the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 407 ปรับตัวตามสถานการณ์
เวลาคนสู้รบกันนั้นจะรู้สึกเหนื่อยได้ง่ายมาก บนสนามรบไม่สา
มารถหลับได้อย่างสงบใจ มีเพียงแต่นักรบที่แท้จริงจึงทนรับความ
เหนื่อยล้าทางใจเช่นนี้ได้
เมื่อคืนที่สามมาเยือน จางเสียวหม่านก็สั่งสำ รวจอาวุธ
พร้อมกับพูดปลุกใจไปด้วย “ทุกคนใส่กระสุนในซองให้เต็ม พวกเรา
จะจบการสู้รบในคืนนี้ ฉันรู้ว่าทุกคนกำลังเหนื่อย…”
“พวกเราไม่เหนื่อยสักหน่อยผู้บังคับกองร้อย” เจียวเสี่ยวเฉิน
หัวเราะและว่า “เริ่นเสี่ยวซู่เปิดทางแนวหน้าแบบปลอดภัยให้
พวกเราอยู่ตลอด พวกเราแค่ทำหน้าที่เป็นตัวสนับสนุนเขาเอง
ไม่เหนื่อยเลยสักกะนิด”
จางเสียวหม่านกำลังพูดคำให้กำลังใจทหารก่อนสู้รบครั้ง
สุดท้ายที่เขาใช้บ่อยที่สุด อย่างไรการรบปิดท้ายก็เป็นช่วงที่อันตรายที่สุด ดังนั้นเขาจึงหวังจะสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารก่อนเจอการสู้รบ
ในช่วงที่ดุเดือดที่สุด
เขาพูดสร้างขวัญไม่เก่งเลย ดังนั้นจึงคิดว่าพูดตอนที่ทุกคน
กำลังพักดีกว่า แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องไม่จำ เป็นไปเสีย
อย่างนั้น
หลังจากสู้อย่างดุเดือดมาสองวัน ทหารกองร้อยเจียนเตา
แต่ละคนรู้สึกคุกกรุ่นยิ่งกว่าเดิม
การสู้รบในครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านๆ มา พวกเขาไม่เคย
สู้อย่างง่ายดายขนาดนี้มาก่อน
จางเสียวหม่านถอนหายใจ “ช่างเหอะ จัดๆ ไปให้จบๆ ทุกคน
อย่าลืมด้วยนะว่าผู้บัญชาการกองพันโจวกับพวกผู้บังคับบัญชา
คนอื่นๆ สันนิษฐานว่าในเมืองน้อยนี้น่าจะซ่อนอาวุธพลังทำลายสูง
มากไว้ ถ้าเกิดศัตรูจนตรอกในการสู้รบครั้งสุดท้ายขึ้นมา พวกเขา
อาจจะเลือกใช้งานอาวุธพวกนั้นก็ได้”
เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ผู้บัญชาการกองพันโจวบอกว่าพวกเขาน่าจะ
ซ่อนอะไรไว้ในเมืองน้อยน่ะ?”“น่าจะเป็นปืนใหญ่อะไรสักอย่าง” จางเสียวหม่านว่า
“ป้อมปราการ 178 ยังขาดข่าวกรองดีๆ อยู่ ไม่รู้เลยว่าที่นี่มีทหาร
รักษาการณ์เท่าไร อาวุธมีอะไรบ้างก็ไม่รู้”
ในเรื่องการหาข่าวกรอง เริ่นเสี่ยวซู่ต้องยกนิ้วให้สมาคมตระกูล
ชิ่งจริงๆ ชิ่งเจิ่นเตรียมการทำสงครามได้อย่างถี่ถ้วน ทั้งคิดถึงความ
เป็นได้ในอนาคตอย่างเสร็จสรรพ
ส่วนป้อมปราการ 178 นี้ หลังจากจางจิ่งหลินหายไปสิบกว่าปี
ก็ตกอยู่ในภาวะไร้ผู้นำ
ถึงจะมีรักษาการผู้บัญชาการในช่วงนั้น แต่ก็เหมือนไล่เป็ดให้
ขึ้นคอน[1] เพราอย่างนั้นชายแห่งแดนตะวันตกเฉียงเหนือที่ไต่ยศ
ขึ้นมาทางสายทหารจึงได้แต่เน้นไปที่การสลับหมุ่นเวียนฝึกฝนอยู่
เป็นประจำ กองทัพจะได้เตรียมพร้อมการทำสงครามอยู่เสมอ เขา
ไม่ได้พัฒนาเศรษฐกิจหรือสร้างเครื่องมือรวบรวมข่าวกรองอะไร
เพราะเขาไม่เชี่ยวชาญเรื่องนั้นเลย
ระหว่างวัน ฝ่ายป้องกันตำบลฉือชวนก็จะโจมตีใส่ทหาร
ป้อมปราการ 178 อย่างบ้าคลั่ง แต่หลังจากคลื่นโจมตีซาไปแล้วก็ไม่มีร่องรอยการเคลื่อนไหวอะไรอีก
ตอนนั้นจางเสียวหม่านนึกว่าสมาคมตระกูลจงถูกอัดกลับจน
สำ นึกแล้วอะไรแบบนั้นเสียอีก แต่ร่างแยกเงาที่เริ่นเสี่ยวซู่ปล่อยไว้
