the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 391 ระฆังทองแดง
หลังจากถามยืนยันกับจางเสียวหม่านอีกรอบผ่านวิทยุแล้ว
ในที่สุดโจวอิงหลงก็เชื่อว่าพวกเขายึดเขากวนซานได้แล้วจริงๆ
แผนการเดิมของกองพันทหารทัพหน้าคือส่งกองร้อยเจียน
เตาเข้าตีโจรที่เขาติ้งย่วนที่รู้สึกว่าน่าจะยึดง่ายกว่า จากนั้นกองร้อย
เจียนเตาก็จะร่วมมือกับกองร้อยที่สองเข้าตีกองกำลังเขากวนซานที่
แข็งแกร่งกว่า
แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าส่งกองร้อยเจียนเตาออกไปไม่นาน
เขากวนซานก็ถูกยึดแล้ว
จางเสียวหม่านถามผ่านวิทยุ “ผู้บัญชาการกองพัน แบบนั้น
นับเป็นผลงานเราไหม”“ใช่ๆๆ” โจวอิงหลงตอบ “กองร้อยเจียนเตามีผู้เสียชีวิตไหม
ถ้ามีมากเกินไปก็พักกันชั่วคราวไปก่อนรอกำลังเสริม”
“พวกเราไม่เสียกำลังเลยไปสักคนเดียว” ขนาดจางเสียวหม่า
นพูดเองก็ยังรู้สึกแทบอยากไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะอย่างนั้นเขา
จึงกล่าวออกไปโดยไม่ปิดบังความจริง “บนเขากวนซานมีโจรแค่
ราวๆ ร้อยกว่าคน เริ่นเสี่ยวซู่ฆ่าพวกเขาหมดด้วยตัวคนเดียว ขนาด
ผมเองยังตะลึง ผู้บัญชาการกองพันคงไม่ต่าง พวกเรามีแผนแค่ให้
เขาคอยรั้งพวกโจรเขากวนซานไว้ แต่ไปๆ มาๆ เขารั้งเทพจนพวก
โจรลงโลงหมด”
จากนั้นจางเสียวหม่านถึงกับได้ยินเสียงโจวอิงหลงสูด
ลมหายใจลึกผ่านวิทยุพร้อมกับมีเสียงตะโกนว่า “เชี่ยอะไรนะ!”
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังใช้น้ำจากธารหลังเขากวนซานล้าง
เลือดออกจากตัว หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนกลับมาใส่เครื่องแบบ
ทหารของกองร้อยเจียนเตา
เจียวเสี่ยวเฉินและคนอื่นๆ ที่เก็บกระสุนกับข้าวของอยู่ไม่ไกล
ต่างมองเริ่นเสี่ยวซู่ “เห็นกันเปล่าวะ ฆ่าคนไปร้อยกว่าแต่ทำเหมือน
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขานิ่งไปหน่อยเปล่าวะเนี่ย”
“เขาทำอะไรก่อนจะมาป้อมปราการ 178 นะ…”“ได้ยินว่าเขาเองก็เป็นผู้อพยพ เคยเป็นนักเรียนของ
บัญชาการจางด้วย ทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องความดุร้าย เหล่าสู่บอกมา”
เริ่นเสี่ยวซู่ที่กลับมาใส่เครื่องแบบกองร้อยเจียนเตาแล้วกำลัง
ยืนอยู่ริมธาร นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นการล้างแค้น เขายังมีศึกอีกมากให้
สู้
จางเสียวหม่านรายงานโจวอิงหลงเสร็จแล้ว เขาถามเจียว
เสี่ยวเฉิน “นับจำนวนของ”
“พวกเราเก็บปืนกลหนักลำกล้อง 12.7 มิลิเมตรได้สอง
กระบอก มีล้อกับโล่กันกระสุนเสร็จสรรพ กระสุนสามสิบเอ็ดกล่อง
ปืนครกอีกสอง” เจียวเสี่ยวเฉินรายงาย “มีปืนไรเฟิลเยอะเลย แต่ว่า
