the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 406 ล้างบางสมาคมตระกูลจง
เริ่นเสี่ยวซู่มองระเบิดมือหลายร้อยลูกตรงหน้าด้วยสายตา
ว่างเปล่า สูไห่เฉินผู้บังคับกองร้อยที่สองมองจางเสียวหม่านแล้วว่า
“จำ ไว้นะ ที่พวกเราให้ระเบิดมือนายเพราะอยากลดผู้บาดเจ็บ
ล้มตายในกองร้อยที่สองและกองร้อยที่สามเรา อย่าเอาระเบิดมือไป
แล้วฝ่าเข้าไปลึกในแนวศัตรูเกินไป ไม่อย่างงั้น ต่อให้นาย
ประสบความสำ เร็จยกใหญ่ พวกเราก็จะรายงานพวกนายกับ
ผู้บัญชาการ”
สุดท้ายจางเสียวหม่านก็ทำให้สูไห่เฉินยอมเชื่อใจได้ด้วย
การให้เหตุผลว่าฝั่งตนจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายน้อยลง การโจมตี
ตำบลฉือชวนเมื่อวาน กองร้อยที่สองมีผู้เสียชีวิตไปสิบกว่าคน
พวกเขาต่างเป็นมิตรสหายที่ฝึกด้วยกันและสนิทสนมกันมานาน
ผลงานอะไรบนสนามรบก็ไม่สำ คัญเท่ารอดชีวิตไปด้วยกัน เป็น
ฉันทามติที่รู้กันด้วยทั่วในหมู่นายทหารป้อมปราการ 178เมื่อการสู้รบดุเดือดมาเยือน พวกเขาก็จะสู้ไปอย่างเดือดพล่าน
แต่ถ้ามันมีทางเลือกที่ดีกว่า พวกเขาก็จะเน้นที่การมีชีวิตรอดของ
ทหารเหนือสิ่งอื่นใด
“ไม่ต้องห่วงแม้แต่นิดเดียว” จางเสียวหม่านยิ้ม “พวกเราเป็น
หน่วยงานบ้านใกล้เรือนเคียง ทำไมต้องทำอะไรแบบนั้นล่ะ มาๆ เริ่น
เสี่ยวซู่ เก็บระเบิดมือพวกนี้ไปโลด หลังฟ้ามืดอีกรอบพวกเราจะบุก
ใหม่”
เริ่นเสี่ยวซู่มองจางเสียวหม่านเจรจากับกองร้อยที่สองและที่
สามอย่างเงียบๆ ด้านข้างพวกทหารกำลังสูบบุหรี่ไปคุยไป บางคน
ถึงกับถอดรองเท้าออก ทั้งอาคารตลบอลอวลไปด้วยกลิ่นเท้าผสม
ปนเปกับกลิ่นบุหรี่ แต่ว่าบุหรี่นี้ไม่เหมือนกับที่พวกทหารกองกำลัง
ส่วนตัวในป้อมปราการอื่นๆ สูบ ต่อให้พวกทหารกำลังคุยกันอยู่ แต่
ปืนพวกเขาก็ยังอยู่ในมือในท่วงท่าที่สะดวกที่สุด
เหลาสู่บอกเขาว่าป้อมปราการ 178 ต่างไปจากที่อื่น ตอนนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่มองว่าอย่างไรก็เป็นป้อมปราการเหมือนกันหมด มันจะต่างกันได้ขนาดไหน แต่พอเห็นความแตกต่าง เขาก็เข้าใจแล้ว
ว่าที่สูเสี่ยนฉู่บอกว่าต่างนั้นหมายความว่าอย่างไร
เริ่นเสี่ยวซู่เก็บระเบิดมือไประหว่างถามจางเสียวหม่านว่า “ฉัน
ว่าเราต้องระวังให้มากกว่านี้ตอนบุก ผังเมืองตำบลฉือชวนซับซ้อน
มาก แถมสมาคมตระกูลจงยังสร้างอาคารใหม่บางส่วนด้วย พวกเรา
ไม่รู้เลยว่าเขาซ่อนไพ่อะไรไว้หรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกว่าการโจมตีตำบล
ฉือชวนของเรามันราบรื่นเกินไป”
อะไรที่ราบรื่นเกินไป มักจะทำให้เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกไม่สบายใจอยู่
หน่อยๆ
