the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 38 ต่อรองเงื่อนไข
เริ่นเสี่ยวซู่พักอยู่หลังคลินิกขณะรอพวกนักดนตรีมาถึง ยังไม่รุ่งสางดี เขาก็ได้ยินประตูชักรอกของป้อมปราการค่อยๆ ถูกดึงขึ้นแล้ว
แย่ชะมัด ยังไม่ได้ทันได้เก็บผักที่ปลูกไว้ที่สวนเลย ต้นหอมเอย กระเทียมเอย ผักกาดกวางตุ้งเอย และอื่นๆ อีกเอย
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เริ่นเสี่ยวซู่ลืมตาขึ้นมา และเดินไปยังห้องให้คำปรึกษาที่อยู่ส่วนหน้าของคลินิก นั่งลงบนเก้าอี้อย่างเรียบร้อย รอคนมาถึง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง
“เข้ามาได้เลยครับ ประตูไม่ได้ล็อก” เริ่นเสี่ยวซู่พูด หัวยังไม่ผงกขึ้นมาเลย เหมือนกับกำลังวุ่นวายกับการทำเวชระเบียนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
พอประตูเปิดออก แสงอรุณก็ลอดเข้ามากระทบใบหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ เขาเงยหน้าขึ้น ก็ประหลาดใจที่เห็นหญิงสาวแต่งตัวอย่างดีผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงประตู เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยเห็นใครใส่ชุดแบบนี้ในเมืองมาก่อนเลย
เริ่นเสี่ยวซู่เคยเห็นเธอผ่านหน้าต่างตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว หญิงสาวคนนี้คือนักร้องชื่อดังจากในป้อมปราการ ลั่วซินอวี่นั่นเอง
“ฟุ้งเฟ้อจริง” เริ่นเสี่ยวซู่พึมพำกับตัวเอง จากนั้นเขาก็มองพวกสมาชิกในวงกับหมู่ทหารที่อยู่หลังลั่วซินอวี่ รอบนี้กองกำลังส่วนตัวส่งทหารมาทั้งหมดสิบสองนาย เยอะกว่าการเดินทางรอบที่แล้ว
แต่ความสนใจของเริ่นเสี่ยวซู่ยังคงจับจ้องอยู่ที่เด็กสาวสวมหมวก ที่ครอบครองทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติผู้นั้น
เด็กสาวใส่ชุดกีฬาสีน้ำเงินเข้ม ยังคงสวมหมวกต่ำอยู่เช่นเดิม ดูเหมือนเธอจะสัมผัสได้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังมองตนเองอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นรูปคางอันงดงาม ทว่าไม่เห็นดวงตาที่ซุกซ่อนอยู่ในเงาหมวก
ข้างหลังกลุ่มนี้ มีนักเรียนกลุ่มใหญ่กำลังมุงดู
จริงๆ แล้วพวกนักดนตรีก็กำลังงงอยู่ เจ้าเด็กนักเรียนพวกนี้มามุงกันที่นี่ทำไมกันเนี่ย ลูกสาวของหลี่ฟาฉายผู้มีรูปร่างกำยำ พูดกระซิบอยู่หลังเด็กสาวสวมหมวก “พวกคุณจะพาเริ่นเสี่ยวซู่ไปเหรอ”
ไม่มีใครตอบหลีโหยวเฉียน ดูเหมือนเด็กสาวสวมหมวกเองก็ไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรมากเช่นกัน
ทว่าทันใดนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงดังมาจากพระราชวังในห้วงจิต [ภารกิจ ปฏิเสธไม่ไปเขาจิ้งซาน]
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ทำไมพระราชวังถึงลงมาขัดขวางกัน ปกติแล้วพระราชต้องให้ภารกิจที่เป็นประโยชน์ต่อเขาเอง แต่ทำไมถึงห้ามไม่ให้ตนเองไปเขาจิ้งซานล่ะ ที่นั่นมีอะไรกันแน่
