the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 409 ความโง่เขลาและความกล้าหาญ
ตอนที่จางจิ่งหลินส่งเริ่นเสี่ยวซู่ไปอยู่กองร้อยเจียนเตานั้น เขา
ได้แสดงจุดยืนของตัวเองออกมาอย่างชัดเจนแล้ว แถมเขายังนำเริ่น
เสี่ยวซู่ไว้ใต้แสงไฟ สาดส่องตัวเขาให้ทุกคนได้เห็น
ทว่าสำ หรับการเลือกสรรของผู้บัญชาการนั้น ถ้าเขาโน้มน้าว
คนหมู่มากหรือชักนำผู้คนไม่ได้ จางจิ่งหลินเองก็ไม่บีบผลักดันเรื่อง
นี้ต่อ
แต่ในเมื่อจางจิ่งหลินตัดสินใจได้แล้ว เขาก็ไม่กลัวทุกคนจะหา
ข้อผิดพลาดในการตัดสินใจของตน
ย้อนไปตอนก่อนนู้น ถ้าจางจิ่งหลินไม่ได้ชื่นชมในตัวเริ่นเสี่ยว
ซู่ล่ะก็ เขาก็คงไม่ให้อีกฝ่ายมาเป็นอาจารย์สอนแทนในโรงเรียนแล้ว
แต่ว่าจางจิ่งหลินไม่คิดเลยว่าเขาจะมาได้ไกลขนาดนี้
ตอนนั้นจางจิ่งหลินคิดให้เริ่นเสี่ยวซู่มาเป็นอาจารย์ประจำ
โรงเรียนเพราะคิดว่าการจัดการเช่นนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการเรียนหนังสือของพวกนักเรียน ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนธรรมดา เขา
ก็ไม่คิดลากเริ่นเสี่ยวซู่มาตกอยู่ในห้วงน้ำวนแห่งอำนาจนี้หรอก แต่
ถึงเขาไม่ได้ลากเริ่นเสี่ยวซู่มา เริ่นเสี่ยวซู่ก็กลับเดินตรงเข้ามาด้วย
ตนเอง
ที่ป้อมปราการ 178 ต้องการไม่ใช่ผู้นำที่เป็นคนดี แน่นอนว่า
เป็นคนเลวคงไม่ได้ หรือแย่กว่านั้นคือคนคลั่งสงคราม ยามจาง
จิ่งหลินมองไปยังทหารทหารระดับบัญชาการอบกายแล้ว เขาก็ต้อง
ประหลาดใจที่ไม่เห็นผู้เหมาะสมเลย
จนกระทั่งหวังเซิ่งจือมาส่งเริ่นเสี่ยวซู่ถึงหน้าประตูเขา
ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่เองก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่จางจิ่งหลินรู้สึก
ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีแรงขับเคลื่อนที่ดี ตราบใดที่ยังรักษาแรงนี้ไว้ได้
อนาคตของเขาก็เป็นสิ่งที่จางจิ่งหลินรอคอยอยากเห็น
แต่ผู้บังคับบัญชาพวกนี้เชื่อเพียงว่าเจ้าเด็กเริ่นเสี่ยวซู่โชคดีที่
จางจิ่งหลินเลือกเขา ส่วนจางจิ่งหลินรู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่อาจจะไม่ยอม
อยู่ป้อมปราการ 178 ต่อก็ได้โจวอิงหลงตอบคำถามเรื่องลักษณะนิสัยของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้
“เขาก็น่าจะไม่เลวนะ…”
พูดตามสัตย์จริง โจวอิงหลงสนใจแต่รายงานความคืบหน้า
ของภารกิจ เขาจะไปสนทำไมว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนใช้ได้หรือเปล่า
สำ หรับโจวอิงหลงแล้ว ขอแค่ชนะการรบ ทุกอย่างก็ได้หมด
จางจิ่งหลงเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “หูซิ่งจือ ไฉจื้อหลง กองพลน้อย
ยานเกราะกับกรมทหารราบของพวกนายต้องมาถึงฐานปฏิบัติการ
หน้าให้ไวที่สุด ฉันให้เวลาพวกนายสองคนสามวัน ฟู่หง กองพัน
ทหารช่างของนายต้องไปถึงแม่น้ำเฮยสือให้ได้ภายในครึ่งเดือน
จากนั้นก็สร้างสะพานข้ามฝาก…”
คำสั่งพ่นออกมาจากปากของจางจิ่งหลินไม่หยุด ทุกคนถึงนึก
ขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาเป็นห่วงเรื่องของเริ่นเสี่ยวซู่ พวกเขายังมีศึก
หนักที่ต้องรับมืออยู่!