ข้างนอกนั้นเข้าแทรกซึมไปอยู่แนวหลังของศัตรูแล้ว เขาพบว่า
ระหว่างฝ่ายป้องกันตำบลฉือชวนโจมตีนั้น พวกเขาก็ค่อยๆ ล่าถอย
ไปด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่ลองคิดดูแล้ว การโจมตีนี้น่าจะเป็นการโจมตีหลอก
ปิดบังให้ทหารข้างหลังพวกเขาถอยไปจากเมืองน้อยได้สินะ? ต้อง
ถอยร่นไปเช่นนี้ พวกจางเสียวหม่านถึงไม่พบความผิดปรกติ แต่ว่า
ทำไมฝ่ายป้องกันตำบลฉือชวนต้องถอยด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก “ผู้บังคับกองร้อย พวกเรา
ถอยกันไหม”
“ถอย? พวกเรายังไม่ชนะเลย นายจะให้พวกเราถอยแล้วเหรอ”
จางเสียวหม่านถามอย่างแปลกใจ
จางเสียวหม่านหน้างิ้วคิ้วขมวด “พวกเราออกมาแนวหน้า
ก็เพราะว่ามันมีอันตรายนี่แหละ พวกเราจะถอยได้ยังไง ถ้าพวกเราล่าถอยไกลเกินไป พื้นที่ที่เรายึดมาได้ก็เท่ากับเสียเปล่าไปเกือบหมด
”
“ตอนนี้ฝ่ายป้องกันตำบลฉือชวนที่อยู่แนวหลังกำลังถอยทัพ
มันต้องมีเหตุผลแน่!” เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย
“นายรู้ได้ยังไงว่าพวกเขากำลังถอย นายก็อยู่ตรงนี้อยู่ตลอดนี่”
จางเสียวหม่านตอบปัด “พวกเราอุตส่าห์สู้กันมาถึงที่นี่แล้ว พวกเรา
ถอยไม่ได้!”
“พวกเราเคยยึดได้รอบหนึ่ง ก็ต้องยึดอีกรอบได้” เริ่นเสี่ยว
ซู่พูดอย่างวิตกกังวล “ถอยกันเถอะ! ถ้าสมาคมตระกูลจงคิดจะยิง
ปืนใหญ่ถล่มทั้งเมืองน้อยทิ้งขึ้นมาล่ะ”
“จะเป็นแบบนั้นไปได้ไง เมืองน้อยนี่มีพวกเราแค่สามกองร้อย
เองนะ ถ้าพวกเราถล่มยิงปืนใหญ่ทั้งเมือง ก็ไม่ต่างจากยิงปืนใหญ่
ฆ่ายุงหรอก”
จางเสียวหม่านกำลังจะพูดแต่ก็พบว่าเริ่นเสี่ยวซู่เข้ามายกตัว
เขาขึ้น จางเสียวหม่านตกใจ “วางฉันลงเดี๋ยวนี้!”แต่เริ่นเสี่ยวซู่เมินเขา เขาแบกจางเสียวหม่านขึ้นและวิ่งออกไป
ทางนอกเมืองน้อย
การลงมือของเขาในครั้งนี้ทำให้ทุกคนในกองร้อยเจียนเตา
ตะลึงลานกันไปหมด จางเสียวหม่านคำรามอยู่บนไหล่เริ่นเสี่ยวซู่
“เริ่นเสี่ยวซู่ วางฉันลงนะ ถ้าไม่ฟังคำสั่งฉัน ฉันจะฆ่านายซะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดขณะวิ่งไป “ถ้าที่นี่มีแค่สามกองร้อย สมาคม
ตระกูลจงไม่มีทางสู้แบบเต็มกำลัง แต่ถ้าสมาคมตระกูลจงรู้ว่าฉันอยู่
ด้วยก็จะไม่ใช่แบบนั้นแล้ว”
จางเสียวหม่านนิ่งไป เขาไม่เข้าใจว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังสื่อ
ถึงอะไรอยู่พักใหญ่
ขณะเดียวกันนี้กองร้อยเจียนเตา กองร้อยที่สอง และกองร้อยที่
สามก็กำลังมึนๆ งงๆ กันอยู่ จางเสียวหม่านที่พาดอยู่บนไหล่ของเริ่น
เสี่ยวซู่ถอนหายใจและตะโกน “ถอยกัน! เริ่นเสี่ยวซู่ ถ้าหลังจากนี้
นายไม่ให้คำอธิบายฉันดีๆ ล่ะก็ ฉันจะจับนายขึ้นศาลทหารแน่”
พวกทหารและนายทหารมองหน้ากันเอง นอกจากถอยแล้ว
พวกเขาจะยังทำอะไรได้อีกล่ะพอพวกเขาถอยทัพออกมาจากตำบลฉือชวนได้แล้ว เริ่นเสี่ยว
ซู่ก็ยังวิ่งต่ออีกสองกิโลเมตรถึงจะหยุดฝีเท้า
จางเสียวหม่านที่ถูกกระแทกขึ้นๆ ลงๆ อยู่บนไหล่เริ่นเสี่ยว
ซู่แทบกระอักเลือดออกมา ถ้ายังไม่ต้องไม่สนเรื่องอื่น เรี่ยวแรงเริ่น
เสี่ยวซู่น่าทึ่งมาก เขาวิ่งแบกคนหนักห้าสิบกิโลกรัมกว่าๆ มาหลาย
กิโลเมตรได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรเลย!
