the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 388 คนคลั่งสงคราม
ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะโจมตีเขากวนซานเพื่อล่อ
โจรเขาติ้งย่วนออกมาจากรัง ดังนั้นจำเป็นต้องลอบเข้าหุบเขาไป
ด้วยความเงียบงัน กันไม่ให้คนพบการเคลื่อนไหวได้
สมาคมตระกูลจงฝังสายลับไว้ทั่วแดนตะวันตกเฉียงเหนือ
ป้อมปราการ 178 มีแผนจะกำจัดโจรในหุบเขาก่อน เพื่อไม่ให้
พวกเขาสร้างปัญหาให้กับฐานปฏิบัติการหน้าเมื่อสงครามจริงเริ่ม
ขึ้น
จางเสียวหม่านเชื่อว่ายึดครองเขากวนซานยากกว่า แต่เริ่น
เสี่ยวซู่ไม่คิดเช่นนั้น เพราะว่าโจรส่วนหนึ่งสิ้นชีพจากแผ่นดินไหวใหญ่ที่เหยียนลิ่วหยวนสาปแช่งพวกเขาไปแล้ว เขาเดาว่าโจรพวก
นั้น
น่าจะมาจากเขากวนซาน
ตอนนั้นพวกเริ่นเสี่ยวซู่อยู่แถวเขาเก่าเล่อ รังโจรที่ใกล้ที่สุด
อยู่ที่เขาถังหวังและเขากวนซาน แต่ว่าโจรจากเขาถังหวังนั้นถูกหวัง
ฉงหยางกะเกณฑ์ไปหมดเรียบร้อย ดังนั้นความเป็นไปเดียวที่เหลือ
ก็คือเขากวนซาน
แต่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่พูดเรื่องนี้ออกไปแม้แต่คำเดียว
ดูเหมือนว่าป้อมปราการ 178 จะยังไม่รู้เรื่องการสู้รบที่เกิดขึ้นใน
แดนรกร้าง สมาคมตระกูลจงคงพยายามปิดข่าวอยู่
จุดที่เกิดการสู้รบอยู่ห่างจากป้อมปราการ 178 อยู่ราวๆ ห้า
หกร้อยกิโลเมตร ไม่ว่าจะระเบิดหรือยิงหนักแค่ไหน คนใน
ป้อมปราการก็ไม่มีทางได้ยินอะไร
แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าถ้ามันเป็นอย่างที่เขาเดาจริงๆ เขากวน
ซานไม่มีทางชนะยากอย่างที่พวกเขาคิดไว้แน่ กลับกันน่าจะง่ายก
ว่าการเข้าตีเขาติ้งย่วนกว่ามาก
ทหารกองร้อยเจียนเตาพลันสละรถบรรทุกและเคลื่อนไหว
ตามร่องน้ำพร้อมขนปืนและยุทโธปกรณ์ตนราวชาติมุสิก ช่วงกลางวันนอนหมอบต่ำ ช่วงกลางคืนเคลื่อนไหว พยายามสุดชีวิต
ไม่ให้ศัตรูเห็นร่องรอย
ตอนที่พวกเขานอนอยู่ในเงามืดตอนช่วงกลางวันนั้น จาง
เสียวหม่านก็กล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ถึงฉันไม่รู้นายมีพลังอะไร แต่
ในเมื่อนายบอกสามารถกดดันเขากวนซานด้วยตนเองได้ฉันก็เชื่อ
ไปตามนั้น แต่ถ้าให้ดีอย่าไปถึงนั่นแล้วบอกทำไมได้ล่ะ ถ้าทำไม่ได้
ไม่ว่านายจะเป็นใครฉันก็จะยิงทิ้งซะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ตอบ ดวงตาหลับสนิทนอนพิงร่องน้ำกอดปืน
ไรเฟิลอัตโนมัติ
ทุกคนค่อยๆ รับประทานอาหารสนามของตนไป เพราะต้อง
ลอบเข้าหุบเขา เลยไม่สามารถจุดไฟทำอาหารได้
แต่พวกจางเสียวหม่านก็ต้องแปลกใจที่เริ่นเสี่ยวซู่รับ
ความลำบากได้ยิ่งกว่าพวกตนเสียอีก ขณะทุกคนพัก พวกเขาต้อง
ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายาม ทหารคนอื่นๆ บ่นไปด้วยความง่วงงุน แต่
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่หือไม่อืออะไรทั้งสิ้น ถ้าถูกให้เฝ้ายาม เขาก็แค่ทำไป
ตามนั้น แม้จะต้องเฝ้านานกว่าปกตินิดหน่อยก็ยังรับได้
