the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 389 อย่าให้ศัตรูรู้ตัว
กองร้อยเจียนเตาไม่ได้เคลื่อนทัพช้า พวกเขาหมอบต่ำช่วง
กลางวันและโผล่ออกมาแค่ช่วงกลางคืนอยู่สามวันติด อันธพาล
กลุ่มนี้เริ่มจะรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาหน่อยแล้ว
ถ้าเดินทัพปกติพวกเขาคงไม่เหนื่อยหรอก แต่หลักๆ คือ
พวกเขายังต้องแบกเสบียง กระสุน และปืนกับตัวด้วย กองร้อย
เจียนเตามีปืนกลหนักสี่กระบอกและกระสุนยี่สิบกว่ากล่อง
ตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่ทำตัวเงียบๆ มาก แบกปืนกลหนัก
พร้อมกับทหารคนอื่นๆ ปืนหนึ่งกระบอกแบกสองคน เปลี่ยน
ผลัดกันทุกๆ สามชั่วโมงระหว่างที่เดินไปเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกว่าสองคนแบกปืนกลหนัก
แบบนั้นมันไม่สะดวกเลยเพราะต้องคอยผสานจังหวะฝีเท้า เพราะ
อย่างนั้นเขาเลยแค่ปล่อยเพื่อนร่วมกลุ่มไปและแบกปืนคนเดียวเสีย
จางเสียวหม่านนึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ประเมินตัวเองสูงไป เขา
จะแบกของเพิ่มอีกยี่สิบห้ากิโลกรัมบวกไปกับน้ำหนักเป้สนามเดิม
ไปอย่างไร แบกพักหนึ่งไม่เท่าไรหรอก แต่ลองแบกไปสามชั่วโมง
รวดดูสิ!
แต่ทุกคนก็พบว่ามันไม่ใช่แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่แม่*แบกปืนกลหนัก
หนักยี่สิบห้ากิโลกรัมด้วยหน้าตาเฉยมาก ไม่หอบสักกะแฮก!
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง จางเสียวหม่านกับคนอื่นๆ นึกว่าเริ่นเสี่ยว
ซู่เหนื่อยแล้ว แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็แค่สลับมือไปอีกมือและแบกเดินทาง
ต่อไป
ผ่านไปสองชั่วโมง จางเสียวหม่านและคนอื่นๆ นึกว่าเริ่น
เสี่ยวซู่คงเหนื่อยแล้วแน่ๆ แต่เริ่นเสี่ยวซู่แค่สลับกลับไปมือข้างเดิม
อย่างกับไม่หนักอะไรเลยอย่างไรอย่างนั้น
ผ่านไปสามชั่วโมง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ส่งปืนกลหนักไปให้เพื่อน
ทหารที่จะเข้ามาเปลี่ยนผลัดแทน “ตานายแล้ว”ใจทุกคนในกองร้อยเจียนเตาลอบประหลาดใจ เจ้าเริ่นเสี่ยว
ซู่นี่เป็นสัตว์ประหลาดหรืออย่างไร โชคดีนะที่พวกเขาไม่ไปต่อยตี
กับเริ่นเสี่ยวซู่ตอนอยู่ฐานทัพ ด้วยพละกำลังเช่นนี้ แค่หมัดเดียวก็
ต่อยปลิดชีพคนได้แล้วไหม!
