the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 35 เหรียญคำขอบคุณไหลมาเทมา!
เพราะปัญหาเรื่องจางเป่าเกิน ทำเอาบรรยากาศในเมืองขมุกขมัวไปหมด ถึงแม้ทุกคนจะเคยชินกับการอยู่อาศัยใต้กฎเกณฑ์ของป้อมปราการเช่นนี้ แต่พอได้ตระหนักว่าชีวิตตนไม่ได้มีตนเป็นคนควบคุม ใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา
ในหัวเริ่นเสี่ยวซู่คิดอะไรบางอย่างอยู่ทั้งวัน ตามที่หวังฟู่กุ้ยบอกว่า จางเป่าเกินหลังจากถูกจับเข้าโรงพยาบาลจิตเวชไป เขาก็น่าจะจบสิ้นแล้ว
หลังจากคนในป้อมทดลองอะไรเขาเสร็จ จางเป่าเกินคงทรมาทรกรรมดั่งอยู่ไม่สู้ตาย นับแต่วันนี้ไป จางเป่าเกินได้สูญเสียอิสรภาพของตนไปตลอดกาล
ส่วนสำหรับเริ่นเสี่ยวซู่ ความลับเขายิ่งใหญ่กว่าของจางเป่าเกินเสียอีก
เขาปลดล็อกการทำงานมากมายของพระราชวังในหัวใจ แต่ก็ยังมีอะไรอีกมากซ่อนอยู่รอเขาเข้าไปสำรวจ ต่อให้ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่รู้ว่าพระราชวังนี้ลึกล้ำถึงเพียงไหน มันจะทำให้เขาพัฒนาไปได้ถึงเพียงใด
ถ้าความลับของเขาถูกเปิดเผยขึ้นมา แล้วเขาถูกคนจากป้อมปราการจับไปชำแหละสมองจะไม่แปลกใจเลย
เริ่นเสี่ยวซู่ไปโรงเรียนเร็วกว่าปกติ เขาไปหาเหยียนลิ่วหยวน แล้วเตือนน้องชายว่าห้ามเปิดเผยความลับตนเองให้ใครฟังเด็ดขาด เป็นเรื่องคอขาดบาดตายมาก
สองพี่น้องตอนนี้ยังไม่มีอำนาจอะไรพอจะไปต้านรับอำนาจจากป้อมปราการได้
ในป้อม นอกป้อม ควันขาวลอยล่องจากปล่องไฟโรงงาน ระฆังในป้อมยังคงสั่นลั่นตรงเวลา ราวกับไม่มีเรื่องใดเคยเกิดขึ้น
วันนี้คุณจางดูสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บ้างครั้งระหว่างสอนอยู่ก็เหม่อลอยออกไป เมื่อไหร่ที่นักเรียนเตือนว่าเขาตกอยู่ในภวังค์ คุณจางก็จะค้อมตัวขอขมานักเรียน
สุดท้ายคุณก็พูด “นักเรียน อาจารย์ต้องขอโทษจริงๆ วันนี้อาจารย์สอนไม่ได้เพราะปัญหาส่วนตัว พวกเธอเรียนด้วยตัวเองก่อนนะ วันนี้อาจารย์คงไม่ได้สอน”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ตรงกลับไปคลินิกทันทีเลย เขาอยากจะหาที่ ‘เงียบๆ’ อย่างโรงเรียนมาสงบสติอารมณ์ตัวเอง พิจารณาถึงอนาคตของตนเอง เหยียนลิ่วหยวน และเสี่ยวอวี้
พอมาถึงคราวที่เริ่นเสี่ยวซู่ต้องสอนรอบบ่าย เขาไม่ได้สอนอะไรแปลกใหม่ บอกตามตรง สติเขาก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นกัน
ยามถึงช่วงหมดคาบ เริ่นเสี่ยวซู่ทำให้พวกนักเรียนประหลาดใจมากเพราะเขาไม่ได้ปล่อยสอนช้า เขาแค่บอกให้เหยียนลิ่วหยวนกลับบ้านไวหน่อยอย่างเดียว
เริ่นเสี่ยวซู่พูด “เลิกชั้นได้ วันนี้ฉันก็จะไม่สอนอย่างอื่นให้พวกนายแล้วเหมือนกัน”
“ทั้งหมดยืนทำความเคารพ!” หัวหน้าห้องว่า
“ขอบคุณครับ/ค่ะ อาจารย์!”