พูดตรงๆ เริ่นเสี่ยวซู่เคยไปเขาจิ้งซานมาก่อน ถึงที่นั่นจะอันตรายกว่าการอยู่ในเมืองอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่น่าจะอันตรายจนขนาดที่พระราชวังต้องเตือนไม่ให้เขานี่นา
หรือว่ามีอะไรบางอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว
คิดได้แบบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ก็เริ่มไม่อยากไปอยู่หน่อยๆ เขาอยากเห็นโลกกว้างใหญ่ขนาดไหน ไม่ใช่ไปเห็นว่าโลกอันตรายเพียงใด
ลั่วซินอวี่นั่งตรงหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ ยิ้มพูด “นายคือเริ่นเสี่ยวซู่สินะ”
เริ่นเสี่ยววู่มองลั่วซินอวี่ แล้วเริ่มพูดออกมั่วๆ เสียงดังลั่น “บิดาของบิดาคือปู่ มารดาของมารดาคือยาย…”
ลั่วซินอวี่ชะงัก เจ้านี่ปัญญาอ่อนขนาดนี้เลยเหรอ
จากนั้นนายทหารผู้หนึ่งจากกองกำลังก็เดินเข้ามา เขามองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วหัวเราะ “เลิกทำไขสือได้แล้ว พวกเราเคยเจอกันมาก่อน”
เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้า เห็นคนผู้นั้นเดินเข้ามา ก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาทันควัน นี่มันหวังฉงหยางไม่ใช่เหรอ เจ้าคนที่นำทหารมาค้นบ้านเขาสองครั้ง!
เขาแสดงละครต่อไม่ได้แล้ว นอกจากเรื่องนี้ ก็เพราะเริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่า อย่างไรตนเองก็คงต้องร่วมกลุ่มทางอยู่ดี
เขาสละท่วงท่ารักษามารยาทอันเต็มเปี่ยมแต่เดิมออก เอนหลังพิงเก้าอี้ แลดูเกียจคร้านขั้นสุด “ไม่ไป!”
[ภารกิจสำเร็จ ได้รับคัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐาน สามารถใช้เรียนรู้ทักษะจากเป้าหมาย]
เริ่นเสี่ยวซู่ตาทอประกาย ภารกิจสำเร็จแล้วเว้ยเฮ้ย!
จริงๆ ด้วย เงื่อนไขว่าภารกิจจะสำเร็จหรือเปล่าของพระราชวังนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่อยู่ที่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะแสดงอย่างไรต่างหาก!
พริบตานั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็เกิดความคิดกล้าหาญชาญชัยขึ้นมาประการหนึ่ง
หวังฉงหยางที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น “นายไม่ไปได้ยั…”
“ฉันจะไป” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเคร่งขรึม
หวังฉงหยาง “…”
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ต้องผิดหวังไป พระราชวังไม่ได้ให้ภารกิจใหม่กับเขา คิดดูแล้ว ตอนภารกิจให้ซากนกกระจอก เขาก็ทำได้แค่ครั้งเดียวเหมือนกัน จะให้เริ่นเสี่ยวซู่ทำภารกิจซ้ำๆ ต่อไปเรื่อยๆ คงไม่ได้หรอกมั้ง
ทันใดนั้นเองลั่วซินอวี่ก็หัวเราะขึ้น “ถ้านายอยากไปเอง ก็ดีมาก ฉันเชื่อว่าจดหมายจากเถ้าแก่หลัวคงถึงนายแล้วสินะ ถ้านายไม่ไป นายคงไม่มีที่ยืนในเมืองนี้อีก”
“ไปได้ๆ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “แต่มีเงื่อนไข”
