the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 34 โชคร้ายของผู้อื่น
“ที่ฉันพูดอย่างนี้ลุงอย่าถือสาเลยนะ แต่เหล่าหวัง ทำไมลุงถึงคิดอยากหาภรรยาใหม่ตลอดเลยล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจจริงๆ “เมืองเราไม่ขาดแคลนผู้หญิงใช่ไหม ฉันมั่นใจมากว่ามีคนไม่น้อยพร้อมจะอยู่กับลุง อย่างน้อยพวกเธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องอีก”
สำหรับเริ่นเสี่ยวซู่ เรื่องพวกนี้ปกติธรรมดามาก ผู้ชายก็คิดเช่นนี้ ผู้หญิงก็คิดไม่ต่างกันหรอก เมื่อก่อนมีหญิงสาวมากมายมาเสนอตัวให้เริ่นเสี่ยวซู่เพื่อให้ตัวเองสามารถอยู่รอดปลอดภัย ขนาดผู้ชายบางคนยังมาเสนอตัวเลย พอเหยียนลิ่วหยวนรู้เข้าก็อยากหยอกล้อเขาทันที เพราะอย่างนี้เอง แรกๆ เหยียนลิ่วหยวนถึงระวังเสี่ยวอวี้มาก
บางครั้ง ความจริงก็แปลกประหลาดยิ่งกว่าหนังสือนิยายที่เจอในโรงเรียนของคุณจางเสียอีก
หวังฟู่กุ้ยลูบผมมันเลี่ยนซึ่งยาวประมาณหนึ่งของตนอย่างภาคภูมิใจ “ฉันจะเอาพวกผู้หญิงไร้ศีลธรรมพวกนั้นไปทำไม ด้วยฐานะอย่างฉัน อย่างน้อยก็ต้องหาคุณหญิงดีๆ มาแต่งสิ”
“ใช่ๆ ลุงเป็นถึงคหบดีนี่เนอะ…” เริ่นเสี่ยวซู่พูดแบบหาความจริงใจไม่ได้
พริบตานั้นเองก็มีหญิงสองคนเดินผ่านคลินิกไป หวังฟู่กุ้ยตาทอประกาย “สองคนนั้นเป็นไง”
เริ่นเสี่ยวซู่พิจารณาพวกเธอ “มีคนหนึ่งหน้าตาดีมาก แต่หุ่นงั้นๆ อะ อีกคนหน้าตาไม่สวย แต่หุ่นได้อยู่ ว่าแต่ขอถามหน่อย เด็กสาวสองคนนั้นไปเกี่ยวอะไรกับลุงด้วย”
หวังฟู่กุ้ย “…”
ฟังแล้วหวังฟู่กุ้ยถึงกับเดือดขึ้นมา กระฟัดกระเฟียดสะบัดหน้าหนี เตรียมจะกลับไปรับลูกค้าที่ร้านขายของชำของตนต่อแล้ว ทว่าตอนนั้นเองก็มีเรื่องน่าตื่นตะลึงเกิดขึ้น!
พวกเขาเห็นประตูชักรอกของป้อมปราการค่อยๆ เลื่อนขึ้น เสียงเหล็ก ไม้ และเชือกเสียดสีกระทบกันทำเอาคนหัวใจบีบรัด ตารางเหล็กหนาหนักถูกยกขึ้นทีละน้อย น้ำหนักมหาศาลที่ทำให้คนแทบลืมหายใจ
เฉินไห่ตงออกมาจากป้อมพร้อมกับทหารกลุ่มหนึ่ง คราวนี้นายทหารที่เป็นผู้นำไม่ใช่หวังฉงหยางที่เริ่นเสี่ยวซู่ต้องรับมือด้วยก่อนหน้านี้ แต่เป็นหนุ่มหน้าใหม่ที่ไม่มีใครในเมืองรู้จัก
หวังฉงหยางหายไปไหน เขาโดนเถ้าแก่หลัวลงโทษงั้นเหรอ
“พวกเราจะต้องทำอะไรอีกล่ะทีนี้” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย
“ไม่รู้เหมือนกัน” หวังฟู่กุ้ยสีหน้าว่างเปล่า เขาผละจากเริ่นเสี่ยวซู่แล้วพุ่งตรงไปหาเฉินไห่ตง เพราะอยู่ห่างไกลกันมาก เริ่นเสี่ยวซู่เลยไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน
จากนั้นพวกเขาก็เห็นกองกำลังส่วนตัวของป้อมปราการ 113 วิ่งเข้าไปในเมือง หลังจากนั้นไม่นาน ก็กลับมาพร้อมกับการจับกุมชายคนหนึ่ง เขากรีดร้องอย่างบ้างคลั่ง “จับฉันทำไม ปล่อยฉันนะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่เฝ้ามองอย่างเงียบงัน คนที่ถูกจับมาคือจางเป่าเกิน ที่มาหาเมื่อคืนนั่นเอง
หวังฟู่กุ้ยเห็นทหารจับคนมาแบบนั้นก็เข้าไปปราม “คุณทหาร นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือ ถึงเจ้าหนูนี่จะซุกซน แต่ก็น่าจะไม่เคยทำอาชญากรรมอะไรร้ายแรงนะ?”
