the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 398 เหรียญเกียรติยศชั้นสาม
โจวอิงหลงสำ รวจแผลของผู้บาดเจ็บเป็นพิเศษก่อนจะเจอ
ทุกคนมีรอยแผลถูกยิง มีคนหนึ่งโชคร้ายจัดโดนสะเก็ดจากกระสุน
ลูกหลง
แต่ว่ารอยแผลใต้ชั้นยานั้นตกสะเก็ดแล้ว ราวกับอาการ
บาดเจ็บไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้น
เพื่อกันไม่ให้ถูกหามออกไป ผู้บาดเจ็บถึงกับกระโดดลงจาก
เปลสนามออกมาขยับตัวอย่างกระฉับกระเฉงสื่อว่าตนเองนั้น
ไม่เป็นอะไรจริงๆ และก็ไม่ใช่การแสดงด้วย พวกเขาไม่เป็นอะไรแล้ว
จริงๆ
จางเสียวหม่านที่ยืนอยู่ด้านข้างด่า “ถ้าพวกเอ็งหายดีแล้ว
ทำไมไม่ลุกออกมาเดินเองวะ”
ทหารบาดเจ็บหัวเราะฮาฮา “เดินน้อยกว่าเดิมได้ ทำไมจะไม่
เอาล่ะ”เพื่อนทหารกองร้อยเจียนเตาที่เป็นคนหามพวกเขาอ้าปากด่า
“ไอ้เวร เอ็งนี่มัน***!”
“น่าไม่อายฉิบหาย!”
โจวอิงหลงถามแทรก “คนบาดเจ็บหลังจากยึดเขาติ้งย่วนได้
มีแค่พวกนี้เหรอ”
จางเสียวหม่านพูดอย่างถ่อมตน “เป็นเพราะผู้บัญชาการ
กองพันโจวสั่งสอนมาดี”
โจวอิงหลงโมโหจนยิ้มออกมา “เลิกเลียโว้ย! ไสหัวไปเขียนราย
งานการรบมาให้ฉัน!”
ใบหน้าของพวกจางเสียวหม่านอึมครึมลง “ผู้บัญชาการ
กองพัน พวกเรากองร้อยเจียนเตาต่างสู้รบชิงผลงานกันมา ตอนนี้
ควรจะเป็นเวลาให้พวกเราได้มีอาหารกินได้ดื่มเหล้ามากกว่า
จะเขียนรายงานการรบไหม”
“อ่าฮะ” โจวอิงหลงมองจางเสียวหม่านตาขวาง “จะให้ฉันเท
เหล้าให้ด้วยเหรอไง”
โจวเสียวหม่านคิดพักหนึ่ง “ก็ไม่เลวนะ…”โจวอิงหลงเตะก้นจางเสียวหม่านไปที “ไสหัวไปเขียนรายงาน
มาให้ฉัน!”
เป็นการดำเนินการทั่วไปที่จะต้องเขียนรายงานทุกครั้งหลังรบ
เสร็จ ด้านหนึ่งคือเพื่อสรุปรายละเอียดในการรบ ด้านหนึ่งคือเพื่อ
ระบุหาข้อผิดพลาดไว้เป็นบทเรียนการรบ กันไม่ให้ในอนาคตเกิด
ข้อผิดพลาดเดิมอีกครั้ง
แต่จางเสียวหม่านและเหล่าชายหยาบกระด้างกลุ่มนี้เกลียด
การเขียนรายงานเป็นที่สุดเลย
ในเมื่อพวกเขาชนะในการรบมาแล้ว ทำไมพวกเขายังต้องหา
ข้อผิดพลาดและหาเรื่องให้เรียนรู้อีกล่ะ พวกเขาแค่ต้องชนะการรบ!
เหล่าชายหยาบกระด้างแห่งกองร้อยเจียนเตามุงอยู่รอบจาง
เสียวหม่านในเต็นท์ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่
ตอนนี้เองจางเสียวหม่านที่ถือสมุดจดกับดินสออยู่ก็เดินไปหา
เริ่นเสี่ยวซู่ “เริ่นเสี่ยวซู่ นาย…”
“ฉันเป็นแค่ผู้อพยพคนหนึ่ง เขียนหนังสือไม่เป็น” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า“อ้อ” จางเสียวหม่านคอตก ก่อนจะนึกได้ว่ามันไม่ใช่แล้ว
ผู้สืบทอดที่ผู้บัญชาการจางเลือกมามีเหรอจะไม่รู้หนังสือ ถ้า
ไม่อยากเขียนรายงานก็พูดมาเลยสิโว้ย โกหกหน้าตายแบบนั้นรู้สึก
ผิดมโนธรรมบ้างไหมหา!
