the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 396 เราจะรู้ได้ยังไงถ้ายังไม่ได้ลอง
ตอนแรกจางเสียวหม่านต่อต้านเรื่องที่เริ่นเสี่ยวซู่จะถูก
ส่งเข้ามาประจำ ในกองร้อยเขา เขาถึงกับจะไปคุยกับโจวอิงหลงเรื่อง
จะส่งเขาไปที่อื่นด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้จางเสียวหม่านอยากจะเข้าไปกอดโจวอิงหลงและ
หอมแก้มเขาสักรอบจริงๆ ส่งเริ่นเสี่ยวซู่มาอยู่กองร้อยเขา มัน
แจ่มกว่าส่งปืนกลหนักมาให้สิบกระบอกอีก!
ทุกคนในกองทัพที่เคยเข้าร่วมสงครามล้วนรู้ดีว่าการจะทำลาย
ตำแหน่งที่ตั้งปืนกลหนักนั้นมันยากเย็นแค่ไหน พวกมันเป็นตัวแทน
ความคิดของ ‘เครื่องบดเนื้อ’ อย่างแท้จริง เป็นอาวุธสุดยอดบน
สนามรบหลัก
แต่ตอนนี้พวกเขามีเริ่นเสี่ยวซู่ ปืนกลหนักก็ถูกทีเอ็นทีทำลาย
ได้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำได้อย่างไรจางเสียวหม่านและคนอื่นๆ ยังไม่รู้พลังของเริ่นเสี่ยวซู่ ยังเป็น
เรื่องลึกลับอยู่
แต่ทุกคนล้วนมีความลับ ดังนั้นไม่จำ เป็นต้องไปขุดคุ้ยอะไร
มาก
พอพวกจางเสียวหม่านขึ้นเขามาได้แล้ว พวกเขาก็ยังไม่เห็น
ร่องรอยของเริ่นเสี่ยวซู่ ส่วนพวกโจรบนเขาก็ไม่ได้กระหน่ำยิงมาที่
พวกเขา แต่กระหน่ำยิงอยู่อีกจุดที่อยู่ห่างออกไป
“แปลกแฮะ” จางเสียวหม่านแปลกใจ “ทำไมอย่างกับเริ่นเสี่ยว
ซู่ไม่ได้ขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่พาอีกทั้งกองร้อยขึ้นหลังเขามาโจมตี
ด้วย”
ค่ายพักของพวกโจรพังไปหลายแห่งแล้ว ซากศพกองไปทั่ว
ทว่าไม่ได้ตายเพราะถูกยิงหากแต่ถูกแทง!
ทหารคนหนึ่งเดินผ่านซากศพแล้วตะลึงพรึงเพริด “เริ่นเสี่ยว
ซู่เข้าต่อสู้ระยะประชิดงั้นเหรอ”
ตอนนี้โจรบนเขาติ้งย่วนต่อสู้กับเงาลึกลับ แต่สู้ไปได้ครึ่งทาง
เจ้าเงาก็ลอดออกไปนอกค่ายพักและหายตัวไปเจ้าเงานี่ดุร้ายมาก ฆ่าโจรไปมากมายตั้งแต่เริ่มต้น แต่ไม่รู้
ทำไม มันค่อยๆ ลดความดุร้ายลงและพยายามเคลื่อนตัวอย่างว่อง
ไว้รั้งพวกโจรไว้แทน มันไม่ได้อยู่ที่ใดที่หนึ่งนานนัก
ตอนพวกเขากำลังหาเจ้าเงานั้นอยู่ ก็มีปืนยิงสาดมาที่ข้างหลัง
พวกโจรหันไปมองก็ต้องตกใจที่เห็นกองร้อยเจียนเตาตั้งปืนกลหนัก
สามกระบอกห่างจากพวกเขาไปหลายร้อยเมตรอยู่ข้างหลัง ทั้งเริ่ม
ยิงมาอย่างอำมหิตแล้วด้วย
ขณะเดียวกันจางเสียวหม่านกำลังพาหน่วยที่สองโจมตีจากปีก