“ไสหัวไป” นายทหารผู้นั้นแค่นเสียง
เห็นอาวุธปืนไฟสีดำทมิฬแบบนี้ หวังฟู่กุ้ยก็ได้แต่ต้องถอยหลังมา ไม่งั้นตัวเขาได้พรุนแน่!
หวังฟู่กุ้ยหันไปคุยกับผู้ดูแลเมืองเฉินไห่ตงอีกครั้ง คราวนี้นานไม่น้อยเลย ท้ายที่สุดจางเป่าเกินก็ถูกพาตัวเข้าป้อมปราการไป
เสียงบาดหูดังขึ้นอีกครา ประตูชักรอกหนาหนักค่อยๆ ขีดแบ่งแยกสองโลกออกจากกันอีกครั้งหนึ่ง
เริ่นเสี่ยวซู่เดินไปหาหวังฟู่กุ้ยแล้วถาม “สถานการณ์เป็นไง”
เขาต้องจัดการอะไรให้เรียบร้อย เขารู้ดีว่าที่จางเป่าเกินถูกจับไปก็เพราะ ‘พลังพิเศษ’ อย่างไรเสียทั้งตนและเหยียนลิ่วหยวนต่างก็มีพลังพิเศษเช่นกัน
หวังฟู่กุ้ยถอนหายใจ “เจ้าหนูนั่นจบสิ้นแล้ว”
“ทำไมลุงพูดงั้นล่ะ”
“เฉินไห่ตงบอกว่าเจ้าหนูนั่นไปแสดงพลังพิเศษกับกลุ่มแก๊งตัวเองเมื่อวาน เจ้าพวกเด็กเวรนั่นหักหลังเพื่อนทันควัน ตอนนี้พวกป้อมปราการต่างหาตัวผู้มีพลังพิเศษกันให้ควั่ก ถ้าไม่เกิดเรื่องที่มีผู้มีพลังพิเศษไปโจมตีผู้ปกครองป้อม เรื่องก็คงรับมือไม่ยากหรอก แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นว่ากลุ่มผู้มีพลังพิเศษกลายเป็นกลุ่มที่ผู้ปกครองหวาดกลัวที่สุดแล้ว ถ้าเธอเกิดกลัวคนผู้หนึ่งขึ้นมา เธอจะทำยังไงล่ะ”
“ฆ่าทิ้ง” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบด้วยน้ำเสียงสงบหนักแน่น
“เพราะงี้ไงผู้ปกครองถึงต่างจากเธอ” หวังฟู่กุ้ยขมวดคิ้ว “ยามที่พบความอันตรายของเรื่องนี้ เรื่องแรกที่ต้องทำไม่ใช่การฆ่าฟันพวกนั้น แต่คือการศึกษาเข้าใจพวกผู้มีพลังพิเศษให้มากกว่าเดิมต่างหาก! เฉินไห่ตงพูดว่าป้อมปราการใช้อาคารกับลานกว้างจัดตั้งโรงพยาบาลจิตเวชชั่วคราว แถมที่นั่นยังมีอุปกรณ์ทางการแพทย์เยอะแยะไปหมดด้วย”
“พวกเขาพยายามจะรักษาพวกผู้มีพลังพิเศษเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป
“รักษาผายลมสิ!” หวังฟู่กุ้ยกล่าวต่อ “เห็นเฉินไห่ตงพูดว่าอุปกรณ์พวกนั้นไม่ได้มีไว้รักษาคน เดิมทีไว้ใช้สำหรับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ในป้อมน่ะ วันเดียวจับผู้มีพลังพิเศษไปสามคน สามคนนั้นคงอาจจะไม่เหลือชิ้นดีแล้วก็ได้”
ร่างเริ่นเสี่ยวซู่เย็นวาบ ไม่อยากจินตนาการเลยว่าการถูกจับขังถูกทดลองอยู่ในในโรงพยาบาลจิตเวชเป็นอย่างไร
“เหล่าหวัง ลุงยังอยากได้พลังพิเศษอยู่ไหมล่ะเนี่ย” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
