the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 410 ในที่สุดอาวุธชิ้นที่สองก็ปลดล็อคแล้ว!
- Home
- the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 410 ในที่สุดอาวุธชิ้นที่สองก็ปลดล็อคแล้ว!
จางจิ่งหลินได้ยินคำตอบของเริ่นเสี่ยวซู่ก็หัวเราะ “พูดได้ดี!
แล้วก็เรียกว่าความกล้าหาญด้วยงั้นเหรอ”
ที่จริงจางจิ่งหลินไม่รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ทำให้เพื่อนทหารในกองร้อย
เจียนเตารอดกันมาได้หมดนั้นกำลังมีความแค้นฝังหัว และความ
หมกมุ่นนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าเขาเหมาะจะปกป้องอะไรบางอย่าง
หรือไม่
สิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่เคยอยากปกป้องล้วนถูกสมาคมตระกูล
จงทำลายไปหมดแล้ว นี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่มองกลับไปยังวิสัยทัศน์อัน
สวยงามก่อนหน้าและคิดว่าเขาจะสามารถปกป้องอะไรได้บ้างไหม
ในโลกอันวุ่นวายนี้
ผลคือเขามองการอยู่รอดของกองร้อยเจียนเตาเป็นภารกิจ
ส่วนตัวของตน มีแต่ต้องทำให้กองร้อยเจียนเตาอยู่ครบสมบูรณ์ เขาถึงจะมีสิทธิ์ไปหาตามหาครอบครัวและเพื่อนๆ ที่ราบตอนกลางได้
และจากนั้นก็จะใช้ชีวิตต่อไปในโลกอันวุ่นวายนี้
“ฉันเห็นความขัดแย้งในตัวนาย” จางจิ่งหลินพูดเสียงนิ่ง “ตอน
ฉันยังเด็กก็เป็นงี้เลย ตอนนั้นทุกคนอยากให้ฉันจับปืน บอกว่าบน
สนามรบต้องการทหารที่ยิงปืนได้ สนามรบไม่ต้องการทหารเสนา
รักษ์ไร้ประโยชน์ บางทีฉันก็สงสัยว่าความยืดหยัดของตัวเองมันถูก
หรือเปล่านะ ฉันเองก็ควรหยิบปืนขึ้นมายิงไปพร้อมกับพวกเขา
หรือเปล่า”
จางจิ่งหลินพูดเรื่องตัวเองต่อ “ตอนนั้นฉันกำลังคิดว่าจะโน้ม
เข้าไปยังเจตจำ นงแห่งโลกอันวุ่นวายนี้ ทำแบบนั้นคงใช้ชีวิตสบาย
กว่าเดิม”
“แล้วเกิดอะไรขึ้น” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“ความยืนหยัดก็คือความยืนหยัด ถูกหรือเปล่าไม่สำ คัญ” จาง
จิ่งหลินเอ่ย “อย่าทิ้งความเป็นตัวเอง ชีวิตควรเป็นดั่งเทียนไขที่
เผาไหม้ส่องสว่างจนถึงห้วงสุดท้าย”เริ่นเสี่ยวซู่พึมพำคำนั้นกับตัวเอง “ชีวิตควรเป็นดั่งเทียนไขที่
เผาไหม้ส่องสว่างจนถึงห้วงสุดท้าย”
และเขาก็พลันตระหนักได้ว่าที่จางจิ่งหลินเรียกเขามาก็เพราะ
เห็นความขัดแย้งในตัวเขาเอง และก็อยากพูดคำเหล่านี้ให้ตนฟัง
จางจิ่งหลินยิ้มกล่าว “หลังจากทำลายสมาคมตระกูลจงแล้ว
เธอมีแผนจะทำอะไรต่อ”
“ไปที่ราบตอนกลาง” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงหนักแน่น “ผมอยาก
ไปตามหาพี่เสี่ยวอวี้ เหยียนลิ่วหยวน แล้วก็คนอื่นๆ กลับมา”
“อืม” จางจิ่งหลินถามอีกครั้ง “แล้วจะกลับมาป้อมปราการ
178 ไหม”
“ไม่แน่ใจครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อาจตอบคำถามนั้นได้
“เธอน่าจะรู้นะว่าทำไมฉันให้เธอเข้าร่วมกองร้อยเจียนเตา ฉัน
ไม่ห้ามหรอกที่เธอจะไปที่ราบตอนกลาง แต่ถ้าเธอมีอะไรที่อยาก
จะปกป้อง งั้นป้อมปราการ 178 ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเคร่ง “ผู้บัญชาการ ถ้าคุณไม่ปล่อยผม