ทันทีที่เริ่นเสี่ยวซู่วางจางเสียวหม่านลงกับพื้น กองร้อยเจียน
เตาก็เห็นลูกบอลเพลิงระเบิดมาจากในตำบลฉือชวน เสียงระเบิดดัง
เข้าหูมาแต่ไกล
ขนาดพวกเขาอยู่ห่างออกมาหลายกิโลเมตรแล้วก็ยังสัมผัสได้
ถึงพื้นที่สั่นไหว
นี่ไม่ใช่การยิงปืนใหญ่ถล่ม ที่จริงไม่ต้องยิงปืนใหญ่ถล่ม
มาด้วยซ้ำ ระเบิดที่ฝ่ายป้องกันตำบลฉือชวนทิ้งไว้สามารถแผดเผา
ให้ทั้งเมืองน้อยตกอยู่ในทะเลเพลิง
จางเสียวหม่านเหม่อมองภาพนี้ “แม่*ส้นตี*ฉิบหาย!
ถ้าพวกเราไม่หนีมาก่อน ฉันว่าสามกองร้อยจบสิ้นแล้วล่ะ”เขาไม่ตามเรื่องที่เริ่นเสี่ยวซู่บีบบังคับแบกเขาต่อ ตอนนี้ทหาร
กองร้อยที่สองและที่สามกำลังมองทะเลเพลิงด้วยความ
ขวัญหนีดีฝ่อ
เพราะเสียงระเบิด ในหูทุกคนยังดังอื้ออึงอลอยู่
“นายรู้ได้ยังไงว่าศัตรูกำลังถอย” จางเสียวหม่านถามเริ่นเสี่ยว
ซู่ด้วยความสงสัย
“ฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบไปตรงๆ
“ได้” จางเสียวหม่านไม่ถามต่อ กลับกัน เขาคิดพักหนึ่งก่อน
จะว่า “ต่อไปนายต้องฟังคำสั่ง นายลืมเรื่องที่ฉันบอกไปแล้วเหรอไง”
“แต่ผู้บังคับกองร้อยพูดว่าพวกเราต้องรู้จักที่จะปรับตัวเข้ากับ
สถานการณ์ไม่ใช่เหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ขัด
จางเสียวหม่านหันไปมองเจียวเสี่ยวเฉิน “ฉันพูดเหรอวะ”
เจียวเสี่ยวเฉิน “พูด”
จางเสียวหม่านหัวเราะ เป็นความสุขที่รอดจากหายนะมาได้
เขาพูดกับเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ขอบคุณ”
[ได้รับเหรียญคำขอบคุณจากจางเสียวหม่าน +1!]นี่เป็นการลงมือช่วยชีวิตอย่างแท้จริง ถ้าไม่ใช่เพราะเริ่นเสี่ยวซู่
มีปฏิกิริยาว่องไว ทั้งสามกองร้อยคงถูกระเบิดกวาดล้างจนสิ้น
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร การมาเยือนของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ทำให้ชีวิต
พวกเขาปลอดภัยขึ้น
ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่ตอนนี้กำลังดูบันทึกเหรียญคำขอบคุณใน
พระราชวัง จากนั้นก็กวาดสายตาไปยังคนอื่นๆ
[1] ไล่เป็ดให้ขึ้นคอน (赶鸭子上架) เปรียบกับการบีบให้ทำเรื่องที่
ความสามารถไม่ถึง