จางเสียวหม่านสำรวจมองและพบว่าเริ่นเสี่ยวซู่เฝ้ายามอย่าง
จริงจัง รับผิดชอบงานได้ดีมากผู้บังคับกองร้อยเจียนเตาพึมพำ “ถึงว่าทำไมผู้บัญชาการ
เลือกเขา”
ทุกคนล้วนคาดหวังอะไรบางอย่างจากเริ่นเสี่ยวซู่ ไม่ใช่ว่า
ทุกคนมีอะไรขุ่นเคืองอะไรเขา แต่เป็นเพราะว่าพอทุกคนรู้ว่าเขา
อาจได้กลายเป็นผู้บัญชาการคนต่อไปแล้วก็สงสัยกันว่า เขามีอะไร
ดีกว่าฉัน ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นผู้มีสิทธิ์ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการ
ขณะเดียวกันเริ่นเสี่ยวซู่นอกจากจะทำงานเฝ้ายามแล้ว
ระหว่างเคลื่อนทัพนั้นเขายังต้องคอยเวียนเปลี่ยนกะแบกปืนกล
หนักและปืนครกกับทุกคนด้วย ปืนกลหนักพวกนี้เป็นภาระมาก
และพวกปืนครกก็หนักเกือบสิบห้ากิโลกรัม ถึงการแบกพวกมัน
เป็นระยะทางไกลจะลำบากมาก แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับไหว
ส่วนปืนกลหนักกระสุน 12.7 มิลลิเมตรนั้นหนักกระบอกละยี่
สิบห้ากิโลกรัม ไหนพวกเขายังต้องแบกเป้สนามของตนเองอีก
ระยะทางไปเขากวนซานและเขาติ้งย่วนนั้นยังเหลืออีกอย่างน้อย
หนึ่งร้อยกิโลเมตร ภูมิประเทศก็ยากเดินทาง บ่าของทหารบางคน
ถึงกับเป็นแผลหลังจากแบกปืน
แต่เร่นเสี่ยวซู่ไม่ปริปากบ่นแม้แต่ครั้งเดียวเริ่นเสี่ยวซู่ดูผอมมากเพราะแต้มพละกำลังและ
ความคล่องแคล่วนั้นสมดุลกัน ตอนแรกจางเสียวหม่านตั้งใจให้เริ่น
เสี่ยวซู่ลำบากตราตรำ
แต่จางเสียวหม่านก็ต้องแปลกใจ ตอนเริ่นเสี่ยวซู่แบกปืนกล
หนักนั้นดูมั่นคงมากแม้จะตัวดูผอมกว่าใครก็ตาม เขาถึงกับอาสา
ช่วยแบ่งเบาภาระเพื่อนทหารคนอื่นด้วยซ้ำ
ในกองทัพก็เป็นเช่นนี้ ถ้าทรหด แข็งแกร่งก็จะได้รับ
ความนับถือ ถ้าอ่อนแอก็จะถูกเหยียดหยาม
แค่เดินทัพผ่านแดนรกร้างไปไม่กี่วัน ความรู้สึกที่ทุกคนมีต่อ
เริ่นเสี่ยวซู่ก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้น เจ้าเด็กนี่ทั้งทรหดทั้งแข็งแกร่ง!
ทหารกองร้อยเจียนเตาต่างมีความคิดลางๆ ในหัวว่า เขา
ไม่เลวเลยนะเนี่ย
แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขายอมรับเริ่นเสี่ยวซู่เต็มตัวแล้ว เขาจะคู่ควร
ได้เป็นผู้บัญชาการคนต่อไปนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กำลังพละกำลังกายภาพ
และความทรหดอดทนอย่างเดียว
ตอนนี้จางเสียวหม่านลองคำนวณดูและว่า “เขากวนซานอยู่
ห่างจากเขาติ้งย่วนราวๆ สามสิบกิโลเมตร ถ้าโจรบนเขากวนซาน
ขอกำลังสนับสนุนจากเขาติ้งย่วน โจรพวกนั้นก็น่าจะมาถึงภายในครึ่งชั่วโมง พวกเราต้องขุดสนามเพลาะซุ่มโจมตีข้างถนนเป็นการ
ล่วงหน้า ไม่งั้นปราบพวกโจรเวรนั่นไม่ได้แหง”
เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ร่องน้ำนี้เป็นสนามเพลาะธรรมชาติอยู่แล้ว”
“ก็จริง” จางเสียวหม่านโพล่งถาม “นายมั่นใจจริงๆ เรื่อง
กดดันเขากวนซานจนต้องเรียกกำลังเสริมใช่ไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง “ฉันให้คำปฏิญาณทหารไปแล้ว”
พลสื่อสารแห่งกองร้อยเจียนเตาคอยติดต่อกับกองพันทหาร