จางเสียวหม่านกัดด้ามดินสอ พยายามนึกรายละเอียดในการ
รบ “รู้สึกว่าศัตรูแพ้ไปแบบที่เราไม่ทำอะไรมากเลย”
หลังจากคิดพักใหญ่ จางเสียวหม่านก็ยังเขียนรายงานไม่ออก
เป็นเพราะว่าชัยชนะที่ได้มานั้นส่วนใหญ่เป็นฝีมือของเริ่นเสี่ยวซู่ ซึ่ง
เป็นความจริง
“เริ่นเสี่ยวซู่ ฉันว่านายเขียนรายงานเองดีกว่า ถ้านาย
ไม่รู้หนังสือจริง ก็พูดมาเดี๋ยวฉันเขียนให้” จางเสียวหม่านว่า “อีก
อย่างพวกเราไม่รู้ว่านายพลิกรังโจรเขาติ้งย่วนจากหน้ามือเป็นหลัง
มือยังไงด้วย สิ่งที่นายทำเป็นคุณูปการใหญ่เลย หลังยื่นรายงานนี่ไป
ต้องได้เลื่อนขั้นทันทีแน่!”
เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย “เขียนไปว่าทุกคนต่างสู้กันอย่างกล้าหาญไม่ได้
เหรอ การสู้รบยังไงก็เกี่ยวพันกับทั้งกองร้อยอยู่แล้ว ฉันรับผลงานคนเดียวไม่ได้หรอก”
“ฉันว่าแบบนั้นมันไม่ถูกนะ” จางเสียวหม่านพูดอย่าง
กระอักกระอ่วน “แบบนั้นพวกเราละอายใจมากแน่ ผลงานไม่ใช่ของ
เรา พวกเรารับไว้ไม่ได้หรอก”
“ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องละอายใจเลย” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ช่างเหอะ
ฉันเขียนเองก็ได้”
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็คว้าสมุดจดกับดินสอของจางเสียวหม่าน
มา จากนั้นก็เริ่มแต่งเรื่องถึงข้อมูลการรบ เขาบรรยายเพื่อนทหารตน
เป็นทหารผู้กล้าหาญแสนยอดเยี่ยม
เขายังเขียนถึงด้วยว่าพวกเขาฝ่าแนวป้องกันพวกโจรไปได้
อย่างไร ฆ่าศัตรูอย่างเป็นระบบระเบียบแค่ไหน จางเสียวหม่านอ่าน
ที่เขาเขียนแล้วก็อึ้งไปเลย “ฉันเจ๋งขนาดนั้นเลยเหรอ”
หลังจากเขาเขียนรายงานเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยื่นให้จางเสียวหม่า
น “เอาไปให้ผู้บัญชาการกองพัน พวกเราจะแบ่งผลงานกัน”
เพราะเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งกับ
ป้อมปราการ 178 จริงๆ เขาแค่อยากใช้พลังของป้อมปราการแก้แค้นสมาคมตระกูลจงก็เท่านั้น ให้ผลงานเป็นของเขาไปก็เท่านั้น
หลังจากแก้แค้นแล้ว เขาก็จะเดินทางไปหาเสี่ยวอวี้ เหยียนลิ่ว
หยวน และคนอื่นๆ ที่ที่ราบตอนกลาง ไม่มีแผนจะเป็นนายทหารใน
ป้อมปราการ 178 ต่อ ดังนั้นให้คนอื่นรับผลงานไปดีกว่า
ตอนนี้ทั้งกองร้อยเจียนเตายอมรับในตัวเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว ไม่
มีใครคิดขับไล่เขาอีก พวกเขาลืมไปเรียบร้อยแล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่ทำให้
พวกเขาเข้าใจผิดกับกองร้อยที่สองจนเกิดต่อยตีกัน
แต่โจวอิงหลิงตั้งใจจะวัดขีดความสามารถของเริ่นเสี่ยวซู่
จากรายงานการรบ เขารู้ดีว่าที่ยึดเขาติ้งย่วนโดยแทบไม่มีผู้บาดเจ็บ
เลยนั้นส่วนใหญ่เป็นผลงานของเริ่นเสี่ยวซู่ทั้งสิ้น เขาอยากรู้ว่าคนที่
ผู้บัญชาการเลือกมาเป็นอย่างไร แต่ตลอดทั้งรายงานนี้แทบไม่โผล่
ชื่อเริ่นเสี่ยวซู่เลย!
