the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 375 ร่วมเดินทาง
คณะเดินทางไปยังป้ อมปราการ 178 จากที่ราบตอนกลางไม่ได้มี คนมากมายอะไรนัก แม้เริ่นเสี่ยวซู่จะนอนซมอยู่เบาะหลังก็พอบอกได้ คร่าวๆ ว่าคณะนี้มีราวๆ ยี่สิบคน รถออฟโรดหกคันรวมกันเป็ นรถ หนึ่งขบวน มีคันหนึ่งพ่วงขนเสบียงข้าวของ
บุคคลสาคัญหลักของขบวนน่าจะเป็ นสองพี่น้องหวังเซิ่งจือและห วังเซิ่งอิน แต่พวกเขาสองคนไม่ได้วางท่าเขืองโข่อะไร ดูเป็ นคนง่ายๆ ไม่ทาให้คนอื่นๆ ในขบวนรู ้สึกกดดัน
ระหว่างที่เดินทางไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตรวจสอบบาดแผลของตนไป รอยฉีกที่ท้องฝั่งขวาดูน่ากลัวมาก โชคดีที่คนพวกนี้เย็บแผลให้เขา แล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้เสียชีวิตก่อนจะได้สติมาทายาด าให้ตัวเองได้ รอยเย็บเรียบร ้อยไม่บูดเบี้ยว บ่งบอกได้ว่าคนเย็บแผลจัดการด้วย ความพิถีพิถัน
ขณะฟังพวกเขาคุยกันไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้รู ้ว่าตนเองถูกน้าพัดมา ไกลหนึ่งร ้อยกว่ากิโลเมตร ไม่รู ้ว่าเขารอดมาได้อย่างไร
พอถึงเวลารับประทานอาหาร ลูกน้องของหวังเซิ่งจือก็เอาอาหาร ร ้อนๆ มาให้เริ่นเสี่ยวซู่ เริ่นเสี่ยวซู่กินเงียบๆ อยู่ในรถ แต่ทุกคนใน ขบวนรู ้ดีว่าเขาเพิ่งรอดพ้นจากภัยพิบัติมา จะเงียบไปก็ไม่แปลก
หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน ขบวนเดินทางก็ตั้งค่ายตามปกติ เริ่น เสี่ยวซู่ได้ยินพวกเขาคุยกันถึงสถานการณ์องค์รวมของทั้งภาค ตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ที่กองไฟ ชายคนหนึ่งว่า “ทาไมจู่ๆ ที่นั่นมีสงครามขึ้นมาล่ะ ภูมิภาคนี้ไม่มีปัญหากันมาหลาย สิบปีแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเราไม่เคยสนใจที่นี่เลยไม่ค่อยรู ้”
แต่หวังเซิ่งจือยิ้มกล่าว “เมื่อก่อนเป็ นเพราะที่นี่เดินทางเข้ามา ยาก แถมตระกูลต่างๆ ในที่ราบตอนกลางก็ไม่สนใจภาคตะวันตก เฉียงใต้ด้วย ในบ้านตัวเองยังจัดการให้เรียบร ้อยไม่ได้เลย จะเอาเวลา ไหนมาสนว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นบ้าง แถมพวกเราไม่ได้มีกิจธุระอะไรกับ ภูมิภาคนั้นอยู่แล้วด้วย”
ตะวันตกเฉียงใต้นับว่าเป็ นพื้นที่โดดเดี่ยวเพราะตาแหน่งที่ตั้งทาง ภูมิศาสตร ์แต่ดูเหมือนว่าสงครามที่เกิดขึ้นล่าสุดนี่ทาให้คนในที่ราบ ตอนกลางเกิดความสนใจขึ้นมา
“เห็นว่าชิ่งเจิ่นเป็ นบุคคลน่าเกรงขามมาก” หวังเซิ่งอินคิดพัก หนึ่งก่อนจะพูด “ถึงพวกเราจะไม่รู ้รายละเอียดการสู้รบอะไรนัก แต่ หลังจากสมาคมตระกูลชิ่งกับสมาคมตระกูลหยางจัดการสมาคม ตระกูลหลี่แล้ว สมาคมตระกูลหยางดูจะโดนชิ่งเจิ่นเล่นงานต่อด้วย คนบ้าสงครามเช่นเขา พวกเราต้องระวังให้ดี”
สาหรับสายตาคนภายนอก การเป็ นไปของสงครามราวกับมีชิ่ง เจิ่นเป็ นคนบงการทุกอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบ สงครามนี้เต็มไปด้วย ความทะเยอทะยานของชิ่งเจิ่น
ทว่ามีแต่คนที่เข้าใจชิ่งเจิ่นดีถึงรู ้ว่าทุกอย่างที่เขาทาไปก็เพื่อ ปกป้ องตัวเอง