…
กองร้อยเจียนเตากลับมาถึงฐานปฏิบัติการหน้าแล้ว จางเสียว
หม่านไปยังโรงอาหารชั่วคราวและตะโกนว่า “หลินอวี้เจ๋อโว้ย อยู่ไหนวะ”
หลินอวี้เจ๋อที่เป็นคนดูแลโรงอาหารชั่วคราวแห่งนี้เดินออกมา
พร้อมรอยยิ้มบนหน้า “อ้าว นี่มันผู้บังคับกองร้อยจาง วีรบุรุษ
สงครามของพวกเรานี่”
“ทำอาหารแจ่มๆ ให้กินหน่อย พี่น้องเราหิวโซกลับมาจาก
แนวหน้า เดี๋ยวขอตัวไปอาบน้ำล้างตัวกันก่อน หลังจากอาบน้ำเสร็จ
แล้วฉันอยากเห็นอาหารร้อนๆ พร้อมทาน หมูสามชั้นน้ำแดงกับไก่
น้ำแดงต้องมีด้วย!” จางเสียวหม่านร้องตะโกน
หลินอวี้เจ๋อยิ้มกล่าว “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวทำให้เลย! แถมยังมี
เหล้าบาร์เลย์ให้ดื่มด้วยนะ แค่อย่าเอาออกไปนอกฐานทัพพอ
หลังจากวันนี้ก็ห้ามดื่มเหล้าอีก”
ทหารธรรมดาร้องขออาหารหรือเหล้าตามใจไม่ได้หรอก ขนาด
นายทหารระดับโจวอิงหลงก็ทำไม่ได้ นายทหารและทหารทุกนาย
ล้วนถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
แต่วีรบุรุษสงครามต่างออกไป พวกเขาสามารถขออาหารที่
ขนาดผู้บัญชาการป้อมปราการยังไม่ได้กินด้วยซ้ำ นี่เป็นธรรมเนียมของป้อมปราการ 178 มาตลอด หลังจากชนะในการรบมาแล้ว
อยากกินอะไรก็ได้กิน!
กฎเกณฑ์นี้ทำให้คนในป้อมปราการ 178 เข้าใจอยู่อย่างหนี่ง
นั่นก็คืออย่างไรพวกเขาก็ต้องชนะให้ได้ทุกการรบ!
การที่ให้กองร้อยเจียนเตาดื่มได้นั้นเป็นเพราะว่าสองวัน
หลังจากนี้พวกเขาจะไม่ได้มีภารกิจใหม่ให้ทำ พวกเขากลับมา
พักผ่อนจัดทัพใหม่ แต่ก็ไม่ปล่อยโอกาสให้ลอบขนเหล้าออกไปดื่น
จนเมาก่อนศึกต่อไปจนทำทุกอย่างล่าช้า
จางเสียวหม่านออกจากโรงอาหารอย่างลำพองใจ ดูลำพองจน
บนไหล่มีความหยิ่งผยองลอยวน เชิดหน้าแบบสุดใจ
ตอนที่พวกทหารช่างเห็นเขาก็หัวเราะและว่า “จางเสียวหม่าน
เอ็งแม่*ดูอวดดีฉิบหายเลยว่ะ!”
จางเสียวหม่านยิ้มว่า “ชนะทั้งทีขออวดดีสักหน่อยไม่ได้ไง?
