุดคูน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรก่อนที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน
พอพวกผู้อพยพเห็นหยางเสียวจิ่นและเริ่นเสี่ยวซู่ในชุดผู้อพยพก็โล่งอกกัน
คนที่นี่ฉลาดมาก มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชาวป้อมปราการปลอมตัวมาหรือเปล่า ล้วนเป็นรายละเอียดที่เริ่นเสี่ยวซู่พูดไว้ก่อนหน้า
พอเริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่นเข้าไปหาพวกเขา หญิงสูงวัยผู้หนึ่งก็เช็ดเหงื่อและก็พูดก่อนที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่จะทันได้เอ่ยอะไร “อยากซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวฟ่างไหม พวกนายมาถึงก่อนถึงฤดูหว่านเมล็ดพันธุ์พอดีเลย”
“ซื้อ” เริ่นเสี่ยวซู่ควักถุงผ้าออกมาจากอก เขาพลิกผ้าไปมาอยู่หลายชั้นก่อนจะเจอเศษเหรียญอยู่จำนวนหนึ่ง พอผู้อพยพเห็นแบบนี้ก็โล่งใจกว่าเดิม คนใหญ่คนโตในป้อมปราการไม่มีทางทำท่าเหมือนผู้อพยพได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้หรอก
แต่คนอื่นๆ ยังเป็นกังวล “พวกนายหนีมาจากไหนกัน”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดไปสบถไป “จากเหมืองถ่านหิน พวกเขาสัญญาว่าจะจ่ายเรายี่สิบเอ็ดหยวนต่อการแบกถ่านหนึ่งตัน แต่จู่ๆ ก็เล่นลดเป็นยี่สิบหยวนหกสิบเจี่ยว แถมยังจะลดค่านู่นนี่เพื่อลดต้นทุนวัตถุดิบอีก ทำตัวผิดมนุษย์มนาฉิบ”
ผู้อพยพคนหนึ่งหัวเราะ “หนักว่าตอนที่ฉันทำงานในเหมือนถ่านหินอีก”
แต่ตอนนั้นเอง หญิงสูงวัยก็ว่า “แต่นายกับภรรยาหนีมาไม่ถูกเวลาเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่นชะงักกันทั้งคู่ พวกเขาอุตส่าห์วางแผนกันว่าจะให้ใครโตกว่า และจบลงด้วยเริ่นเสี่ยวซู่ยอมรับอย่างอิดออดว่าตัวเองเป็นน้องชายส่วนหยางเสียวจิ่นเป็นพี่สาว แต่หลังจากคุยเรื่อง ‘ความสัมพันธ์’ เสร็จ พอมาถึงที่นี่ก็เปลี่ยนไปปุ๊บเลย
ผู้อพยพมักจะแต่งงานและมีลูกกันตั้งแต่อายุยังไม่มาก พอลูกโตแล้วก็จะออกจากบ้านไปช่วยงานได้ นี่เป็นแนวคิดของผู้อพยพ ถ้าดูจากในป้อมปราการก็คงเหมือนคู่รักที่เด็กไป แต่สำหรับผู้อพยพถือว่าเป็นวัยเหมาะกับการแต่งงาน
อีกอย่างยุคสมัยแบบนี้ถ้าไม่ใช่คู่รักกันก็ไม่หนีมาด้วยกันหรอก ถ้ามีคนใดคนหนึ่งขายอีกคน ผู้รายงานย่อมได้รางวัล
เรื่องนี้มาอย่างที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัวจริงๆ เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองไปที่หยางเสียวจิ่นเพื่อดูว่าเธอมีอากัปกิริยาอะไรไหม ถ้าหยางเสียวจิ่นยืนกรานจะแก้การเข้าใจผิดและทำให้ผู้อพยพรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาพวกเขาคงต้องถอยกันก่อน อย่างไรก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการหาเส้นทางอื่นเข้าหุบเขา
แต่หยางเสียวจิ่นเพียงยิ้มและไม่ได้เอ่ยแก้ความเข้าใจผิด เธอเลือกที่จะยอมรับไปเงียบๆ และถามว่า “ทำไมถึงไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะหนีมาที่นี่ล่ะ ที่นี่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“จะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้พวกโจรทางเหนือกำลังวุ่นวาย มีคนถูกฆ่าไปเยอะแยะเลย” หญิงสูงวัยพูดออกมาอย่างไม่ปิดบัง “พวกเรากำลังวิตกกังวลอยู่ว่ามันจะส่งผลกระทบมาถึงพวกเราด้วยไหม”
“พวกโจรมีปัญหาอะไรกัน” เริ่นเสี่ยวซู่ “พวกเราเป็นแค่ชาวนาเองทำไมพวกนั้นต้องทำอะไรเราด้วย”
“ได้ยินมาว่าทางเหนือมีโจรสามกลุ่มไม่ชอบหน้ากัน พวกเขาพยายามรวบรวมโจรกลุ่มอื่นๆ โดยไม่สนใจว่าจะเล็กใหญ่ มีโจรสองกลุ่มที่ดุร้ายมาก แถมมีผู้มีพลังพิเศษอยู่ในกลุ่มด้วย พรรคพวกไหนที่ต่อต้านจะถูกฆ่าทันที” หญิงชราอธิบาย “มาตกลงกันก่อน นายกับภรรยาจะอยู่ที่นี่ได้ไม่เป็นปัญหาอะไร พวกเราสามารถช่วยกันทำเกษตรได้ แต่ถ้าพวกโจรมาให้พวกเรายอบสยบพวกเราก็จะยอมสยบ พวกเราสู้พวกโจรไม่ไหวหรอก”
“ตกลง” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ “แล้วถ้าโจรกลุ่มนั้นจากไปแล้วมันยังมีกลุ่มอื่นมาอีกล่ะ”
หญิงชราโบกมือ “ไม่สำคัญหรอก ตราบใดที่พวกเขาให้พวกเราทำไร่ทำนาต่อ ไม่ว่าใครพวกเราก็จะยอมเชื่อฟังหมด”
นี่เป็นกฎแห่งการอยู่รอดด้วยการโอนอ่อนและไม่สร้างปัญหาใส่ตัวของผู้อพยพ พวกโจรจะสู้กันเองสู้กันไป ใครมาผู้อพยพก็ยอมก้มหัวให้ได้หมด
อย่างไรตอนนี้พวกโจรไม่ได้ต้องการเมล็ดพันธุ์หรือพืชพันธุ์ของพวกเขา ไม่รู้ทำไม แต่ทั้งๆ ที่ไม่มีใครให้ปล้นชิงแล้ว แต่พวกโจรก็ยังร่ำรวยเอาร่ำรวยเอา อุปกรณ์และอาวุธดีขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อปีที่แล้ว สมาคมตระกูลจงส่งกองทหารเข้ามาในหุบเขา แต่โดนพวกโจรตีโต้กลับไปจนต้องหนีอย่างหัวซุกหัวซุน!
โจรธรรมดาทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ ถ้าสามารถกำราบทหารได้แบบนี้ ยังเรียกว่าเป็นโจรอยู่อีกเหรอ!