ไม่มีประโยชน์กับเรา”
มีปืนมากใช่ว่าจะดีกว่า เพราะอย่างไรก็ต้องการคนใช้ถึงจะ
มีประสิทธิภาพ ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้วปืนไรเฟิลพวกนี้ไม่ต่างกับ
ขยะ
“เอาปืนครกกับกระสุนไป แยกล้อกับโล่กันกระสุนบนปืนกล
หนักก่อนค่อยขนไป อย่าลืมเอากระสุนปืนกลหนักไปด้วยนะ” จาง
เสียวหม่านว่า “โล่ปืนกลหนักใช้งานได้ดีในที่ราบ แต่ไม่ค่อยสะดวก
กับการเดินทัพเท่าไร เดี๋ยวนะ พวกระเบิดมือไม่มีเลยเหรอ”เจียวเสี่ยวเฉินส่ายหัว “ไม่มี พวกเราไม่เจอสักลูกเลย”
“โจรพวกนี้จนจัดจนไม่มีปัญญาหาระเบิดมือเหรอไงนะ” จาง
เสียวหม่านสงสัย
ทว่าไม่ใช่พวกโจรเขากวนซานยากจนอะไรหรอก แต่เป็นเริ่น
เสี่ยวซู่ที่ยัดระเบิดมือเจ็ดกล่องเต็มเข้าช่องเก็บของตัวเองไปแล้ว
ก่อนจะลงเขาไป
ก่อนที่เขาจะหาไพ่ระเบิดอย่างน้อยระดับ ‘หกแต้ม’ ได้ เริ่น
เสี่ยวซู่คิดว่าระเบิดมือสามารถเอามาใช้แทนได้ ส่วนที่ว่าระเบิด
‘หกแต้มสี่ใบ’ จะรุนแรงขนาดไหน เขาเองก็วัดไม่ได้เช่นกัน
จางเสียวหม่านมองกองปืนด้วยสายตาวิบวับ แม้จะเป็น
กองร้อยเจียนเตาก็ได้แต่อาวุธมาตรฐานขณะออกไปรบ พวกเขา
ไม่ได้ซื้อปืนมามากนัก ดังนั้นต้องดูว่ามีความสามารถหาของบน
สนามรบได้ขนาดไหน
เจียวเสี่ยวเฉินแบกปืนกลหนัก “เจ้านี่ของฉันโว้ย!”
พูดจบเริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้ามาคว้าปืนกลหนักจากมือของเจียว
เสี่ยวเฉิน เขาชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “หัวหน้า
หน่วย ให้ฉันแบกให้แล้วกัน”เจียวเสี่ยวเฉินซาบซึ้งจนน้ำตาไหล เริ่นเสี่ยวซู่เป็นทหาร
ชั้นยอดแถมยังมีจิตวิญญาณแห่งกองกำลัง เป็นเพื่อนร่วมหน่วยที่
ประเสริฐแท้!
“ขอบคุณนะเริ่นเสี่ยวซู่” เจียวเสี่ยวเฉินว่า
[ได้รับเหรียญคำขอบคุณจากเจียวเสี่ยวเฉิน +1!]
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าในป้อมปราการ 178 นั้นหาเหรียญ
คำขอบคุณง่ายไม่เลวเลย
ตอนนี้ภารกิจเขาใกล้สำเร็จแล้ว เขาคิดว่าหลังจากภารกิจ
เสร็จเขาน่าจะหาเหรียญคำขอบคุณต่อไป
“ผู้บังคับกองร้อย” เริ่นเสี่ยวซู่หันไปหาจางเสียวหม่าน “เรา
จะทำอะไรต่อเหรอ”
“พวกเราจะล้อมเขาติ้งย่วน” จางเสียวหม่านตอบ “กองพัน
ทหารทัพหน้ากับกองพันทหารช่างใกล้ถึงทางเหนือแล้ว พวกเขา
จะสร้างฐานปฏิบัติการหน้าที่นั้น พวกเราต้องกันไม่ให้โจรแนวหลัง
ไปสร้างปัญหาให้พวกเขา”
“ฐานปฏิบัติการหน้าเป็นของจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ” เริ่น
เสี่ยวซู่ถาม เขาไม่ได้สงสัยอะไรในตัวจางเสี่ยวหมาน เพียงแค่ถามด้วยความอยากรู้เท่านั้น “ฐานปฏิบัติการหน้าเอาไว้ทำอะไรกัน
แน่”