ไปหาอะไรกินตอนนี้ มันจะไม่อะไรเหลืออะไรให้กินแล้วนะ”เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งนึกได้ว่าตนเองเพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วยังไม่มีอะไร
ตกถึงท้องเลย
…
พอเริ่นเสี่ยวซู่มาถึงโรงอาหาร จางเสียวหม่านก็ดื่มจนแทบ
สลบเหมือดแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปนั่งข้างพวกเขาและกินอาหารที่ทุกคนเหลือไว้
ให้ แต่พวกเขาเหลือไว้เยอะจัดราวกับกลัวว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะกินไม่อิ่ม
จางเสียวหม่านลากเริ่นเสี่ยวซู่ไปดื่มด้วยกัน แต่เขาไม่ยอมดื่ม
สักกะหยด จางเสียวหม่านเห็นว่าตัวเองตะล่อมเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ก็หัน
ไปหาคนอื่นแทน
จางเสียวหม่านที่กำลังดื่มพลันเข้าไปกอดเจียวเสี่ยวเฉินและว่า
“เว่ยอวิ๋นหลิน ฉันคิดถึงเธอจังเลย…”
เจียวเสี่ยวเฉินรีบพละออกจากจางเสียวหม่านหัวเราะพร้อมกับ
ล้อว่า “เพิ่งมาคิดถึงภรรยางั้นสิ”
มีคนดื่มไปหัวเราะใส่จางเสียวหม่านไป “ภรรยานายยอมแต่ง
กับนายมันเหมือนเอาดอกไม้ปักในอาจม!”จางเสียวหม่านสร่างเมาขึ้นมานิดหน่อยและพูดอย่างไม่พอใจ
“ถ้าเธอเป็นดอกไม้ งั้นวัวก็ไม่ขี้แล้วโว้ย!”
“เลิกทำอย่างกับว่าเสียดายที่แต่งกับงานเธอเป็นนักหนาสิ
นายไม่รู้แล้วว่าเก็บได้ของดีอะไรมา อยู่ข้างนอกแล้วทำเป็นแข็งนะ”
เจียวเสี่ยวเฉินหัวเราะ
ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่คอยแต่หมกมุ่นกับการช่วยชีวิตกองร้อย
เจียนเตา แต่ตอนนี้ เขารู้สึกว่ายากนักที่จะคิดว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่ง
ของกองร้อยเจียนเตาจริงๆ
เขาก็มีความคิดเช่นนี้กับป้อมปราการ 178 เช่นกัน
ผู้ดูแลโรงอาหารหลินอวี้เจ๋อ กอดอกมองพวกกองร้อยเจียน
เตาและหัวเราะ เขายิ้มกับพ่อครัวข้างเขาและว่า “เห็นไหม เจ้าพวก
นี้คือวีรบุรุษสงครามของกองทัพเรา พวกเขาเป็นพวกที่เพิ่งสู้ไปสอง
สนามรบ และก็ชนะทั้งคู่ด้วย”
มีคนพึมพำ “หัวหน้าหลิน เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเขาก็มาจาก
กองร้อยเจียนเตา ทำไมเขาดูไม่เข้าพวกเลยล่ะ”หลิวอวี้เจ๋อเหลือบไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ มองพวกเขากินไปเงียบๆ
เขาดูจะไม่ยี่หระกับเสียงโหวกเหวกรอบกายเลย “เขาชื่อเริ่นเสี่ยว
ซู่หรือเปล่านะ”
“มีข่าวลือว่าเริ่นเสี่ยวซู่ผู้นั้นเป็นสัตว์ร้ายบนสนามรบ ได้ยิน
ว่าการยึดครองตำบลฉือชวนสำ เร็จนั้นเป็นผลงานเขาครึ่งหนึ่ง
เจ้าหนุ่มนี่ดูบอบบางไม่เห็นเหมือนที่ข่าวลือว่าไว้เลย!
แต่ตอนนั้นจางเสียวหม่านก็เดินมาจับมือเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสภาพ
มึนเมา “พี่น้อง! ถ้าไม่ใช่เพราะนาย คราวนี้พี่น้องเราคงกลับมาไม่ได้
แล้ว ขอบคุณอีกครั้งนะที่ช่วยพวกเราไว้!”
จากนั้นหลินอวี้เจ๋อและเจ้าหน้าที่โรงอาหารอ้าปากค้างมอง
จางเสียวหม่านคุกเข่าขอบคุณเริ่นเสี่ยวซู่ เขาแทบจะทำท่าคำนับนับ
เริ่นเสี่ยวซู่อยู่แล้ว!
ถ้าคนดื่มมากไป อะไรๆ แม่*ก็ทำได้หมดแหละ!