หวังฟู่กุ้ยคิดพักหนึ่งแล้วตอบ “ถ้ามีสักอย่างได้ก็ไม่ว่ากัน แต่ฉันคงไม่โง่ไปปากสว่างบอกคนอื่นหรอก เธอก็เหมือนกันนะเสี่ยวซู่ ถ้าเกิดเธอกับลิ่วหยวนเกิดมีพลังพิเศษขึ้นมาละก็ อย่าให้ใครรู้เด็ดขาด”
สีหน้าเริ่นเสี่ยวซู่แปลกประหลาดพิกล “อืม ได้ครับ”
คืนนั้นในเมืองมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น กลางดึก พ่อของจางเป่าเกินรุดเข้าไปยังกระท่อมเล็กจ้อยไม่กี่ตารางเมตรของเด็กอันธพาลคนนั้น แล้วลงมือฆ่าล้างครัวครอบครัวสี่คน สุดท้ายเขาก็สิ้นใจเพราะเสียเลือดมากไปด้วย
ขณะเดียวกันแม่ของจางเป่าเกินก็แขวนคอฆ่าตัวตายตรงซากต้นไม้ซึ่งตั้งอยู่ที่ทางสี่แยกของเมือง
จางเป่าเกินเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านนี้ พวกเขาทุ่มเททั้งชีวิตเลี้ยงจางเป่าเกิน แม้กระทั่งงานเขาก็ไม่ต้องทำเพราะมีพ่อแม่คอยสนับสนุน ตอนนี้ลูกชายตายจากไปแล้ว พ่อแม่ของเขาก็ดั่งสิ้นไม้ไร้ตอก ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม
ในเมืองนั้น บ้างก็มีคนเห็นใจสงสาร บ้างก็ลอบเยาะเย้ยถากถาง “ขี้อวดชะมัด มีพลังพิเศษแล้วไง พ่อของจางเป่าเกินนั่นก็เกิ๊น ถ้ากล้าจริง คงพุ่งเข้าไปในป้อมปราการแทนแล้ว”
ทันใดนั้นภาพจางเป่าเกินกำลังพ่นน้ำลายก็วาบเข้ามาในหัวของเริ่นเสี่ยวซู่ “ช่างเป็นยุคสมัยที่น่าเกลียดนัก!”
เหล่าคนชั้นสูงผู้สูงศักดิ์ทรงอำนาจในป้อมราวกับสามารถชี้เป็นชี้ตายผู้คนได้อย่างง่ายดาย ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่า สักวันหนึ่งเรื่องนี้จะเปลี่ยนไป
เพียงอย่างเดียวที่ให้ฉุกคิด คือไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาเมื่อไหร่
คนในเมืองรวมกลุ่มกันมุงดูร่างแม่ของจางเป่าเกินที่แขวนคอลงมาจากซากไม้ เริ่นเสี่ยวซู่เห็นคุณจางอยู่แถวนี้ด้วย
จางจิ่งหลินมองคนที่กำลังมุงกันเป็นกลุ่มอยู่รอบก็พูดขึ้น “ตอนอยู่โรงเรียนฉันสอนพวกเธอไว้ว่าอย่าไปชอบอกชอบใจเรื่องอึกทึกของผู้อื่นไง อย่าไปพอใจกับโชคร้ายของผู้อื่น ไม่งั้นโชคร้ายของผู้อื่นจะตกใส่ตัวเองเข้า”
พูดจบ บรรดาชายหนุ่มรูปร่างแข็งแรงทั้งหลายก็งุดหน้าอย่างละอายใจ จางจิ่งหลินถอนหายใจ “ช่วยฝังพวกเขาทั้งคู่ให้อยู่ด้วยกันเถอะ”
“อาจารย์ครับ พวกเราต้องไปทำงานที่โรงงานแล้ว” เด็กหนุ่มบางคนพูดเสียงอ้อมแอ้ม
หวังฟู่กุ้ยพูด “ไม่ได้ทำงานให้เปล่า ฉันจะให้แปดร้อยหยวน ค่าฝังพวกเขา”
“ได้ครับ” เหล่าชายหนุ่มตอบรับ “เดี๋ยวพวกเราจัดการให้ทันทีเลยครับ”