the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 387 คำปฏิญาณทหาร
บนรถบรรทุก เริ่นเสี่ยวซู่ฟังเหล่าอันธพาลแห่งกองร้อยเจียน
เตาคุยเรื่องแผนการเจาะแนวป้องกันของเขาติ้งย่วน นอกจากคุย
เรื่องเจาะแนวป้องกันของศัตรูแล้ว ก็ยังพูดถึงความเป็นไปได้ที่ศัตรู
จะมีทหารสนับสนุนมาจากเขากวนซานด้วย
เหตุผลที่ว่าเขาติ้งย่วนยากยึดครองเป็นเพราะโจรสมาคม
ตระกูงจงได้รับการสนับสนุมาจากแนวหน้าของเขากวนซานด้วย ใน
ช่วงสันติ โจรสองกลุ่มนี้ก็เหมือนไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน แต่เมื่อ
มีสงคราม ก็ชัดเจนว่าโจรสองกลุ่มนี้เป็นฝ่ายเดียวกัน
ดังนั้นถ้าพวกเขาโจมตีเขาติ้งย่วน ก็ต้องเจอภัยคุกคามจาก
เขากวนซานในเวลาเดียวกันตอนที่ขบวนรถกำลังออกจากป้อมปราการ 178 ก็มีคน
มาหยุดขบวนรถข้างหน้า กลายเป็นว่าคือหวังเซิ่งจือและหวังเซิ่งอิน
กำลังรออยู่ที่ประตูตะวันออก จางเสียวหม่านกระโดดลงจาก
รถบรรทุกและถาม “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”
หวังเซิ่งอินว่า “เริ่นเสี่ยวซู่อยู่ในกองร้อยนายใช่ไหม
ผู้บัญชาการจางบอกว่าเขาจะออกไปแนวหน้าวันนี้ พวกเราเลยกะ
จะลาเขาเสียหน่อย ไม่ทำให้การเดินทางล่าช้าหรอก”
เมื่อมองรูปลักษณ์ของหวังเซิ่งอินแล้ว จางเสียวหม่านก็ทราบ
ว่าเธอน่าจะเป็นคนจากที่ราบตอนกลาง เขาพูดอย่างไม่พอใจ
“ทหารจะออกไปทำสงคราม จะขอให้รอเพราะอยากร่ำลาคนได้
ยังไง หลบทางไป เขาเป็นทหารในกองร้อยเจียนเตาฉันแล้ว
ไม่อนุญาตให้พบพวกเธอสองคน”
จางเสียวหม่านไม่ค่อยพอใจแต่แรกแล้ว ทหารของเขาหยุด
การเดินทัพเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เหรอ นี่มันบ้าอะไรเนี่ย
หวังเซิ่งอินยิ้มกล่าว “ขอโทษด้วย งั้นพวกเราไม่กล่าวลาเขา
แล้ว ว่าแต่ช่วยเอาของขวัญนี้ให้เขาหน่อยได้ไหม ฝากบอกเขาว่า
พวกเราจะออกจากป้อมปราการ 178 ในสามวัน พอพวกเราไปถึง
จะช่วยเขาตามหาเพื่อนชื่อหลี่เสินถานแน่นอน”“ได้ๆ” จางเสียวหม่านโบกมืออย่างหมดความอดทน “ฉัน
จะเอาให้เขาเอง”
จากนั้นจางเสียวหม่านก็กระโดดขึ้นหลังรถบรรทุกและรีบนำ
ขบวนรถผ่านประตูป้อมปราการ 178 ไป ระฆังทองแดง ณ สุดถนน
ยาวข้างหลังที่อยู่กลางป้อมปราการนั้นยังคงเดิม พวกทหารมอง
หวังเซิ่งอินที่อยู่ไกลออกไปเรื่อยๆ พร้อมพึมพำว่า “น่าอิจฉาฉิบ…”
ตอนนี้หวังเซิ่งอินยังคงโบกมือลาให้ขบวนรถอยู่ ส่วนหวัง
เซิ่งจือก็ยิ้มตลอดโดยไม่เอ่ยอะไร
จางเสียวหม่านยื่นของขวัญให้เริ่นเสี่ยวซู่ “ช่วงสงครามนาย
ไม่ควรมีความรัก ในสงครามมีแต่เรื่องความเป็นตายให้คิด เข้าใจ
ไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ตอบ รับกล่องมาเปิดและเห็นว่าเป็นขนมถั่วกวน
กล่องหนึ่ง เขาหยิบมาหนึ่งชิ้นยัดเข้าปาก จากนั้นก็ยื่นขนมชิ้นที่
เหลือให้จางเสียวหม่านและว่า “เอาไปแบ่งสิ”
จางเสียวหม่านนิ่งงัน “ผู้หญิงให้ขนมเลยนะเฟ้ย เอามาแบ่ง
พวกเราได้ไง เจ้าหนู นายคิดอะไรอยู่เนี่ย”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะว่า “ไม่อร่อย”