ภาพจำที่เริ่นเสี่ยวซู่มีต่อฐานปฏิบัติการหน้าคือสถานที่แค่ไว้
หาอาหารกิน
จางเสียวหม่านอธิบายอย่างใจเย็น “การมีฐานปฏิบัติการ
หน้าจะช่วยลดเวลา มันสามารถขยายสายเสริมกำลังไปใกล้ที่ตั้ง
ของศัตรูได้ ตัวอย่างเช่นกองพลน้อยยานเกราะต้องไปเติมของที่
ฐานปฏิบัติการหน้าก่อนจะคืบหน้าลึกเข้าไปสนามรบ”
เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ “งั้นพวกเราจะเข้าตีเขา
ติ้งย่วนยังไง”
“ผู้บัญชาการกองพันโจวบอกว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องโจมตี
ซึ่งหน้า แค่กันพวกเขาไม่ให้ออกจากเขาติ้งซานพอ ภารกิจเราไม่ถือ
ว่ายากแล้ว ดังนั้นพยายาลดผู้บาดเจ็บล้มตายลงให้มากที่สุด
หลังจากฐานปฏิบัติการหน้าสร้างเสร็จเรียบร้อย ก็จะมีกองกำลังอื่น
มาช่วยเรายิงสนับสนุน จากนั้นจะจับศัตรูก็ไม่ยากแล้ว”
คืนเดียวกันนั้น ทุกคนพักกันชั่วคราว ระหว่างที่พวกทหาร
ถอดรองเท้านั่งอยู่ข้างกองไฟ เริ่นเสี่ยวซู่ก็เดินออกไปเงียบๆจางเสียวหม่านมองเริ่นเสี่ยวซู่ยืนสันโดษอยู่ริมผา เขาโพล่ง
กล่าวกับทหารคนอื่น “ดูเหมือนเขามีเรื่องในใจนะ”
“ผู้บังคับกองร้อย เท้าเราเหม็นหรอก”
จางเสียวหม่านพูดเล่น “ไม่คิดว่าเขามีเรื่องหนักใจบ้างเหรอ
ไงหา”
“ก็คิดอยู่”
จางเสียวหม่านหันไปมองแผ่นหลังของเริ่นเสี่ยวซู่ เขา
มีความรู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ผ่านอะไรมามากกว่าที่ตนคิด เขาเดิน
ไปหาเริ่นเสี่ยวซู่พร้อมซุปผักร้อนๆ “อะ กินซะสิ”
“อืม ขอบคุณนะผู้บังคับกองร้อย” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
ทว่าจางเสียวหม่านส่งซุปเสร็จก็ยังไม่เดินไปไหน เขากลับ
ถาม “ได้ยินว่านายเพิ่งมาที่ป้อมปราการ 178 ทำไมถึงมาที่ยากจน
แบบนี้ล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่จ้องหน้าจางเสียวหม่าน “ฉันไม่ได้กะจะมาที่นี่ แต่
มันมีเรื่องสำคัญที่ฉันต้องทำ และฉันก็มีเป้าหมายเดียวกันกับ
ป้อมปราการ 178”
“อ้อ งี้นี่เอง” จางเสียวหม่านพยักหน้า“ทำไมผู้บังคับกองร้อยถึงเข้าร่วมกองทัพป้อมปราการ 178
เหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ฉันเกิดที่ป้อมปราการ 178” จางเสียวหม่านยิ้มกล่าว “สิ่ง
แรกที่คนหนุ่มอายุสิบหกปีในป้อมปราการทำคือไปตรวจดูว่า
ร่างกายเหมาะกับการเป็นทหารไหม บางคนไม่ผ่านถึงกับ
ฆ่าตัวตายเลยนะ”
“ทำไมล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถามด้วยความประหลาดใจ
จางเสียวหม่านมองไปยังตะวันตกเฉียงเหนือราวกับสามารถ
มองเห็นป้อมปราการ 178 ได้ จากนั้นก็ยิ้มตอบ “เพราะยามระฆัง
ทองแดงกลางป้อมปราการดังขึ้น พวกเขาจะได้มีโอกาสพิสูจน์ว่า
ตนเองเป็นนักรบผู้กล้า”