the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 412 มือสไนเปอร์
เริ่นเสี่ยวซู่ถามด้วยความสงสัย “เหรียญแบบไหนเหรอที่มีค่า
ที่สุด แล้วใครกันที่จะซื้อไป”
ในความคิดของเริ่นเสี่ยวซู่ ของพวกนี้จะมีใครสนใจไปกว่า
ทหารในกองทัพอีกล่ะ
“มีคนยอมซื้อเยอะเลย” จางเสียวหม่านหัวเราะ “บ้างก็เป็น
พวกที่อยากเป็นทหารแต่ว่าไม่ผ่านการทดสอบร่างกาย พวกพ่อค้า
นักสะสมในป้อมปราการ หรือไม่ก็พวกพ่อแม่ที่จะซื้อเป็นของขวัญให้
ลูกที่ถึงวัยแล้ว ตลอดทั้งป้อมปราการ 178 มีประชากรกว่าสองล้าน
คน อย่าประเมินพลังซื้อของพวกเขาต่ำไป”
ในที่สุดเริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนป้อมปราการ 178 ถึง
มีความรู้สึกเคารพคนในวงการทหารแบบแปลกๆ บางทีอาจจะเป็น
เพราะว่าทหารพวกนี้คอยปกป้องพวกเขาอยู่เสมอก็ได้จางเสียวหม่านพูดต่อ “แต่เหรียญบางอันราคาก็ไม่สูง อย่าง
พวกเหรียญที่ให้ทหารจำ นวนมาก หรือไม่ก็เหรียญรางวัลจากศึกที่
ไม่ค่อยสำ คัญ ปกติแล้วบ้านคนจะซื้อแต่เหรียญราคาไม่กี่ร้อยให้เด็ก
ๆ มีแต่นักสะสมที่จะอยากได้เหรียญแบบที่พวกเรามี ตำบลฉือชวน
เป็นสงครามเปิดศึก จำ นวนคนที่ได้เหรียญก็ไม่มาก ดังนั้นต้องมีค่า
สูงในหมู่นักสะสมแน่นอน”
“งั้นถ้ากองร้อยเจียนเตาทำผลงานใหญ่ในการรบเฉพาะตนได้
อีก พวกเราก็จะได้เหรียญที่มีค่ากว่าเดิมสิ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“แหงล่ะ” จางเสียวหม่านหัวเราะและว่า “แต่มันไม่ง่ายนะสิ
เราอาจเสียคนไปก็ได้!”
เริ่นเสี่ยวซู่ยังคงนิ่งเงียบ การเดินทางไปสะพานเป่ยวานลำบาก
ไม่น้อย ระหว่างทางพวกเขาต้องผ่านตำบลฉือชวนที่ตอนนี้ไฟมอด
ไปแล้วด้วย ทั้งซากปรักปกคลุมไปด้วยเถ้าดำ ราวกับเป็นนรกอเวจีที่
เพิ่งมีสัตว์ปีศาจถล่มไป
จางเสียวหม่านมองเมืองน้อยจากไกลๆ ด้วยคิ้วขมวดมุ่น
“สงสัยชะมัดว่าก่อนภัยพิบัติโลกมีหน้าตาเป็นยังไง เอาล่ะ เลิกมองได้แล้ว! ทุกคนระวังตัว! ไม่รู้ว่าจะเจอศัตรูจนสุดท้ายต้องสู้กัน
หรือเปล่า”
ตำบลฉือชวนอยู่ห่างจากสะพานเป่ยวานกว่าสองร้อยกิโลเมตร
พวกเขาต้องเข้าไปในเทือกเขาก่อน จากนั้นค่อยลอบแทรกซึมไปยัง
แม่น้ำเป่ยวาน
จากข่าวกรองที่ได้มา ในเทือกเขามีทหารสมาคมตระกูล
จงจำ นวนหนึ่งกระจายตัวกันอยู่ ทำหน้าที่ต่างทหารลับทั้งไว้ใช้ซุ่ม
โจมตีแบบกองโจรด้วย
กองร้อยเจียนเตาต้องพยายามหลบเลี่ยงพวกเขา ไม่ใช่เข้าไป
ฆ่าฟันสังหาร แต่ถ้าไม่อาจเลี่ยงได้ล่ะก็ เช่นนั้นผู้ใดหาญกล้ากว่าก็
จะเป็นผู้ชนะ
หลังจากผ่านตำบลฉือชวนไปสองชั่วโมง กองร้อยเจียนเตาก็
มาถึงตีนเขา เทือกเขานี้ดูประหลาดมาก ฝั่งที่โดนแสงแดดมีพุ่มไม้
เตี้ยปกคลุม แต่อีกฝั่งมีแค่ดินเหลืองของตัวเขา
แต่ทันใดนั้น อยู่ๆ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ล้มลงด้วยความเจ็บจนคิ้วขมวด
แน่น จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นมาจากทางเขา จางเสียวหม่านสะดุ้งเฮือก “ทุกคนแยกตัวหาที่กำบัง มีมือสไนเปอร์!”