จางเสียวหม่านไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นี่นายเรียกว่าง่าย
หรอ ถ้าไม่ใช่เพราะว่านายหย่อนระเบิดมือแบบแม่นแป๊ะได้ล่ะก็ รู้
ไหมว่าจะมีพวกเราตายมากน้อยแค่ไหนในเมืองน้อยนี่ นายคงไม่รู้
แต่ผู้บัญชาการกองพันโจวเตรียมจะสละทั้งกองพันทหารทัพหน้าที่นี่
”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ เขาจะสละทั้ง
กองพันทหารทัพหน้าในการรบในเมืองที่นี่น่ะนะ”“ใช่แล้ว” จางเสียวหม่านถอนหายใจและว่า “มีแต่ต้องยึด
ตำบลฉือชวนบวกกับกำจัดปืนใหญ่ระยะไกลที่ซ่อนอยู่ที่นี่ให้หมด
ทหารในแนวหลังที่ฐานปฏิบัติการหน้าถึงดำเนินแผนการรบต่อไปได้
อย่างหมดห่วง”
จางเสี่ยวหมานที่อยู่ข้างพวกเขาเสริม “การรบในยุคสมัยนี้ต่าง
เป็นสงครามสมัยใหม่ที่ประกอบไปด้วยปืนกับระเบิด หน้าที่ของ
กองพันทหารทัพหน้าเราคือกำจัดอุปสรรคทุกอย่างในช่วงต้นของ
สงคราม หลังจากนั้น พวกเราจะรับบทเป็นพลสอดแนมชั่วคราวที่
ทำหน้าที่แทรกซึมและสำ รวจภูมิประเทศเพื่อทำข้อมูลแผนที่ให้
สมบูรณ์สำ หรับทหารของเราที่เหลือ หลังจากนั้นพวกเราจะไม่
เกี่ยวข้องกับการรบหลักแล้ว”
“พวกเราถูกส่งมาที่นี่เพื่อเป็นตัวรับกระสุนงั้นเหรอ” เริ่นเสี่ยว
ซู่ขมวดคิ้วมุ่น ฟังแล้วอย่างไรก็ไม่ต่างกับการเป็นตัวรับกระสุนเลย
แต่จางเสียวหม่านปฏิเสธทันควัน เขาพูดเสียงเคร่ง “พวกเรา
ไม่ใช่ตัวรับกระสุน ป้อมปราการ 178 ไม่จำ เป็นต้องใช้ตัวรับกระสุน
เพื่อให้ชนะสงครามหรอก แค่ว่ากองกำลังเรามีหน้าที่ต่างออกไปการเสียสละในวันนี้ก็เพื่อชัยชนะของกองกำลังแนวหลังในวันหน้า นี่
เป็นเหตุผลด้วยว่าทำไมตัวเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งผู้บัญชาการ
ป้อมปราการ 178 ทุกคนต้องเคยผ่านหน้าที่ในกองร้อยเจียนเตา
มาก่อน มีแต่ผู้ที่เคยเสี่ยงชีวิตมาก่อน ถึงจะมีสิทธิ์สั่งให้ผู้อื่นสู้เพื่อ
ตน”
เริ่นเสี่ยวซู่เงียบไป เจียวเสี่ยวเฉินตบบ่าเขาและพูดอย่างยินดี
ว่า “ผู้บัญชาการจางก็มาจากกองร้อยเจียนเตา ถ้าพวกเราเป็นตัวรับ
กะสุนจริงๆ ผู้บัญชาการก็ไม่ต่างไปจากเราหรอก พวกเราจะมีอะไร
พิเศษจนต้องปฏิเสธเรื่องนั้นล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่บรรลุ อาจเป็นเพราะผู้บัญชาการคนปัจจุบันกำลัง
แสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของกองกำลังต่างๆ ใน
ป้อมปราการ 178
แล้วที่จางจิ่งหลินส่งเขามาอยู่ในกองร้อยเจียนเตาเป็นพิเศษ
หลังจากเขาบอกว่าอยากถูกส่งไปอยู่ในหน่วยที่อันตรายที่สุดใน
ป้อมปราการนั้นคือเขาคิดจะทำอะไรกันแน่
“พวกเราจะสู้สงครามนี้นานแค่ไหน” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม“แน่นอนว่าจนกว่าสมาคมตระกูลจงจะถูกทำลายจนราบคาบ!