จางเสียวหม่านอิจฉาอยู่บ้าง “นี่คือการเป็นผู้มีพลังพิเศษสินะ
”
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินพระราชวังในห้วงจิตกล่าว
[ภารกิจ ช่วยแบ่งเบาภาระเพื่อนทหาร]
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งงันไป เขาไม่ได้ภารกิจจากพระราชวังมาเกือบ
เดือนแล้ว สงสัยนักว่ารอบนี้ของรางวัลจะเป็นอะไร
ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงจุดเป้าหมายในวันที่สี่ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ฉวย
ช่วงเวลาไปช่วยเพื่อนทหารแบกของขณะที่พวกเขารู้สึกเหนื่อยที่สุด
เขาจะช่วยแบกพักหนึ่งก่อนจะส่งของกลับไปอีกครั้ง
เพื่อนทหารเขาต่างซาบซึ้งจนน้ำตาไหล เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนดี
แท้ ช่วยเหลือทุกคนกันหมด
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่รับกล่องใส่เสบียงไป ทุกคนก็ขอบคุณเขากัน
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าแม้ทหารกองร้อยเจียนเตาจะดูเป็นอันธพาล แต่คำขอบคุณก็ใจจริงไม่เลวเลย ที่จริงแล้วทุกคำขอบคุณเขาได้รับ
เหรียญคำขอบคุณหมด
ช่วงสู้รบก่อนหน้านี้ เริ่นเสี่ยวซู่ใช้ไพ่ระเบิดราวกับเป็นของฟรี
อย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเหลือเหรียญคำขอบคุณราวๆ
หนึ่งร้อยเหรียญจากเดิมทีที่สะสมไว้เก้าร้อยกว่าเหรียญ
แต่ตอนนี้ได้เหรียญคำขอบคุณอีกครั้ง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ทุ่มเทตั้ง
ใจ
ถึงจางเสียวหม่านจะเป็นผู้บังคับกองร้อย แต่ก็เป็นคนที่
เป็นต้นแบบให้แก่ผู้อื่นเสมอ ช่วยผู้อื่นแบกของโดยไม่ปริปากบ่น
พอเป็นรอบที่จางเสียวหม่านต้องแบกของบ้าง เริ่นเสี่ยว
ซู่กำลังจะรับกล่องกระสุนมาจากเขา แต่จางเสียวหม่านปฏิเสธ
ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้แค้นใจที่พวกเขาทั้งกลุ่มจะรุมอัดตน
การอาสาช่วยเพื่อนทหารคนอื่นๆ ทำเอาทุกคนรู้สึกละอายกับ
พฤติกรรมตัวเองโดยแท้
จางเสียวหม่านหันมองเริ่นเสี่ยวซู่ที่กำลังจะหยิบกล่องกระสุน
ออกจากบ่าตน เขาพูดทันที “ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องหรอก ฉันขนไหว”
แต่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ชะงัก พูดด้วยสีหน้าอึมครึม “ปล่อย!”จางเสียวหม่านปล่อยมือตามสันชาตญาณ ปล่อยให้เริ่นเสี่ยว
ซู่คว้ากล่องกระสุนไป ต่อให้เขาแบกไหว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ปล่อยให้เขา
แบกหรอก เพราะถ้าปล่อยไว้ภารกิจเขาก็ไม่คืบหน้าสิ
เดิมทีเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเขาจะทำภารกิจสำเร็จด้วยการช่วยขน
กระสุนกล่องหรือสองกล่อง หลังจากทดสอบดูแล้ว พระราชวัง
ภารกิจคืบหน้าไปแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเขา
ต้องช่วยอีกร้อยครั้งภารกิจจึงถือว่าสำเร็จ
ยิ่งภารกิจท้าทาย ของรางวัลยิ่งดี เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มคาดหวังกับ
ของรางวัลรอบนี้
แต่เริ่นเสี่ยวซู่แบกกล่องกระสุนมาก็รู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไป
เขามองกลับไปที่จางเสียวหม่านและว่า “จะไม่ขอบคุณฉันเหรอ”
จางเสียวหม่านชะงักไป ก่อนจะพึมพำ “ขอบคุณ…”
“ได้รับเหรียญคำขอบคุณจากจางเสียวหม่าน +1!”
จางเสียวหม่านพูดไล่หลังมา “อย่าฝืนตัวเองเกินไป รักษา
กำลังไว้สำคัญกว่า”
เริ่นเสี่ยวซู่แบกของขึ้นบ่ามาทั้งวัน ขนาดคนอื่นๆ ในกองกำลัง
ยังรู้สึกเหนื่อยมาก แต่เริ่นเสี่ยวซู่ยังดูสดชื่นอยู่
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ชะงักฝีเท้า “มีคนมา!”ชั่วพริบตานั้นทหารทุกนายแห่งกองร้อยเจียนเตาก็หมอบลง
ในร่องน้ำกันหมด เริ่นเสี่ยวซู่มองไปยังพวกทหารด้วยความ
ตกตะลึง เพื่อนทหารของเขานี่ระวังตัวจัดๆ เลย!
