the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 402 ตราบใดที่พวกเรายังอยู่
ที่จริงเรื่องที่พวกจางเสียวหม่านสงสัยนั้นถูกต้องหมด เป็นร่าง
เงาของเริ่นเสี่ยวซู่เองที่จัดการตำแหน่งที่ตั้งปืนกลหนัก หลังจาก
พวกเขาเริ่มออกเดินทาง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ส่งร่างแยกเงาออกไปสำ รวจ
ล่วงหน้าเผื่อถูกซุ่มโจมตี
หลังจากพ่ายแพ้มาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็เรียนรู้ที่จะระแวดระวัง
มากขึ้น
แต่นี่ไม่ใช่อะไรที่เขายินดีเลย อย่างไรก็เรียนรู้มาจากความทุกข์
ของผู้อื่น
การบรรลุของคนสูงฉันใด ก็มาด้วยความเจ็บปวดฝังลึกฉันนั้น
ตำแหน่งที่กองร้อยที่สองและกองร้อยที่สามอยู่ค่อนข้างห่าง
ออกไป แต่ละกองร้อยห่างกันประมาณสองกิโลเมตร ส่วนระยะใช้
งานร่างแยกเงาของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นอยู่แค่ราวหนึ่งกิโลเมตร ดังนั้นเลย
ส่งไปช่วยคนอื่นไม่ได้ทันใดนั้นจางเสียวหม่านก็ว่า “เดินทัพต่อไป พวกเรายังห่าง
ตำบลฉือชวนอีกหนึ่งวัน อย่าเพิ่งประมาท เราอาจจะโดนซุ่มโจมตี
ตอนไหนก็ได้”
สมาคมตระกูลจงวางผู้อพยพกับทหารกองกำลังส่วนตัวไว้ที่
แนวหน้า แค่ปืนกลหนักกระบอกเดียวก็ทำให้ทหารแนวหน้าของ
ป้อมปราการ 178 เสียหายหนักได้แล้ว เป็นเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้น
เฉพาะในยุคสมัยแห่งปืนและระเบิด
ระหว่างที่เดินทัพไป จางเสียวหม่านก็ถามเริ่นเสี่ยวซู่ “ที่จริงฉัน
สงสัยมาพักใหญ่ล่ะ แต่นายคงไม่สนใจเรื่องจะเลื่อนขั้นเลยสินะ”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “หลังสงครามจบ ฉันจะไปที่ราบตอนกลาง
ต่อ”
“เดี๋ยวก่อนนะ!” จางเสียวหม่านพลันรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกแล้ว
“นายบอกว่าหลังสงครามจบแล้วจะออกจากป้อมปราการ 178 งั้น
เหรอ”
“ใช่” เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย “ฉันต้องไปหาครอบครับฉัน เมื่อวานซืน
พวกนายให้ฉันเขียนจดหมายสั่งเสีย ทุกคนมีคนรักให้เขียน แต่พอเป็นตาฉัน ฉันก็รู้ว่ามันไม่มีใครให้เขียนเลย”
“เป็นฝีมือของสมาคมตระกูลจงใช่ไหม” จางเสียวหม่านถาม
“ใช่” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง
จางเสียวหม่านถึงได้รู้ว่าทำไมเริ่นเสี่ยวซู่ดุร้ายต่อสมาคม
ตระกูลจงนัก เขาถึงกับอาสานำการโจมตีในภารกิจพวกเขาด้วยซ้ำ
ก็คือเริ่นเสี่ยวซู่มีข้อบาดหมางกับสมาคมตระกูลจงจริงๆ
ถึงเริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยแสดงความเจ็บปวดใจอะไร แต่ทุกคน
สามารถสัมผัสประกายความโดดเดี่ยวที่ฉายออกมาจากเขาได้อย่าง
ชัดเจน อย่างเช่นตอนที่ทุกคนล้อมวงกันรอบกองไฟ เริ่นเสี่ยวซู่ก็
จะไปนั่งอยู่กับตัวเอง แหงนหน้าทอดมองไปยังท้องฟ้าดาราดาษ
หรือว่าระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยหัวเราะกันตอนกินอาหาร เริ่น