พวกเราจะสู้ไปจนถึงเขาผิงหลัวสุดทางแห่งตะวันออกเฉียงเหนือ”
จางเสียวหม่านว่า “แดนตะวันตกเฉียงเหนือจะไร้ความสงบ จนกว่า
ไฮยีน่าอย่างสมาคมตระกูลจงจะถูกทำลายไปหมดสิ้น”
…
คืนนั้น หลังจากพระอาทิตย์ตก กองร้อยเจียนเตาก็นำบุกโจมตี
เข้าเขตชั้นในของตำบลฉือชวน
ระหว่างวัน ศัตรูในเมืองน้อยเหมือนจะได้รับคำสั่งให้ยึดพื้นที่
กลับคืนมา แต่สงครามในเมือง ฝ่ายโจมตีเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ
เส้นทางที่ศัตรูเลือกจะตีฝ่านั้นคือจุดที่กองร้อยที่สองและกองร้อยที่
สามรออยู่แล้ว
ผู้บังคับกองร้อยทั้งสองกำลังหัวร้อน และยิ่งคิดพวกเขายิ่ง
เดือดกว่าเดิม ตอนนี้ศัตรูมาเคาะประตูถึงถิ่น พวกเขาต้อง
โจมตีกลับอย่างไร้เมตตา
ตอนที่พวกเขาฝ่าแนวศัตรู ตำแหน่งที่ตั้งปืนกลทั้งหลายที่
พวกเขายึดมายังมีปืนกลหนักและกระสุนให้พวกเขาใช้อยู่ แต่พวกจางเสียวหม่านจากกองร้อยเจียนเตาขนไปไม่ได้แล้วเพราะของที่
แบกอยู่ปัจจุบันก็มีน้ำหนักเกินเรียบร้อย
ตอนนี้ในมือของกองร้อยที่สองและกองร้อยที่สามมีปืน
มีกระสุนอยู่เต็มกระบุง พวกเขาอยากจะสาดกระสุนใส่ศัตรูจนตัวสั่น
กำแพงหลายแห่งถูกห่ากระสุนถล่มจนพังครืน
สูไห่เฉินคำรามอย่างมีโทสะ หลังจากปืนกลสาดใส่ศัตรูอย่าง
ดุร้าย
ฝ่ายป้องกันตำบลฉือชวนโจมตีมาหลายต่อหลายรอบ แต่ว่า
พวกเขาผ่านแนวป้องกันที่กองร้อยที่สองและกองร้อยที่สามตั้งไว้
ไม่ได้เลย ได้แต่ถูกบีบให้ถอยทัพไป
หลังจากซุ่มโจมตีในวันที่สองเสร็จสิ้น กองร้อยเจียนเตาพา
ทหารที่เหลือบุกฝ่าเข้าไปในตำบลฉือชวนได้ห้ากิโลเมตร ทางเหนือ
เหลือทหารสมาคมตระกูลจงพยายามตอบโต้อยู่ตามอาคารไม่มาก
นัก
ในการสู้รบนี้ทำให้ฝ่ายป้องกันตำบลฉือชวนหน้าทึมทึบเพราะ
เดิมคิดว่าพวกเขาจะยิงรั้งศัตรูได้ การสงครามในเมืองนี้ พวกเขาตั้งตำแหน่งปืนที่มีอำนาจยิงสูงไว้สิบกว่าตำแหน่ง ตามอาคารก็มีทหาร
มากมายซ่อนตัวอยู่ พร้อมจะลอบยิงผู้รุกรานได้ทุกเมื่อ
แต่ผ่านไปสองวัน พวกเขาก็พลันรู้สึกว่าตำแหน่งตั้งรับที่
พวกเขาสร้างมานั้นไม่ต่างจากกระดาษ รั้งตัวทหารป้อมปราการ
178 ไม่ได้เลย
บางทีพวกเขาก็โดนระเบิดมือระเบิดใส่ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นตัวศัตรู
ด้วยซ้ำ !
นี่มันน่าโมโหเกินไปแล้ว!
จากแผนการตั้งตนของพวกเขา พวกเขาต้องเสียทั้งกองพัน
ทหารทัพหน้าอยู่ในตำบลฉือชวนนี้ แต่สุดท้าย กองพันทหารทัพหน้า
ใช้แค่สามกองร้อยก็ยึดตำบลฉือชวนได้
ที่จริงถ้านี่ไม่ใช่การรบในเมืองแต่เป็นการแบบพื้นที่โล่งกว้าง
ระเบิดมือคงสร้างความเสียหายอะไรไม่ได้มากเช่นนี้
แต่ตอนนี้ห้องมืดที่จะทำหน้าที่เป็นปราการป้องกันได้
กลายเป็นเป้าหมายให้เริ่นเสี่ยวซู่โจมตีไปเสียแล้วคืนต่อมา ผู้บัญชาการกองพันโจวได้ฟังคำรายงานจากจาง
เสียวหม่านแล้วก็สมองด้านชาไปอยู่บ้าง โจวอิงหลงขอเวลาในการ
ทำภารกิจเพิ่มมาจากจางจิ่งหลินมาเรียนร้อย เพราะถ้ามีเวลา
มากขึ้น พวกเขาจึงสู้รบยึดครองตำบลฉือชวนได้อย่างสบายกว่า
เพราะอย่างนั้นกองพลน้อยยานเกราะในแนวหลังจึงชะลอทัพ
ลง แต่พอเขาขอเวลาให้กองพันทหารทัพหน้าเพิ่มได้แล้ว จางเสียว
หม่านที่อยู่แนวหน้ากลับบอกเขาว่าพรุ่งนี้ก็น่าจะยึดตำบลฉือชวนได้
เรียบร้อยเสียอย่างนั้นไป