ทัพหน้าเบื้องหลังตลอด ทางกองพันเคลื่อนทัพหลังกองร้อยเจียน
เตาออกไปได้วันหนึ่ง ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ข้างหลังห่างไปหกสิบ
กิโลเมตร
แต่เป้าหมายของกองพันทหารทัพหน้านั้นไม่ใช่ทั้งเขากวน
ซานหรือเขาติ้งย่วน พวกเขาต้องตั้งแนวป้องกันในทางเหนือเพื่อกัน
ไม่ให้สมาคมตระกูลจงโต้กลับด้วยการโจมตีลงใต้หลังพวกเขายึด
เขากวนซานและเขาติ้งย่วนเรียบร้อยแล้ว
ในกำลังทหารของป้อมปราการ 178 กองพลน้อยกว่า
ครึ่งหนึ่งถูกทิ้งไว้คุ้มกันป้อมปราการ ส่วนที่เหลือนั้นเตรียมถูกส่งไป
บนสนามรบเริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ผู้บังคับกองร้อย สมาคมตระกูลจงมีทหาร
สองแสนนายจริงเหรอ”
จางเสียวหม่านแค่นเสียง “สมาคมตระกูลจงกล้าอ้างว่า
ตัวเองมีทั้งสองแสนนายได้ยังไงทั้งที่อาณาเขตเล็กจ้อยขนาดนั้น
อ้อเดี๋ยวนะ ถ้าพวกเรารวมผู้อพยพกับทหารกองกำลังส่วนตัวที่
พวกเขาเกณฑ์เข้ากองกำลังไปด้วยก็คงจะสองแสนจริงๆ แหละ แต่
ทหารป้อมปราการ 178 เราสามารถสู้จนถึงคนสุดท้ายได้ ส่วนไอ้
พวกที่สมาคมตระกูลจงเรียกว่ากองพลน้อยนั่นคงเสียขวัญกำลังใจ
ไปหมดหลังทหารตายไปไม่กี่ร้อยนาย”
ตอนนี้เองเริ่นเสี่ยวซู่จึงแถลงไขว่าสมาคมตระกูลจงก็เหมือน
สมาคมตระกูลหลี่ นอกจากจะเกณฑ์ผู้อพยพไร้ความสามารถเข้า
กองทัพแล้ว ยังจะเกณฑ์ทหารกองกำลังส่วนตัวไม่เอาอ่าวเข้ากำลัง
ด้วยอีก
ถ้าสมาคมตระกูลชิ่งทำแบบนั้นด้วย เริ่นเสี่ยวซู่คาดว่า
พวกเขาน่าจะมีกำลังทหารมากกว่าสี่แสนนาย
แต่ทหารพวกนั้นเอาไปทำอะไรได้ล่ะ
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “สมาคมตระกูลจงมีทหารจริงๆ แค่ไหน”“ประมาณเก้าหมื่นได้” จางเสียวหม่านว่า “แต่เป็นข่าวกรอง
จากปีที่แล่ว”
เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า พลันรู้สึกว่าการสู้รบนี้ดูจะไม่ลำบาก
ขนาดนั้นแล้ว แม้ว่าป้อมปราการ 178 จะมีกำลังทหารแค่เจ็ดหมื่น
ห้าพันนายบนสนามรบก็ตาม
ทำไมมันราวกับว่าป้อมปราการ 178 ดูไม่แข็งแกร่งอะไร
ขนาดนั้นล่ะ เขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่านะ
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเรื่องนี้มันมีอะไรแปลกๆ ถ้าป้อมปราการ
มีกองกำลังรบแค่นี้ ต่อให้พวกเขาสามารถยืนยงอยู่ใน
ตะวันตกเฉียงเหนือได้ แต่ก็ไม่เพียงพอจะทำให้สมาคมที่แท้จริง
สะเทือนอะไรได้นี่
อีกอย่างหลัวหลานก็เคยอยากฆ่าจางจิ่งหลิน แต่ว่าชิ่งเจิ่น
ปรามไว้
เป็นเพราะชิ่งเจิ่นต้องการให้จางจิ่งหลินกลับ
ตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อเขาจะได้คอยจับตาสมาคมตระกูลจง หรือ
เป็นเพราะว่าเขาอยากให้จางจิ่งหลินเฝ้าระวังคุ้มกันให้เหล่ามนุษย์
ในเขตชั้นไหน กันไม่ให้สงครามจากภายนอกบุกเข้าไป?หรืออาจจะเป็นเหตุผลทั้งคู่ เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าชิ่งเจิ่นอาจจะ
ไม่ใช่คนที่คลั่งแต่สงครามเสียแล้ว