เสี่ยวซู่ก็จะเอนพิงต้นไม้ สายตาทอดมองไปไกล ไม่มีใครรู้ว่าใน
ใจเขาคิดอะไรอยู่
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ลงจากเขากวนซานมาพร้อมโลหิตโชกตัวนั้น
จางเสียวหม่านสัมผัสได้ถึงเพลิงโทสะเขาค่อยๆ แผ่วเบาลงไปได้
อย่างชัดเจน“นายฆ่าโจรเขากวนซานไปงั้นเหรอ” จางเสียวหม่านพูดถึง
กองกำลังหลักของเขากวนซานที่หายไป
“ไม่ใช่” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหัว “เป็นฝีมือน้องชายฉัน”
จางเสียวหม่านสำ ลักไปหน่อยหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่ดุร้ายขนาดนี้
แล้วนะ แต่น้องชายเขาเล่นล้างบางโจรทั้งเขาได้เองเลย? ครอบครัว
บ้าอะไรเนี่ย
แน่นอนว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น
“แต่ถ้านายออกจากป้อมปราการไป ที่ผู้บัญชาการวางตัวนาย
ในกองร้อยเจียนเตาก็เสียเปล่าสิ” จางเสียวหม่านถาม
“ที่ผู้บัญชาการวางตัวฉันในกองร้อยเจียนเตาเพราะ
มีจุดประสงค์อื่นด้วยเหรอ ฉันเป็นคนขอให้เขาส่งฉันมาอยู่หน่วยงาน
ที่อันตรายที่สุดเองนะ” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย
“เอ่อ…เปล่าๆ ไม่มีอะไร” จางเสียวหม่านว่า เขาคิดว่าทุกคน
น่าจะเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว คนที่เดี๋ยวจะออกจากป้อมปราการ
178 ไป จะกลายมาเป็นผู้บัญชาการได้อย่างไร หรือว่าผู้บัญชาการ
จางมีความคิดอื่นกันนะ?ตลอดการเดินทางนี้ พวกเขาเจอจุดซุ่มโจมตีสามแห่ง แต่
ตำแหน่งที่ตั้งปืนกลหนักล้วนถูกคนอื่นจัดการไปเรียบร้อย
เริ่นเสี่ยวซู่โพล่งขึ้นมา “ใช่ว่าจางจิ่งหลินสู้เป็นเสียหน่อย ทำไม
ทุกคนถึงเชื่อฟังเขานักล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยเรื่องนี้มาตลอด ชายหยาบกระด้างแห่ง
ตะวันตกเฉียงเหนือพวกนี้เคารพนับถือคนที่แข็งแกร่งเป็นที่สุด ถึง
จางจิ่งหลินจะมากสามารถและเคยช่วยเหลือคนมากมายมาก่อน
แต่แค่นั้นก็ไม่น่าจะถึงขนาดขึ้นมาบัญชาสถานที่ที่แร้นแค้นแห่งนี้ได้
ไม่ใช่เหรอ
จางเสียวหม่านส่ายหัว “ไม่รู้สิ แต่มีคนพูดว่าผู้บัญชาการ
ไม่ควรถืออาวุธ ฆ่าคนเป็นหน้าที่เรา ผู้บัญชาการแค่ต้องบอกเรา
มาว่าอยากให้ฆ่าใครและฆ่ายังไงก็พอ”
ตอนที่จางเสียวหม่านใช้วิทยุรายงานโจวอิงหลงว่าพวกเขามา
ถึงจุดนัดพบแล้ว ก็ทำเอาโจวอิงหลงตะลึงไปเลย “กองร้อยที่สองกับ
กองร้อยที่สามยังเดินทางอยู่เลย ทำไมพวกนายไปถึงไวนัก
ระหว่างทางถูกซุ่มโจมตีบ้างไหม”“ผู้ที่ซุ่มโจมตีเราถูกผู้มีพลังพิเศษลึกลับจัดการไปหมด” จาง
เสียวหม่านพูดออกไปตรงๆ “พวกเราไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นฝีมือใคร”
“ไม่ใช่ฝีมือเริ่นเสี่ยวซู่เหรอ” โจวอิงหลงถาม
“พวกเราก็สงสัยว่าเป็นฝีมือเขา แต่เขาอยู่กับพวกเราตลอด”
จางเสียวหม่านว่า “ผู้บัญชาการกองพัน จะให้พวกเขาไปสนับสนุน
กองร้อยที่สองกับที่สามไหม”
“ไม่ต้อง แต่ละกองร้อยมีเส้นทางเดินทัพของตัวเอง พวกเราทำ