[ได้รับคำขอขอบคุณจากหลีโหยวเฉียน +1!]
[ได้รับคำขอบคุณจากหวังต้าหลง +1!]
[ได้รับคำขอบคุณจาก…]
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไป แม่*ทั้งชั้นมีนักเรียนทั้งหมด 24 คน เขาแค่เลิกชั้น ก็ได้มาทั้งหมด 23 เหรียญแบบนี้เลย?
คนเดียวที่เขาไม่ได้เหรียญคำของคุณคือจากเหยียนลิ่วหยวน วันนี้เขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ดูไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เลยกังวลเรื่องพี่ชายมากกว่าเรื่องจะออกไปเล่นหลังเลิกเรียน
เริ่นเสี่ยวซู่เหม่อมองพวกเด็กน้อยซุกซนทั้งหลายวิ่งหายไปแบบไม่ทิ้งฝุ่น นี่พวกเขาไม่ชอบบทเรียนของตนขนาดนั้นเลยหรือนี่?
พวกนายระวังตัวไว้เถอะ! ฉันสอนแย่ตรงไหนกันหา!
วันนี้น่ายินดีมากจริงๆ เริ่นเสี่ยวซู่ทุ่มเททำงานหนักฉิบหายหลายคืนได้มาสิบสองเหรียญ แต่นี่แค่วันเดียวก็ได้มายี่สิบสามเหรียญแล้ว
รวมทั้งหมดเขามีตอนนี้ เหรียญคำขอบคุณทั้งหมดสามสิบห้าเหรียญ ดูเหมือนเข้าใกล้การปลดล็อกอาวุธไปอีกขั้น
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่ชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้ว ก็ตัดสินใจได้ว่า ถ้าพวกนักเรียนไม่ชอบการสอนของเขานัก ก็ช่างมันเถอะ ได้เหรียญคำขอบคุณมาได้ก็ดีถมเถ
ชั้นเรียนหลังจากวันนั้น แทนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะอยู่รอรับคนไข้ เขาจะพุ่งตรงไปโรงเรียนเลย ตอนนี้รู้ดีว่าตนเองต้องการอะไร แล้วเหตุผลที่เปิดคลินิกล่ะ? เพื่อหาเงินเหรอ บอกเลยว่าไม่ใช่!
ตอนนี้เจอวิธีได้เหรียญคำขอบคุณใหม่แล้ว จะพลาดได้อย่างไรเล่า
อาจารย์อย่างจางจิ่งหลินยังไม่ทันสอนเสร็จเลย ก็เห็นเริ่นเสี่ยวซู่มารอนอกชั้นเรียนแล้ว บรรดานักเรียนหันตามสายตาจางจิ่งหลินไปเจอะเข้ากับเริ่นเสี่ยวซู่ ด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบ พอเห็นเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว พวกนักเรียนสันหลังก็ชาวาบขึ้นมาทันที
วันนี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้สอนการเอาตัวรอดในแดนรกร้างอย่างปกติ แต่สอนวิธีรับมือการโจมตีถึงตายจากคู่ต่อสู้ หรือทำให้อีกฝ่ายสูญเสียการควบคุมร่างกายอะไรพวกนั้น
จริงๆ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่เคยผ่านการฝึกเป็นจริงเป็นจังมาเช่นกัน แถมในเมืองก็ไม่มีที่ให้เรียนรู้วิชาอะไรพวกนี้ด้วย ดังนั้นทุกอย่างที่สอนไปจึงกลั่นกรองมาจากประสบการณ์ต่อสู้อย่างโหดร้ายกับผู้อื่นล้วนๆ
จางจิ่งหลินได้ยินของเริ่นเสี่ยวซู่สอนวิธีการต่อสู้ก็ขมวดคิ้วแน่น เขาไม่นิยมชมชอบการสอนนักเรียนเรื่องนี้เลย ส่วนใหญ่ชอบสอนวิธีการรับมือกับธรรมชาติมากกว่า