ก็อย่างที่ชิ่งเจิ่นเคยว่าไว้ ถ้าก่อนหน้าเขามีอิสระเสรีกว่านี้ ตอนนี้ เขาคงไม่กลายมาเป็ นผู้นาสมาคมตระกูลชิ่งแล้ว
ในช่วงเวลาแบบนี้ คนที่พอใจกับสถานะตัวเองย่อมถูกทาลาย พินาศไป บนถนนยาวอันมืดมิด คนไม่อาจหันกลับเว้นแต่จะเห็นแสง สว่าง
มีคนหันมาถามเริ่นเสี่ยวซู่ “นายมาจากตะวันตกเฉียงเหนือนี่ พอ รู ้ไหมว่าสงครามมันเริ่มมาได้ยังไง”
เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ไม่แน่ใจเหมือนกัน ฉันเป็ นแค่ผู้อพยพ ฉัน จะไปรู ้เรื่องพวกนั้นได้ยังไง”
คนที่ถามเกาหัวแกรกๆ “ก็จริง เรื่องพวกนี้มันไกลตัวนายมากๆ ฮ่าๆๆ ถามไปแบบเสียเปล่าซะงั้น”
หวังเซิ่งอินได้ยินเช่นนั้นก็ถามเริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่ในรถครึ่งตัว “ว่า แต่ฉันยังไม่ได้ถามชื่อนายเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่ลังเลใจอยู่วูบหนึ่ง “ฉันชื่อเริ่นเสี่ยวซู่ ครอบครัวของ ฉันโดนน้าหลากพัดไปหมดแล้ว ถ้าเจอใครที่ตามหาฉันอยู่ในที่ราบ ตอนกลาง รบกวนบอกพวกเขาด้วยว่าฉันยังมีชีวิตอยู่”
ครั้งนี้เป็ นครั้งที่เริ่นเสี่ยวซูพูดมากที่สุดในหลายวัน
เริ่นเสี่ยวซู่อยากบิดบังตัวตนของตัวเอง แต่ใช่ว่าคนพวกนี้จะรู ้ อะไรเกี่ยวกับตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้เสียหน่อย ดัง นั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงล้มเลิกความคิดนั้นและบอกชื่อจริงของตนเองไป อีก อย่างคือเขายังหวังจะได้เจอครอบครัวที่แยกจากกันไป ชื่อของเขา น่าจะถือว่าเป็ นเอกลักษณ์ไม่เลวเพราะไม่ใช่ชื่อคนใช ้ซ้า ถ้าลิ่วหยวน หวังฟู่กุ้ย หรือคนอื่นๆ ได้ยินชื่อเขาล่ะก็ ต้องมาหาตนแน่
ที่จริงเขาก็อยากออกไปหาพวกเหยียนลิ่วหยวน แต่จะหาคนใน โลกอันกว้างไพศาลนั้นเป็ นเรื่องยากเย็นเกินไป เขายังมีเรื่องสาคัญ อื่นต้องไปจัดการ
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ต้องไปชาระความเจ็บปวดความสิ้นหวังที่ สมาคมตระกูลจงท าใส่เขาก่อน แต่พละก าลังของเขาคนเดียวมีจ ากัด ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงคิดวิธีหาความช่วยเหลือมาสนองอุดมการณ์ของ ตน ตอนนี้พวกคนตรงหน้าเขากาลังหาวิธีเปิ ดสายการค้ากับภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ บางทีนี่อาจจะเป็ นโอกาสของเขา
คิดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็พลันรู ้สึกเข้าใจหลี่เสินถานกว่าเดิม ตอนนั้น เขานึกว่าหลี่เสินถานไม่ต่างไปจากปีศาจตนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาเข้าใจ แล้วว่า ถ้าคนไม่เคยใช ้ชีวิตด้วยความอาฆาตรวดร ้าวแล้ว ก็ไม่ควรไป โน้มน้าวให้คนอื่นมีจิตใจดีงามกว่าเดิม
แน่นอนเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่จะผูกมิตรไหมก็อีกเรื่อง เริ่นเสี่ยวซู่โพล่งถาม “ที่ราบตอนกลางมีสงครามไหม”
หวังเซิ่งจือชาเลืองมองเขาและว่า “ที่นั่นคือที่ที่กองทัพไหนก็ ต้องการ”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไป หวังเซิ่อจือต้องการสื่อว่าในที่ราบตอนกลางก็ มีสงครามอยู่เช่นกัน เขาถาม “ว่ากันว่าที่ราบตอนกลางเป็ นสถานที่ แห่งความมั่งคั่งรุ่งเรืองนี่?”