จางเสียวหม่าน “…”ทหารคนอื่นๆ ฉกขนมไปจากมือของจางเสียวหม่านและพูด
“ถ้าเขาไม่อยากได้ก็เอามาให้พวกเรา มีผู้หญิงเอาของกินมาให้ก็
แจ่มว้าวแล้ว ยังจะเรื่องมากอีกเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งอยู่ในมุม ความสัมพันธ์ของเขากับหวังเซิ่งอิน
ไม่ใช่อย่างที่ทหารคนอื่นๆ คิด พวกเขารู้จักกันแค่สิบกว่าวันเท่านั้น
ยังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ
บางทีหวังเซิ่งจือรู้สึกว่าในอนาคตเขาน่าจะมีประโยชน์ เลย
รีบแสดงความปรารถนาดีขณะที่ยังอยู่ที่นี่
แต่ไม่ว่าอย่างไร เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่มีทางเชื่อใจ ‘เพื่อน’ ที่รู้จักกัน
มาเพียงสิบกว่าวันพวกนี้ ส่วนที่ว่าหลังหวังเซิ่งจือเจอหลี่เสินถานแล้
วจะเกิดอะไรขึ้นต่อนั้นเขาไม่ได้สนใจหรอก
ดูจากสิ่งที่หลี่เสินถานและซือหลีเหรินสามารถทำได้แล้ว
ต่อให้หวังเซิ่งจือมีความคิดเป็นอื่น หลี่เสินถานก็ยังรอดพ้นไปได้
อย่างไร้รอยขีดข่วนอยู่ดี
แต่พอได้ชิมรสชาติขนมถั่วกวนแล้วก็ทำเขานึกถึงหยางเสียว
จิ่นขึ้นมา สงสัยนักว่าตอนนี้เด็กสาวไปอยู่ที่ไหนแล้ว
พวกเธออาจจะสิ้นชีพกันหมดแล้วก็ได้
แม้กระทั่งตัวเริ่นเสี่ยวซู่เองในตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะรอดมาได้ก่อนที่เขาจะได้แก้แค้น เริ่นเสี่ยวซู่จะไม่ลากคนอื่นมายุ่งเกี่ยว
มองว่าเป็นเพียงคนที่ผ่านมาในชีวิต
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ว่า “ผู้บังคับกองร้อย ทำไมพวกเราไม่
โจมตีเขากวนซานแทน”
“บ้าแล้วเหรอไง” จางเสียวหม่านพูดทั้งๆ ที่ขนมถั่วกวน
เต็มปาก “คำปฏิญาณทหารของฉันคือโจมตีเขาติ้งย่วน อีกอย่าง
เข้าตีกวนซานมันยากกว่าเข้าตีเขาติ้งย่วนด้วย”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง “เห็นว่าต้องกันไม่ให้กำลังสนับสนุน
จากเขากวนซานมาช่วยเขาพวกเขาติ้งย่วนตอนเราเข้าโจมตีไม่ใช่
เหรอ งั้นเราเข้าตีเขากวนซานไป ก็น่าจะมีกำลังสนับสนุนจากเขา
ติ้งย่วนมาอยู่ดีใช่ไหม”
จางเสียวหม่านคิดตามที่เขาพูด จากนั้นก็เข้าใจที่เริ่นเสี่ยวซู่
จะสื่อว่าพวกเขาควรทำเป็นแสร้งโจมตีเขากวนซานก่อน จากนั้นก็
ซุ่มโจมตีใส่กำลังเสริมจากเขาติ้งย่วนที่กำลังเคลื่อนพลไปยังเขา
กวนซาน
ข้อเสนอแนะนี้ทหารกองร้อยเจียนเตาชอบพอดีเลย
อย่างไรสงครามที่มั่นในสงครามสมัยใหม่นั้นก็เหมือนกับเป็น
‘เครื่องบดเนื้อ’นายทหารของป้อมปราการ 178 ต้องเรียนวิชาการทหารใน
ช่วงสุดสัปดาห์ ต่อให้พวกเขาไม่ชอบเรียนแค่ไหน ก็ยังชอบอ่าน
กรณีศึกษาในสงครามยุคก่อนภัยพิบัติที่เก็บรักษาไว้ป้อมปราการ
กรณีศึกษาหนึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการสู้รบเข้ายึดครอง
สนามบินแห่งหนึ่ง ซึ่งได้อธิบายเกี่ยวกับสงครามชิงที่มั่นสมัยใหม่ไว้
ได้อย่างดี ฝ่ายจู่โจมมีกำลังมากกว่าฝ่ายตั้งรับสิบเท่า มีปืนใหญ่วิถี
โค้ง[1]ขนาด 122 มิลลิเมตรและมีเฮลิคอปเตอร์จู่โจมหลายลำ แต่