มีคำแนะนำทางด้านจิตวิทยาว่าไว้ หากสอนนักเรียนสู้รบกับผู้อื่น จะเท่ากับเปลี่ยนมนุษย์พวกเดียวกันเป็นศัตรู ขณะเดียวกัน ถ้าสอนพวกเขาวิธีจัดการหมาป่า พวกนักเรียนก็จะมองว่าหมาป่าเป็นศัตรูเช่นกัน
ในใจลึกๆ แล้วจางจิ่งหลินไม่อยากให้นักเรียนกลายเป็นคนโหดร้ายอำมหิตเลย แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ยามเขานึกไปถึงเรื่องที่เกิดกับจางเป่าเกินแล้ว ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่เข้าไปวุ่นวายชั้นเรียนของเริ่นเสี่ยวซู่
เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับนักเรียนจากแท่นสอน “มนุษย์เราส่วนใดสำคัญที่สุด ถ้าให้ฉันจัดเรียงแยกออกมา ก็คงเรียงตามความสำคัญ เริ่มตรงที่คนส่วนใหญ่รู้กันก่อน…ลำคอ”
“ว่าตามตรง ถ้าอยู่ในการต่อสู้แล้ว ส่วนนี้ไม่ได้จะเล็งจู่โจมได้ง่ายนัก คู่ต่อสู้พร้อมจะปกป้องลำคอตัวเองตามสัญชาตญาณอยู่แล้ว ทั้งลำคอและหลอดลม ประกอบกันด้วยกระดูกอ่อนที่มีลักษณะเป็นวงเกือบยี่สิบชิ้น ถ้านายหักได้สักชิ้น ก็ทำให้คู่ต่อสู้สูญเสียหมดกำลังจะต่อสู้ได้แล้ว ชิ้นส่วนแตกหักของกระดูกจะเข้าไปบังทางลำเลียงออกซิเจน สุดท้ายก็ทำให้คู่ต่อสู้ขาดใจตายไปเอง”
ทั้งชั้นเงียบไป เริ่นเสี่ยวซู่มองทุกคน “มีคำถามอะไรไหม”
หวังต้าหลงถามเสียงค่อย “นายรู้ได้ยังไงว่าตรงคอมีกระดูกอ่อนลักษณะเป็นวงเกือบยี่สิบชิ้น…”
ในโรงเรียนไม่มีหนังสือเกี่ยวกับด้านนี้เลย ในเมืองเองก็ไม่มีใครเชี่ยวชาญเรื่องนี้ด้วย ถ้าไม่ใช่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่เคยนับด้วยตัวเองมาก่อน เขาก็คงไม่มีทางรู้ตัวเลขได้ถึงขนาดนี้กระมัง?
แต่เริ่นเสี่ยวซู่จะไปเคยนับได้อย่างไร แล้วเขาไปนับกระดูกอ่อนของใคร แค่คิดถึงเรื่องนี้ ก็ทำเอาทุกคนเริ่มขนลุกซู่
ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ตอบคำถาม เขาหันไปมองท้องฟ้า นาฬิกาในป้อมดังบอกเวลาสี่โมงเย็น เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงร่า “เลิกชั้นได้”
“ทั้งหมดยืนทำความเคารพ!”
“ขอบคุณอาจารย์”
[ได้รับคำขอบคุณจากหวังต้าหลง +1!]
[ได้รับคำขอบคุณจาก…]
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นตัวเลขเหรียญคำขอบคุณที่ได้มันไม่ถูกต้องเท่าไรก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาต้องเห็นตัวเลขได้มายี่สิบกว่าเหรียญไม่ใช่หรือ ทำไมเขาได้แค่เก้าเองล่ะ
เจ้าพวกเด็กเวรนี้ชินกับที่เขาไม่ปล่อยช้าแล้วเหรอ คำขอบคุณอย่างใจจริงไม่มีแล้ว?
เกรงว่าพวกแกคงไม่รู้จักเสียแล้วว่าความเป็นจริงของสังคมเรามันโหดร้ายขนาดไหน!
ขณะพวกนักเรียนกำลังจะพุ่งหนีออกไปนอกห้องเรียน พวกเขาก็ได้ยินเสียงชั่วร้ายของเริ่นเสี่ยวซู่ดังก้องมาจากข้างหลัง “ทุกคน กลับมาเดี๋ยวนี้! ฉันจะสอนพวกนายเดี๋ยวนี้แหละว่า ฉันไปรู้ว่ามีกระดูกอ่อนมากมายขนาดนั้นจากไหน…”
หวังต้าหลง “…”
หลีโหยวเฉียน “…”
ทั้งชั้นเรียน “…”