ลั่วซินอวี่มองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วยิ้ม รู้สึกว่าในที่สุดก็ได้คุยเนื้อๆ แบบไม่มีน้ำเสียที “พูดมา”
“ฉันขอสามหมื่นหยวนเป็นค่าตอบแทน”
“ไม่ได้ ให้ได้แค่หมื่นหยวน”
“ก็ได้ งั้นขอของเพิ่ม เป็นเกลือสิบถุง บุหรี่สิบซอง ข้าวร้อยกิโลกรัม แล้วก็…” เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มนับนิ้ว
ลั่วซินอวี่พูดเสียงสงบนิ่ง “หยุดก่อน ฉันจะจ่ายสามหมื่นหยวน”
“ดี แต่ยังมีเงื่อนไขอื่นอีก” เริ่นเสี่ยวซู่พูด
“นายพูดให้จบรอบเดียวไม่ได้เหรอไง” ลั่วซินอวี่ว่าอย่างหงุดหงิด
“เธอเป็นคนขัดจังหวะฉันเองนะ” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ฉันไปได้ แต่หวังฉงหยางห้ามไป”
หวังฉงหยางเป็นญาติกับผู้จัดการโรงงานหวังตงหยางแน่นอน เขาใช้อำนาจเกินขอบเขตมาค้นบ้านเริ่นเสี่ยวซู่สองครั้งแล้ว ถ้ายังออกเดินทางไปด้วยกันอีก ตลอดทางคงมีแต่ปัญหาแน่
เพราะอย่างนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงไม่อาจให้เจ้าระเบิดเวลานี่ไปด้วยได้หรอก
เอ๋ เดี๋ยวนะ! เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเพราะเขามาค้นบ้านเริ่นเสี่ยวซู่สองครั้ง และเท่ากับไปหาเรื่องเถ้าแก่หลัวเข้า จนโดนไล่ออกมาแบบนี้น่ะ?
มีความเป็นไปได้สูงมาก ทหารธรรมดาที่ไหนกันอยากจะออกไปแดนรกร้าง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในป้อมปราการจนเหนื่อยแล้วเหรอไง
ดังนั้นถ้าหวังฉงหยางถูกไล่ออกมาจริง เขายิ่งต้องไม่พอใจเริ่นเสี่ยวซู่กว่าเดิมแน่ ถ้าในกรณีแบบนี้ หวังฉงหยางยิ่งต้องห้ามออกเดินทางไปกับตนเองเด็ดขาด
มีคนกล่าวไว้ว่า ที่เราต้องกังวลที่สุดในแดนรกร้างคือสัตว์ร้ายซึ่งตอนนี้แข็งแกร่งกว่าในอดีตมาก แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้นักเพราะเขาเคยเผชิญด้วยตัวเองมาก่อน สำหรับเขาแล้ว ที่ต้องกังวลที่สุดไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอก แต่เป็นมนุษย์เรากันเองนี่แหละ
ลั่วซินอวี่หันไปมองหวังฉงหยาง เธอไม่รู้ว่าเลยว่าสองคนนี้เคยมีเรื่องกันมาก่อน
ลั่วซินอวี่หันกลับไปมองเด็กสาวสวมหมวกซึ่งลอบพยักหน้าให้เธอ ลั่วซินอวี่เอ่ย “เอาละ หวังฉงหยาง นายกลับไปป้อมได้”
หวังฉงหยางมองเริ่นเสี่ยวซู่ เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “ความจริงนายเองก็ไม่อยากไปอยู่แล้วนี่?”
มุมปากหวังฉงหยางกระตุกขึ้น “นายนี่น่าสนใจจริงๆ”
หวังฉงหยางกลับหลังหัน เดินจากไป
พอเขาไปแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่พูดขึ้น “จริงๆ แล้วฉันมีอีกเงื่อนไขหนึ่ง…”
ลั่วซินอวี่ยืนขึ้นแล้ว รอยยิ้มหายวับ แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง “เจ้าหนู ความอดทนฉันมีจำกัด”
เริ่นเสี่ยวซู่ละสงสัยจริงๆ ว่าทำไมคนในป้อมปราการถึงอารมณ์เหวี่ยงขนาดนี้ วินาทีที่แล้วยังยิ้มให้เขาอยู่เลย ทำไมพริบตาเดียวอารมณ์ก็เปลี่ยนซะแล้วล่ะเนี่ย