โจวอิงหลงชำ เลืองมองจางเสียวหม่านก่อนจะพูดอย่าง
ไม่พอใจ “กล้าขโมยผลงานของลูกน้องตัวเองได้ยังไง คิดว่าฉัน
ไม่กล้ายิงเป้านายงั้นเหรอ!”จางเสียวหม่านที่รู้สึกผิดพูดตะกุกตะกัก “แต่รายงานนี้เป็นเริ่น
เสี่ยวซู่เขียนด้วยตัวเอง!”
โจวอิงหลงตกอยู่ในภวังค์ ยังหนุ่มยังแน่นแต่ไม่โลภความ
สำ เร็จ ผู้บัญชาการจางเลือกผู้สืบทอดแบบไหนมากัน?
เพราะเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ใต้บังคับบัญชาตน กลุ่มเพื่อนยากเขาต้อง
ถามเรื่องการปฏิบัติงานของเขาแน่ ในฐานะผู้บัญชาการกองพัน
แค่นั้นยังตอบไม่ได้มันไม่น่าขายหน้าเกินไปหรอกเหรอ
โจวอิงหลงโพล่งถามจางเสียวหม่าน “บอกมาว่าเริ่นเสี่ยวซู่สู้ใน
ศึกนี้ยังไง”
จางเสียวหม่านตอบตามจริง “ผมเองก็ไม่เห็นเหมือนกัน…”
“ไสหัวไปเลย!”
……
วันเวลาในฐานปฏิบัติการหน้าไม่สบายอย่างที่คิด พอหกโมง
เช้ายี่สิบนาที เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินสัญญาณเรียกรวมพลจากนอกเต็นท์
แล้วจากนั้นพวกทหารก็จะเข้าแถวและเริ่มออกกำลังกายยามเช้า
กัน เสียงตะโกนดังเป็นจังหวะดังมาจากนอกฐานปฏิบัติการหน้า
พวกทหารต้องวิ่งเต็มฝีเท้าห้ากิโลเมตรเพื่อเข้าไปยังสนามรบ
มีแค่กองร้อยเจียนเตาที่เป็นข้อยกเว้นเพราะเพิ่งสู้รบเสร็จกันมา
ดังนั้นพวกเขาเลยมีสิทธิ์ข้ามการฝึกเพื่อทำการพักฟื้นอยู่ในฐาน
ปฏิบัติการหน้า
แต่หลังจากได้ยินเสียงสัญญาณแล้ว เจียวเสี่ยวเฉินก็กลับไป
หลับไม่ลง เขานอนอยู่บนเตียงตัวเองพลางพูดขึ้น “ได้ยินเสียง
สัญญาณแล้วไม่ทำอะไรมันรู้สึกชอบกลว่ะ มีใครนอนไม่หลับเหมือน
ฉันปะ”
ในเต็นท์ทหาร มีเสียงนู่นนี่ดังมาจากทุกคน “มีใครจะออกไปวิ่ง
ไหม”
“นายก็หลับไม่ลงแล้วเหมือนกันเหรอ”
“ถ้าหลับลงตอนนี้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว…”
“ปะ ออกไปวิ่งกัน!”จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นคนจากหน่วยที่หนึ่งลุกกันมาใส่
เครื่องแบบกันหมด เพราะอย่างนั้นเขาจึงลุกขึ้นมาด้วย พอเดินออก
นอกเต็นท์ไป ก็เห็นว่าทั้งหน่วยที่สอง สาม สี่ ก็ออกมานอกเต็นท์
แล้ว ซึ่งรวมไปถึงหานหมิงเหลยที่เป็นทหารเสนารักษ์และหลี่ซิงเฉิงที่
เป็นพ่อครัวด้วย
จางเสียวหม่านหัวเราะ “ทุกคนไม่เลวเลย ต่อให้กองร้อยเจียน
เตาประสบชัยชนะมาก็ไม่อาจลำพองใจได้หรอกนะ พวกเราต้องฝึก
ต่อ!”
เจียงเสี่ยวเฉินพึมพำ “คนลำพองใจสุดก็ผู้บังคับกองร้อยไม่ใช่
เหรอไง…
“ไม่พูดจะตายไหม” จางเสียวหม่านจ้องเขาตาขวาง
ตอนนี้เองทหารบริการของโจวอิงหลงก็เข้ามาหาพวกเขา “ผู้
บังคับกองร้อยจางเสี่ยวหมาน ผู้บัญชาการกองพันเรียกตัวที่
กองบัญชาการ!”