แผนเสียไม่ได้” โจวอิงหลงว่า “พวกเขาไม่ได้เจอปัญหาหนักอยู่แล้ว
แค่จะช้าลงไปหน่อย ศัตรูที่ซุ่มโจมตีพวกเขาไม่ได้มีประสบการณ์
อะไร”
“งั้นให้พวกเราเอาไงต่อครับ” จางเสียวหม่านถาม
“ทำความคุ้นชินกับภูมิประเทศก่อนกับเตรียมการยึดตำบลฉือ
ชวนระหว่างรออยู่ที่จุดนัดพบกับกองร้อยที่สองและที่สาม กองกำลัง
อื่นๆ ในกองพันทหารทัพหน้าจะไปถึงในอีกสองวัน” จากนั้นโจวอิง
หลงก็ตัดสายไปจางเสียวหม่านสั่ง “หน่วยหนึ่ง สอง สาม พักกันชั่วคราวไป
ก่อน หน่วยที่สี่ ห้า หก ตามฉันไปสร้างป้อมสนามง่ายๆ กันไม่ให้ศัตรู
ออกจากตำบลฉือชวนมาซุ่มโจมตีเรา”
พูดตามตรงแล้ว ถึงอยู่ในฐานปฏิบัติการหน้าจางเสียวหม่าน
จะทำตัวเรียกร้องนู่นนี่และร้องขอกระสุนอาวุธเพิ่มไม่หยุด แต่เมื่อ
อยู่บนสนามรบ เขาก็ทำตัวสมกับเป็นผู้บังคับกองร้อย รับมือกับสิ่ง
จำ เป็นบนสนามรบได้อย่างเรียบร้อย
เริ่นเสี่ยวซู่มองตำบลฉืบชวนผ่านป่าทึบ อาคารสูงในเมืองน้อย
พังลงมานานแล้ว ที่เหลืออยู่ก็เป็นแค่อาคารสูงสองชั้นสภาพผุพัง
จางเสียวหม่านที่อยู่ด้านข้างกล่าว “จะคอนกรีตหรือเหล็กที่
มนุษย์พึ่งพาก็ไม่อาจสู้กับอำนาจแห่งกาลเวลาได้ ถ้าบำรุงรักษา
เสมอก็ อาคารสูงนั่นก็ยังจะพังลงในสองร้อยปีอยู่ดี ผ่านไปอีกห้า
ร้อยปีก็จะไม่มีอาคารเหลืออีกแล้ว นครของมนุษย์ไม่ได้ยืนยง
คงกระพันเหมือนอย่างที่คิด”
“ตราบใดที่พวกเรายังอยู่ แค่นั้นก็พอแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าจางเสียวหม่านนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มกล่าว “ถูกที่สุดเลย
แค่พวกเรายังอยู่ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
เพราะอยู่ค่อนข้างใกล้ตำบลฉือชวน พวกเขาเลยไม่ได้จุด
กองไฟ ไม่อย่างนั้นคงถูกปืนใหญ่จากเมืองน้อยยิงใส่
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเหตุผลนี้แล้วก็พยักหน้า พวกเขาไม่มีอะไร
จะทำกลางดึก เขาเลยวิ่งออกไปไกลและลองจุดตั้งกองไฟดู และก็
อย่างที่คาดไว้ พอไฟส่องสว่างขึ้นมา ปืนใหญ่ตำบลฉือชวนจับ
ตำแหน่งไฟได้ก็ยิงถล่มมาทันที
พวกจางเสียวหม่านที่นั่งอยู่หลังกระสอบทรายได้ยินเสียงยิง
ปืนใหญ่ก็สับสน สงสัยว่าศัตรูในเมืองน้อยนั่นกำลังยิงใส่ใครอยู่
ผ่านไปพักหนึ่งเริ่นเสี่ยวซู่ก็กลับ จางเสียวหม่านถาม “หายไป
ไหนมาน่ะ”
“อ้อ” เริ่นเสี่ยวซู่อธิบาย “นายบอกว่าจุดไฟแล้วจะล่อปืนใหญ่
มานี่ ฉันลองออกจุดตั้งกองไฟสักหน่อย คิดว่าให้พวกเขาเปลือง
กระสุนไปเปล่าๆ ก็ไม่เลวน่ะ กองกำลังในตำบลฉือชวนนี้เป็นกองกำลังสันโดษ ไม่มีวิธีเติมกระสุนแน่ ทำแบบนี้อาจจะลดจำ นวน
ผู้บาดเจ็บล้มตายฝั่งเราได้”
เริ่นเสี่ยวซู่แค่ทดลองไปเฉยๆ ไม่ได้คิดว่าจะสำ เร็จจริงๆ
ขณะเดียวกันจางเสียวหม่านก็กำลังคิดเรื่องที่เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งทำ
ไป สงสัยนักว่าแรกเริ่มเดิมทีในหัวเริ่นเสี่ยวซู่นี่ทำงานอย่างไรหนอ