สิบวินาทีให้หลังพวกเขาถึงได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์
มาแต่ไกล ดูเหมือนจะมาจากทางตะวันออก ซึ่งหมายความว่าเป็น
คนจากเขาติ้งย่วน
จางเสียวจิ่นนอนหมอบกับพื้น กล่าวกับคนอื่นๆ ว่า “อย่าให้
ศัตรูรู้ตัว พวกเราต้องห้ามให้ถูกพบตัวโดยเด…”
เขายังพูดไม่ทันจบ เจ้าโจรที่ขับรถจักรยานยนต์มาแต่ไกลก็
พลันกรีดร้อง จางเสียวหม่านนิ่งงัน “อะไรวะนั่น ใครส่งเสียงทั้งๆ ที่
เพิ่งบอกว่าอย่างส่งเสียง ฉันบอกว่าให้ซ่อนไม่ให้ศัตรูรู้ตัวไง”
“ผู้บังคับกองร้อย เสียงมาจากทางฝั่งนู้น ไม่ใช่คนของเรา”
“จากทางฝั่งนู้น?” จางเสียวจิ่นงุนงง “เดี๋ยวนะ เริ่นเสี่ยวซู่หาย
ไปไหน”
พวกเขาชะโงกหัวขึ้นมาจากร่องน้ำด้วยความระมัดระวัง ก่อน
จะเห็นเริ่นเสี่ยวซู่กำลังหักคอโจรทิ้งและปล่อยร่างไว้กับพื้น
เริ่นเสี่ยวซู่ถอดเครื่องแบบกองร้องเจียนเตาออกและใส่ชุด
โจรผู้นั้นแทน จางเสียงหม่านพูดอย่างตกใจ “จะทำอะไรน่ะ”เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ฉันจะเข็นรถจักรยานยนต์ขึ้นเขากวนซาน ฉัน
สังเกตเห็นก่อนหน้านี้ว่าจะขึ้นยอดเขาต้องใช้เวลาราวๆ หนึ่งชั่วโมง
อีกหนึ่งชั่วโมงเป๊ะหลังจากนี้ ฉันอยากให้ทุกคนยิงปืนครกถล่มใส่
ภูเขาเลย ไม่ต้องห่วงว่าจะแม่นหรือไม่แม่น แค่เบี่ยงความสนใจก็
พอ หลังจากนั้นก็เตรียมเข้าขัดทัพโจรที่มาจากเขาติ้งย่วนเลย
ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”
ทหารกองร้อยเจียนเตามองหน้ากันเอง เริ่นเสี่ยวซู่จะขึ้นเขา
กวนซานไปด้วยตัวคนเดียวงั้นเหรอ!
จางเสียวหม่านถาม “ไปคนเดียวไม่เป็นอะไรเหรอ”
“ไม่เป็น” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่คิดจะตาย”
“แต่มันอันตรายเกินไป ทำไมไม่ให้ฉันส่งทหารสักหน่วยไป
คุ้มกันนายล่ะ” จางเสียวหม่านว่า
“เรื่องนั้นไม่จำเป็น” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหัว “ฉันจะช่วยทุกคนรั้ง
ตัวโจรบนเขากวนซานไว้ก่อน ถ้าสถานการณ์ไม่อำนวยฉันจะถอย
ทันที ตราบใดที่ฉันล่อโจรออกจากเขาติ้งย่วนได้ ทุกอย่างก็คุ้มค่า
แล้ว”
จางเสียวหม่านพลันจริงจังขึ้นมา “นับแต่นี้ไปนายคือพี่น้อง
แห่งกองร้อยเจียนเตาเราแล้ว ถ้านายต้องเสียสละชีพอย่างน่าเศร้าที่นั่นล่ะก็ ฉันจะให้สหายเราที่ป้อมปราการรู้ไว้ว่านายเป็นผู้กล้าคน
หนึ่ง”
ในสงครามมีหรือจะไม่มีความตาย ถ้าต้องการชนะใน
สงคราม ย่อมต้องมีคนเสียสละชีพ
ภารกิจปัจจุบันนี้ของกองร้อยเจียนเตาคือยึดครองเขาติ้งย่วน
ถ้าพวกเขาทำภารกิจไม่สำเร็จทันการณ์ ก็จะทำให้ทั้งกองทัพล่าช้า
ไปอีก
นี่จะเป็นสงครามอันลำบากสาหัส
แต่เจียวเสี่ยวเฉินที่เป็นหัวหน้าหน่วยที่หนึ่งก็โพล่งถาม
“ทำไมต้องเข็นรถขึ้นเขาด้วย ขี่ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่เงียบไปพักหนึ่ง “ขี่ไม่เป็น”
จางเสียวหม่าน “…”
จางเสี่ยวเฉิน “…”
ทหารทั้งกองร้อยเจียนเตา “…”