ข้าง พวกเขาพยายามดันพวกโจรให้อยู่ในพื้นที่เปิด ให้กลายเป็นเป้า
ของปืนกลหนัก
มีเสียงระเบิดดังสนั่น พวกโจรที่หลบหลังซากปรักถูกเป่าขึ้นไป
บนอากาศ ส่วนจางเสียวหม่านก็เพิ่งจัดขบวนตั้งรับง่ายๆ อยู่ที่ปีก
ข้าง
จางเสียวหม่านไม่เคยเจอการสู้รบที่ราบรื่นขนาดนี้มาก่อน
ราวกับทุกภัยซ่อนเร้นถูกคนเค้นไปหมดแล้ว ราวกับมือหัตถ์เทวะ
ช่วยพวกเขาสู้ อำนวยทุกการลอบโจมตีของพวกเขาแต่ว่าโจรร้อยกว่านายของกลุ่มนี้ดูแล้วได้รับการฝึกทหารอย่าง
เป็นทางการมาก่อน พวกเขาล่าถอยไปช้าๆ โดยยังคงขบวนแถวไว้
อย่างเป็นระเบียบได้
เริ่นเสี่ยวซู่สำ รวจคนกลุ่มนี้จากเงามืด คนร้อยกว่านายพวกนี้
น่าจะเป็นทหารประจำ การแห่งสมาคมตระกูลจงที่แฝงอยู่ในหมู่โจร
อีกอย่างทหารยี่สิบกว่านายยังคุมที่ตั้งปืนกลหนักสุดท้ายอย่าง
ระแวดระวังยิ่งกว่าโจรคนอื่นๆ พวกเขาเองก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ
สมาคมตระกูลจงเช่นกัน
สมาคมตระกูลวางทหารราวร้อยนายไว้บนเขาติ้งย่วนให้
ทำหน้าที่เป็นปราการด่านสุดท้าย ถ้าไม่ใช่ว่ามีผู้มีพลังพิเศษร่วมรบ
จนสถานการณ์พลิกกลับ แม้กองร้อยเจียนเตาสละคนไปทั้งกองร้อย
ก็คงไม่อาจเจาะผ่านตำแหน่งที่ตั้งปืนกลหนักนี้ได้
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่เห็นทหารประจำ การของสมาคมตระกูล
จงแล้ว เขาย่อมไม่ยั้งมือไว้แน่ ในเงามืดห่างออกไปสองร้อยเมตร
เขายกปืนไรเฟิลขึ้นเปิดยิงใส่!ทหารของสมาคมตระกูลจงไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีศัตรูด้วย แค่
กระหน่ำยิงหนึ่งชุด ขบวนถอยอันเป็นระเบียบก็เริ่มโกลาหล
จางเสียวหม่านคำราม “บุกกดดันพวกเขา! เริ่นเสี่ยวซู่เจ๋งฉิบ!”
……
ทางเหนือ โจวอิงหลงกำลังนำกองพันทหารทัพหน้าสร้างแนว
ป้องกันเพื่อให้มั่นใจว่าฐานปฏิบัติการหน้าในแนวหลังจะสามารถ
สร้างได้อย่างเสร็จสมบูรณ์
ที่นี่ไม่มีกิจกรรมที่ผิดปกติจากสมาคมตระกูลจง แต่ว่าตั้งแต่รัง
โจรบนเขากวนซานถูกยึด สงครามระหว่างสองฝั่งก็เริ่มขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นก็มีทหารคนหนึ่งวิ่งหามาพูดเสียงต่ำ “ผู้บัญชาการ
กองพัน จางเสียวหม่านกองร้อยเจียนเตาขอพูดสาย”
“เอาวิทยุมา” โจวอิงหลงพูดขณะนอนหมอบอยู่บนเนินเขา
พอพลสื่อสารเดินเข้ามาพร้อมชุดวิทยุบนหลัง โจวอิงหลังก็รับ
หูมาและตำหนิ “ฉันเพิ่งบอกไปว่าให้ฟังคำสั่ง ให้แค่ล้อมรังโจรที่เขา