ภารกิจที่เหล่าโจวให้มาคือยึดตำบลฉือชวนให้ได้ภายในครึ่งเดือน
แต่พวกเราใช้สามวันก็ยึดได้แล้ว!”ทว่าพูดเสร็จก็สัมผัสได้ว่ามีคนเตะก้นเขา พอหันไปมองก็เห็น
เป็นโจวอิงหลง เขายิ้มออกมาทันทีและว่า “ผู้บัญชากองพัน หลาย
วันนี้เป็นไงบ้าง”
โจวอิงหลงใบหน้าอึมครึม “ไม่ต้องทำให้ตัวเองขายหน้าแล้ว
รีบๆ ไปอาบน้ำไป”
“อ้อ รับทราบ!” จางเสียวหม่านหันหลังวิ่งหนี
ในฐานปฏิบัติการหน้ามีน้ำร้อนให้อาบด้วย
สิ่งอำนวยความสะดวกที่นี่ครบครันกว่าที่คิด เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินว่า
มีน้ำร้อนให้อาบได้ ก็สงสัยนักว่าสร้างออกมาอย่างไร
พอทุกคนถอดเสื้อผ้าและเดินเข้าไปในโรงอาบน้ำ เจียวเสี่ยว
เฉินก็มองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างตกตะลึง พอสวมเสื้อผ้า เริ่นเสี่ยวซู่ดู
ผอมบางไม่น้อย แต่ตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อของเริ่นเสี่ยว
ซู่ทุกมัดฉายพลังออกมา
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ก็แปลกใจที่เห็น
เด็กสาวในชุดพยาบาลสองคนรออยู่หน้าโรงอาบน้ำเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังรอทหารกองร้อยเจียนเตาอยู่
แต่พอเด็กสาวทั้งสองเห็นเขาก็ตาทอประกาย เด็กสาวคนหนึ่งนำ
เดินมาหาเขาและกระซิบ “ฉันเห็นนายตั้งแต่มาฐานปฏิบัติการหน้า
ครั้งแรกแล้ว อะนี่ ครีมทามือ…”
จากนั้นเด็กสาวก็คว้ามือเพื่อนและวิ่งหนีหายไป ทหารกองร้อย
เจียนเตาข้างหลังเขาเห็นแบบภาพนี้ก็อิจฉาตาร้อน “อิจฉาโว้ย…”
“ทำไมเริ่นเสี่ยวซู่ดังในหมู่ผู้หญิงจังฟะ…”
เจียวเสี่ยวเฉินยิ้ม “พวกเราเป็นแค่ชายหยาบกระด้างแห่งแดน
ตะวันตกเฉียงเหนือ พอเริ่นเสี่ยวซู่มาถึงก็ถูกเตะโด่งออกวงการไป
เลย ทั้งกองทัพรู้ว่าเขาเป็นผู้มีพลังพิเศษ ผู้บัญชาการเองก็มองเขาไว้
ซะสูง พวกเด็กผู้หญิงย่อมอยากทำความรู้จักกับเขาอยู่แล้ว”
พูดจบก็มีทหารบริการเดินเข้ามา เขามองไปที่เริ่นเสี่ยวซู่และ
ถาม “นายคือเริ่นเสี่ยวซู่?”
“เป็นฉันเอง” เริ่นเสี่ยวซู่พูด
“ผู้บัญชาการจางเรียกนาย เขาอยากเจอหน้านายน่ะ” ทหาร
ส่งคำสั่งผายมือเริ่นเสี่ยวซู่หันไปรอบๆ และกล่าวกับพวกเจียวเสี่ยวเฉิน “กินกัน
ก่อนเลย อีกแปปเดียวฉันตามไป”
“ได้ เดี๋ยวเหลือไว้ให้” เจียวเสี่ยวเฉินพูดอย่างอิจฉา
ผู้บัญชาการถึงกับเรียกเขาไปเจอด้วยตัวเอง
พอเริ่นเสี่ยวซู่มาถึงเต็นท์ศูนย์บัญชาการ ข้างในมีเพียงจาง
จิ่งหลิน เขายืนนิ่งข้างโต๊ะตกอยู่ในภวังค์ “อาจารย์”
จางจิ่งหลินได้ยินแบบนั้นก็ผงะไปก่อนจะว่า “ฉันไม่ได้ยินคน
เรียกแบบนั้นนานแล้ว”
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มและกล่าว “ผมคิดถึงวันเวลาตอนอยู่ที่โรงเรียน
จริงๆ”
จางจิ่งหลินชำ เลืองมองเขาก่อนจะถอนหายใจ “พวกเรากลับ
ไปวันเวลาเหล่านั้นไม่ได้แล้ว”
“อาจารย์ เรียกผมมาที่นี่ทำไม” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“แค่มาถามไถ่เรื่องราวเฉยๆ” จางจิ่งหลินยิ้ม “กองร้อยเจียน
เตาเข้าร่วมศึกหนักสองครั้งโดยไม่มีใครตาย เป็นฝีมือนายล่ะสิ”
“ก็ไม่เชิง” เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งและว่า “โชคดีด้วยส่วนหนึ่ง”“รู้ไหมว่ามานำกองร้อยสู้รบโดยไม่มีคนตายมันยากขนาดไหน
” จางจิ่งหลินถาม
“ผมรู้ว่ามันยากมาก”
“ถ้ารู้ว่ามันยากขนาดไหน ก็แต่ยังพยายามทำให้สำ เร็จจนยอม
เสี่ยงตัวเองบาดเจ็บ มันเรียกว่าความโง่เขลา” จางจิ่งหลินพูดเสียง
นิ่ง
เริ่นเสี่ยวซู่เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ “แล้วก็เรียกว่า
ความกล้าหาญด้วย”