หวังเซิ่งจือยิ้ม “เพราะมั่งคั่งรุ่งเรืองนั่นแหละถึงมีสงคราม ไม่ใช่มั่ง คั่งรุ่งเรืองแล้วจะไม่มีความความขัดแย้ง”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ถามต่อ เพราะถามไปแล้วจะไม่เข้ากับสถานะผู้ อพยพธรรมดาคนหนึ่ง แต่ว่าหวังเซิ่งอินยังไม่สิ้นความสนใจ เธอยังมี อารมณ์อยากคุยต่อ “ปกติผู้อพยพทางตะวันตกเฉียงเหนือท าอะไร กัน”
เริ่นเสี่ยวซู่ตอบนิ่งๆ “ทาไร่ทานา ทาอิฐ ขุดคูน้าไว้ปลูกพืช”
“อิฐเตาหนึ่งใช ้เวลาเผาเท่าไรเหรอ” หวังเซิ่งอินถาม
เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ “อิฐดาใช ้เวลาเผาประมาณสิบสามวัน อยู่ที่ว่า พวกเราจะใช ้น้าลดความร ้อนเตาเผานานขนาดไหน พวกเราไม่เคย ท าอิฐแดงได้ ฉันเลยไม่แน่ใจว่าต้องใช้เวลาเท่าไร”
หวังเซิ่งอินพยักหน้าและไม่เอ่ยอะไรอีก คาถามอาจจะดูธรรมดา แต่ที่จริงมีจุดประสงค์เบื้องหลัง
ทันใดนั้นเอง ก็มีรถบรรทุกทหารหลายคันขับมาทางตะวันตก เฉียงเหนือ ทุกคนหยุดคุยและหันไปมอง พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็น สัญลักษณ์ดาบยาวบนตัวรถก็ใจตกวูบ มันคือสัญลักษณ์ของสมาคม ตระกูลจง
พวกเขายังอยู่ห่างจากสมาคมตระกูลจงอย่างน้อยหนึ่งร ้อย กิโลเมตร ทาไมคนของสมาคมถึงโผล่มาที่นี่ได้
เริ่นเสี่ยวซู่กระเถิบตัวเองเข้าไปในตัวรถ ซ่อนใบหน้าอยู่หลังเงา มืด
ขณะเดียวกันพวกหวังเซิ่งจือก็นั่งอยู่ที่กองไฟอย่างไม่ยี่หระ
รถพวกนั้นมาหยุดอยู่ที่ข้างค่ายพัก ทหารสมาคมตระกูลจงสาม หน่วยลงมาจากรถ ผู้น าทหารเป็ นชายตัวสูงไหล่กว้าง ดูแล้วน่าจะ เป็ นนายทหารคนหนึ่งของสมาคมตระกูลจง เขาถามด้วยคิ้วขมวดมุ่น “พวกนายเป็ นใคร”
หวังเซิ่งจือหันรถเข็นวีลแชร ์ไปยังนายทหารคนนั้นและยิ้มกล่าว “พวกเรามาจากที่ราบตอนกลาง กาลังมุ่งหน้าไปป้ อมปราการ 178 แล้วพวกนายล่ะเป็ นใคร”
นายทหารไม่ตอบคาถามของหวังเซิ่งจือ กลับกันยังถามต่อ “ไป ป้ อมปราการ 178 ท าอะไร”
“ทาการค้า” หวังเซิ่งจือตอบสั้นๆ
“ถนนสายนี้เป็ นเขตอานาจของสมาคมตระกูลจง ทาไมไม่กลับ สมาคมตระกูลจงกับฉันก่อนล่ะ หลังจากพวกเราเข้าใจสถานการณ์ดี แล้วจะปล่อยไป” นายทหารว่า เขายังคงสุภาพเพราะไม่รู ้ว่าก าลังคุย กับใคร
แต่หวังเซิ่งจือว่า “แบบนั้นพวกเราก็ต้องอ้อมสิ? พวกเราจะท า ตามแผนเดิม และจะสนใจแต่เรื่องตนเองโดยไม่สร ้างปัญหาให้ สมาคมตระกูลจง”
นายทหารสมาคมตระกูลจงเลิกใช ้น้าเสียงสุภาพ กล่าวกับทหาร ข้างกาย “พาตัวพวกเขากลับไป”
จากนั้นนายทหารสมาคมตระกูลจงก็กล่าวกับหวังเซิ่งจือ “ขอ โทษด้วยทุกคน แต่ว่าที่นี่ห้ามผ่าน”
เริ่นเสี่ยวซู่พลันสงสัยว่าสมาคมตระกูลจงคิดจะปล่อยเกาะให้ป้ อม ปราการ 178 โดดเดี่ยวในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ กันไม่ให้พวกเขา ติดต่อกับที่ราบตอนกลางได้