เริ่นเสี่ยวซู่ยังกินไม่เสร็จ แต่เขาก็รีบดึงตัวจางเสียวหม่านขึ้นมา
“เลิกดื่มได้แล้ว!”แต่ขณะที่เขากำลังดึงตัวจางเสียวหม่านขึ้นมา เพื่อนทหารของ
เขาในกองร้อยเจียนเตาที่อยู่ด้านข้างก็เดินมายกแก้วเหล้าใส่เขา
“ขอบคุณเริ่นเสี่ยวซู่ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเรา!”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดเลยว่าอาวุธชิ้นที่สองจะมาปลดล็อคคาตาทุก
คนในโรงอาหารเช่นนี้
หลังจากกลุ่มชายตะวันตกเฉียงเหนือดื่มหนักกันเกินไป
พวกเขาขอบคุณเริ่นเสี่ยวซู่ไม่หยุด พวกเขาขอบคุณเจ็ดแปดครั้งติด
แถมแต่ละครั้งทุกคนก็พูดมาจากใจจริงด้วย!
เริ่นเสี่ยวซู่กำลังสงสัยอยู่ว่าต่อไปเขาควรเก็บเหล้าไว้ในช่อง
เก็บของหน่อยไหม เวลาไม่มีอะไรทำก็จะเรียกเพื่อนทหารในกองร้อย
เจียนเตามารวมตัวกันดื่มสักสองสามกรึ๊บ…
พระราชวังกล่าว [ท่านมีเหรียญคำขอบคุณถึงเกณฑ์ที่จะได้รับ
อาวุธจากภารกิจรอง ต้องการปลดล็อคเลยหรือไม่]
เริ่นเสี่ยวซู่สูดลมหายใจลึก “จัดไป!”
พลันมีแสงสว่างเรืองรองในพระราชวัง ตู้แสดงของตรงกำแพง
วนที่เดิมทีปกคลุมด้วยหมอกมืดส่องแสงขึ้นมา หมอกดำก็ค่อยๆกระจายหายไป
เริ่นเสี่ยวซู่มองไป และก็เห็นปืนสไนเปอร์สีดำขนาดมโหฬาร
กระบอกหนึ่งโผล่อยู่ในข้างในตู้แสดงของขนาดกว้างใหญ่
เริ่นเสี่ยวซู่เดาว่าอาวุธชิ้นที่สองน่าจะเป็นดาบอีกเล่ม กระบี่
หรือไม่ก็ธนูเสียอีก
ไม่คิดเลยว่าจะเป็นปืนสไนเปอร์
เขาแปลกใจกว่าเดิมที่หลังร่างแยกเงาก็มีปืนสไนเปอร์โผล่มา
เช่นกัน
อย่างกับว่าทักษะนู่นนี่เดิมของเขาสุดท้ายก็มีปฏิกิริยาทางเคมี
จนหลอมรวมกันอย่างไรอย่างนั้น
มีดาบสองเล่ม มีปืนสองกระบอก ตอนที่ปืนสไนเปอร์โผล่หลัง
หมอกทมิฬ เริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าใจคุณสมบัติของปืนสไนเปอร์ทันที มัน
มีระยะหวังผลสองพันแปดร้อยเมตร ไม่ต้องคอยใส่ลูกกระสุน เขา
สามารถเสกกระสุนขึ้นมาด้วยความคิด เขาสามารถสลับกระสุน
เพลิงหรือกระสุนเจาะเกราะได้ตามใจในยุคสมัยนี้ ปืนสไนเปอร์ที่ดีที่สุดในโลกมีระยะหวังผลแค่สอง
พันสามร้อยเมตร
‘ระยะหวังผล’ ที่ว่าหมายถึงระยะที่หวังผลจะยิงถึงได้ใน
สถานการณ์ทั่วไป ตราบใดที่ไม่เอาไปใช้ยิงเป้าหมายพิเศษ ก็ยัง
ไม่ต้องเอาวิถีกระสุนมาคิดพิจารณา
ถ้ามือสไนเปอร์สามารถคำนวณวิถีกระสุนได้อย่างแม่นยำบวก
กับมีทักษะยิงปืนที่ดีพอ จะยิงเป้าหมายที่ไกลกว่าโดนก็ไม่ใช่ปัญหา
ตัวอย่างเช่นระยะหวังผลสูงสุดของปืนสไนเปอร์คือสองพัน
สามร้อยเมตร แต่การสังหารไกลที่สุดที่บันทึกไว้คือสองพันสี่ร้อยเจ็ด
สิบห้าเมตร
เดี๋ยวก่อนนะ! ขณะที่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังสำ รวจปืนสไนเปอร์ในห้วง
จิตอยู่ เขาก็พบกระสุนอีกประเภทที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ในสถานการณ์ทั่วไป ปกติมันจะมีกระสุนสไนเปอร์หลาย
ประเภท อาทิ ขาว แดง เขียว ทองเหลือง ส้ม และอื่นๆ สีที่ต่างกันก็
เพื่อแยกประเภทกระสุนตะกั่วธรรมดา กระสุนเจาะเกราะ กระสุน
เพลิง และกระสุนนำวิถีแล้วไอ้กระสุนหัวดำนี่คืออะไรกันล่ะ