ติ้งย่วนพอไง จะทำให้วุ่นวายเพื่อ ตอนนั้นติดอยู่ที่ไหล่เขาใช่ไหม อยู่
ตรงนั้นอย่าเพิ่งไปไหน ฉันจะส่งกองร้อยที่สองไปช่วย!”ตอนที่พลสื่อสารกองร้อยเจียนเตาโทรมารายงานนั้นทำเอา
โจวอิงหลงเดือดจัด ถนนขึ้นเขาติ้งย่วนถูกปิดไปแล้ว ดูก็รู้ว่าพวกโจร
กะจะสู้จนสุดชีวิต ก่อนหน้านี้อาจจะลอบโจรตีรังโจรได้ แต่ว่ามัน
เป็นไปไม่ได้เลยที่กองร้อยเดียวจะยึดรังโจรบนเขาแบบนี้ได้
โจวอิงหลงล่ะกลัวนักว่าจางเสียวหม่านจะทำอะไรมุทะลุ
จำ ทำให้ทั้งกองร้อยเจียนเตาต้องดับสิ้นไปบนเขาติ้งย่วน
แต่จางเสียวหม่านพูดขัดโจวอิงหลง “ผู้บัญชาการกองพัน
พวกเรายึดเขาติ้งย่วนได้แล้ว!”
โจวอิงหลง “???”
นี่ยังไม่ทันได้ข้ามคืนเลย พวกเขาก็ยึดเขาติ้งย่วนได้แล้วเหรอ!
ใครก็ๆ รู้กันทั้งนั้นว่าการล้อมโจมตีนั้นใช้เวลาหลายวันหรืออาจ
หลายเดือนก่อนรังบนเขาจะถูกยึดได้!
โจวอิงหลงพูดด้วยสีหน้าดำคล้ำ “เมาอยู่เหรอไง!”
“ผู้บัญชาการกองพัน พวกเรายึดเขาติ้งย่วนได้แล้วจริงๆ” จาง
เสียวหม่านตอบอย่างตื่นเต้น “โชคดีแล้วที่พวกเราโจมตีที่นี่
ผู้บัญชาการกองพันรู้หรือเปล่าสมาคมตระกูลจงซ่อนปืนใหญ่วิถีโค้งสองกระบอกไว้บนเขาติ้งย่วนและกำลังเล็งไปจุดที่เราจะสร้างฐาน
ปฏิบัติการหน้าด้วย พวกผู้บัญชาการกองพันเกือบเจอปัญหาใหญ่
แล้วไง!”
โจวอิงหลงด่าเสียงดัง “ปัญหาใหญ่? พอฉันได้ยินว่าเขาติ้งย่วน
ถูกปิดก็รู้แล้วว่าสมาคมตระกูลจงซ่อนไพ่ลับไว้ พวกเราปรับที่ตั้งฐาน
ปฏิบัติการหน้าแล้ว ปืนใหญ่วิถีโค้งนั่นยิงไม่ถึงเรา ฐานปฏิบัติการ
หน้าเราอยู่ห่างจากเขาติ้งย่วนแปดสิบกิโลเมตร คิดว่ามันจะยิงเรา
โดนอยู่ไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่ที่ได้ยินเสียงดังของโจวอิงหลงลอดมาจากวิทยุก็
โล่งใจชอบกล ก่อนหน้านี้เขายังสงสัยอยู่ว่าป้อมปราการ 178 จะจับ
สังเกตกลง่ายๆ ของสมาคมตระกูลจงออกไหม ถ้าพวกเขาจับสังเกต
ไม่ได้ ป้อมปราการ 178 คงไม่มีฝีมือการรบเท่าชื่อเสียงแล้ว
แต่ขนาดผู้บัญชาการกองพันอย่างโจวอิงหลงยังจับสังเกต
สถานการณ์ได้ ป้อมปราการ 178 คู่ควรกับชื่อเสียงอย่างแท้จริง
เทียบกับโจวอิงหลงแล้ว ชัดเจนว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังมีความรู้
ทางทหารด้อยกว่ามาก เขาเพิ่งรู้เรื่องปืนใหญ่วิถีโค้งระยะไกลหลังจากได้แอบฟังสายลับของสมาคมตระกูลชิ่งนี่เอง
เสียงของโจวอิงหลงดูโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย “มีคนของเราสละ
ชีวิตหรือบาดเจ็บเท่าไร”
จางเสียวหม่านตอบ “ผู้บัญชาการกองพัน มีผู้บาดเจ็บเจ็ดนาย
ไม่มีผู้เสียชีวิต”
โจวอิงหลงที่อยู่ปลายสายเงียบกริบไปพักใหญ่ จากนั้นก็ถาม
“พวกนายฆ่าพวกโจรไปฆ่ากี่คน”
จางเสียวหม่านพูดเสียงนิ่ง “ฆ่าศัตรูไปเก้าร้อยยี่สิบเจ็ดคน
มีหนึ่งร้อยสามสิบเอ็ดนายที่คาดว่าเป็นทหารประจำ การของสมาคม
ตระกูลจง!” น้ำเสียงเขาแฝงความลำพองใจ
โจวอิงหลงรู้ขีดความสามารถของกองร้อยเจียนเตาดี ถ้าตกอยู่
ในสถานการณ์ทั่วไป เขาจะไม่แปลกใจเลยที่ทั้งกองร้อยเจียนเตาจะ
สิ้นชีวิตไปขณะโจมตีเขาติ้งย่วน
โจวอิงหลงเข้าใจอะไรๆ อย่างรวดเร็ว เขาโพล่งถามออก “เริ่น
เสี่ยวซู่ผู้บัญชาการส่งมาเก่งกาจขนาดนั้นเลย?!”เริ่นเสี่ยวซู่เดินออกไปไกลแล้ว จางเสียวหม่านมองเริ่นเสี่ยว
ซู่นั่งพักอย่างสันโดษอยู่บนซากปรักแห่งหนึ่งอยู่ไกลๆ หลังจากคุย
เสร็จเขาก็เดินไปยังซากปรัก จากนั้นก็นั่งอยู่ข้างเริ่นเสี่ยวซู่แล้วถาม
“ทำไมถึงสู้อย่างหนักขนาดนี้ล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่อาจจะเริ่มโจมตีเขาติ้งย่วนหลังจากพวกเขา
ใช้ปืนครกยิงตำแหน่งที่ตั้งปืนกลหนักให้หมดก่อนก็ได้ แต่ว่า
เด็กหนุ่มผู้นี้เลือกที่จะเสี่ยงปีนเขาด้วยมือเปล่า แถมยังบุกโจมตีทั้ง
ค่ายโจรด้วยตัวคนเดียวอีก
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “ต้องทำแบบนี้ถึงจะลดผู้บาดเจ็บล้มตายได้”
จางเสียวหม่านกล่าว “แต่บนสนามรบมีคนตายตลอดอยู่แล้ว
บางทีเดินๆ อยู่บนถนนก็อาจจะมีศัตรูซ่อนตัวอยู่ในป่าพลันลั่นไก
ปืนกลจนสหายร่วมรบกลายเป็นเศษซากโลหิตกองหนึ่ง หรือว่า
มีโอกาสที่จู่ๆ ก็มีกระสุนปืนใหญ่หล่นมาตรงเท้าระเบิดขานายทิ้ง ฉีก
กระฉากอวัยวะทั่วร่าง สงครามคือสถานที่ที่เราฝากชีวิตไว้กับ
โชคชะตา ทุกอย่างแล้วแต่ชะตาจะลิขิต ไม่มีใครควบคุมได้”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง “เราจะรู้ได้ยังไงถ้ายังไม่ได้ลอง”จางเสียวหม่านนิ่งไป เขาพลันเข้าใจว่าที่เริ่นเสี่ยวซู่พยายาม
หนักเช่นนี้คือเขาอยากให้ทุกคนรอดชีวิตไปได้จริงๆ
แต่นี่คือสงคราม! ในกองร้อยที่มีภารกิจให้เอาชนะ
ความลำบากสาหัสมันจะไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตายได้อย่างไร
นอกเสียจากว่ามันจะมีปาฏิหาริย