แม้ในสภาพการณ์เช่นนั้น ฝ่ายจู่โจมต้องใช้เวลาสามเดือนกว่า
จะเข้ายึดสนามบินได้ ในช่วงสงครามนี้มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมาย
กรณีศึกษานี้พิสูจน์ไว้แล้วว่าถ้าอีกฝั่งไม่มียานรบกองกำลัง
ทางบกเต็มอัตราหรือมีการจู่โจมทางอากาศอันทรงพลังแล้ว
สงครามที่มั่นเป็นอะไรที่ต้องวางแผนคิดอย่างจริงจังมาก
ไม่ว่าพวกเขามีอุปกรณ์อะไร ศัตรูเองก็มีเหมือนกัน ที่จริงฝ่าย
ป้องกันมีวางกับระเบิด กับดักอาวุธ และกับดักอื่นๆ ด้วย
การถล่มยิงใส่เป้าหมายมีราคาต้องจ่ายสูงมาก ทั้งยัง
ต้องการข้อมูลที่ตั้งจุดยิงของศัตรูที่ได้มาจากการสละชีพของ
พรรคพวกอีกถ้าชิ่งเจิ่งไม่ได้รับแผนที่จุดตั้งรับล่ะก็ กว่าเขาจะยึดที่มั่น 313
ได้คงใช้เวลาอยู่นานโข ตอนนั้นเส้นตายที่ศูนย์บัญชาการสมาคม
ตระกูลชิ่งให้มาคือแค่เดือนเดียว
มีคนมากมายคิดว่าสงครามที่มั่นนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับสงคราม
สมัยใหม่ แต่ว่าของจริงมันไม่ใช่เช่นนั้นเลย
‘ทฤษฎีอำนาจขีปนาวุธ’ นั้นยังไม่ถึงขีดสุดของอำนาจ
ในกรณีศึกษาที่พวกจางเสียวหม่านอ่าน ที่มั่นนั้นสามารถยึด
ด้วยการถล่มยิ่งด้วยกองกำลังทางอากาศ แต่ตอนนี้สัตว์ร้ายบินได้
ทั้งหลายเป็นจ้าวแห่งนภากาศ เครื่องบินของมนุษยชาติเปราะบาง
เกินไปถ้าเทียบกับพวกมัน
ตอนนี้กองร้อยเจียนเตาต้องสู้กับโจรสองรัง ถึงพวกเขา
จะเรียกการยิงสนับสนุนถล่มเขาติ้งย่วนและเขากวนซานได้ ทว่า
หลังจากนั้นล่ะ พวกเขาจะสู้กองกำลังของสมาคมตระกูลจงที่เหลือ
อย่างไร
แต่ก็แค่โจรสองรังเองไม่ใช่เหรอวะ สงครามของจริงยังไม่เริ่ม
เลยด้วยซ้ำ
จางเสียวหม่านคิดอยู่พักหนึ่ง “แต่พวกเราอาจจะรับมือ
ไม่ไหวถ้าโดนโจมตีทั้งสองทาง”เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “แต่ถ้าพวกเราไม่เข้าตีแบบนี้ ก็ยังโดนโจมตี
มาทั้งสองทางอยู่ดีนี่?”
“ก็จริง” จางเสียวหม่านว่า “แล้วถ้าเขากวนซานถูกกดดัน
ไม่พอ จนเขาติ้งย่วนไม่ส่งกำลังสนับสนุนมาล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงหนักแน่น “งั้นพวกเราก็แค่กดดันพวกเขา
ไง ปล่อยให้เป็นฝีมือฉันเอง”
“นายกล้าให้คำปฏิญาณทหารเรื่องนี้ไหม” จางเสียวหม่าน
แปลกใจ
“กล้า!”
ทหารกองร้อยเจียนเตาบนรถบรรทุกรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง
ไม่ชอบมาพากล พวกเขายังกังวลอยู่เลยว่าพอทหารใหม่อย่างเริ่น
เสี่ยวซู่เข้าสนามรบแล้วจะขาอ่อนเปลี้ยไป แต่ทำไมดูเริ่นเสี่ยวซู่กระ
เหี้ยนกระหืออยากจะรบยิ่งกว่าพวกเขาอีกล่ะ
ข่าวลือบอกว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นผู้มีพลังพิเศษใช่ไหมนะ ไม่มีใคร
รู้ว่าเขาเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงดูบ้าบิ่นขนาดนี้[1] ปืนใหญ่วิถีโค้ง (Howitzer) คือปืนใหญ่ออกแบบมาให้ยิง
กระสุนด้วยมุมตกกระทบที่สูง (มุมยิง 45 องศาขึ้นไป) ปืนใหญ่อีก
ประเภทเรียกว่า ปืนใหญ่วิถีราบ (Gun/Cannon) โดยปืนใหญ่
ประเภทนี้จะมีมุมยิงต่ำกว่า (มุมยิงต่ำกว่า 45 องศา)