ความแตกต่างระหว่างเสียงปืนสไนเปอร์กับปืนไรเฟิลนั้น
ต่างกันโข ดังนั้นพอได้ยินเสียงปืน จางเสียวหม่านก็มีปฏิกิริยาใน
พลัน
จางเสียวหม่านลากตัวเริ่นเสี่ยวซู่ไปหลบหลังโขดหินใกล้เคียง
แต่ใจสับสนว่าทำไมเริ่นเสี่ยวซู่ถึงมีปฏิกิริยาก่อนที่จะได้ยินเสียงปืน
อีก
ท่าทางเริ่นเสี่ยวซู่เหมือนถูกยิงไปแล้ว แต่ว่าบนตัวเขา
ไม่มีร่องรอยบาดแผล
แต่ที่จางเสียวหม่านไม่รู้คือเป้าหมายที่แท้จริงของสไนเปอร์ไม่
ใช่เริ่นเสี่ยวซู่ แต่เป็นร่างแยกเงาต่างหาก
เริ่นเสี่ยวซู่ค้นพบว่าถ้ากระสุนแล่นยิงระหว่างคิ้วของร่างแยก
เงาเมื่อไร จะสะท้อนความเจ็บปวดยิ่งกว่าปกติกลับมาที่เขา ดังนั้น
เขาจึงควบคุมร่างแยกเงาคืบหน้าไปด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
กันไม่ให้ถูกยิงเข้าที่ระหว่างคิ้วส่วนถ้าถูกยิงที่ระหว่างคิ้วจะเกิดอะไรขึ้นนั้น แม้แต่เริ่นเสี่ยว
ซู่เองก็ไม่อาจรู้ได้ ผู้มีพลังพิเศษทุกคนกำลังอยู่ในกระบวนการ
ค้นพบพลังพิเศษของคน
แต่ว่าคราวนี้มันต่างออกไป ระหว่างที่ร่างแยกเงากำลังทำ
การสอดส่องห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตรอยู่ข้างหน้า ก็ถูกมือสไนเปอร์
ยิงอัดเข้าที่ระหว่างคิ้วอย่างแม่นยำ
หลังจากร่างแยกเงาถูกยิง มันก็กลายเป็นก้อนหมอกทมิฬและ
กระจายหายไป ขณะเดียวกันพระราชวังในห้วงจิตของเริ่นเสี่ยวซู่ก็
มีหมอกทมิฬโผล่มาและค่อยๆ ก่อเป็นรูปร่างอีกครา
ดูแล้วถ้าร่างแยกเงาถูกยิงที่ระหว่างคิ้วมันก็จะสลายหายไป
ทันที อีกทั้งยังใช้เวลานานด้วยกว่าจะก่อร่างใหม่ ต้องใช้เวลาราว
สามวันถึงจะกลับมาอยู่สภาพเดิม
ทักษะการยิงปืนของมือสไนเปอร์ผู้นี้ดีมาก น่าจะอยู่ในระดับสูง
หรือไม่ก็ระดับปรมาจารย์เลยก็ได้
แม้ร่างแยกเงาจะถูกยิงไปแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังไม่รู้ว่าศัตรูอยู่
ตรงไหน เดาได้แค่คร่าวๆ ว่าอยู่สิบสองนาฬิกาแต่ตอนนี้ศัตรูยิงเป้าหมายเรียบร้อย คิดว่าน่าจะปรับตำแหน่ง
ไปแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่หอบแฮก “กระสุนนัดนี้ยิงเป้าหมายห่างออกไป
สี่ร้อยเมตร มือสไนเปอร์อยู่ทางสิบสองนาฬิกา ฉันไม่มั่นใจว่า
พวกเรายังอยู่ในระยะหวังผลของพวกศัตรูหรือเปล่า”
ระยะหวังผลของปืนสไนเปอร์นั้นไกลมาก เมื่อเอามาใช้ในป่า
เขา ก็มีพลังอำนาจน่าเกรงขามยากคาดเดา
จางเสียวหม่านที่อยู่ข้างเขาดูจะไม่ค่อยยี่หระเท่าไรนัก “ไม่นึก
เลยว่าสมาคมตระกูลจงแม่*จะซ่อนมือสไนเปอร์ไว้ในเทือกเขา
แม่*ยากแล้วไง!”
ทหารทั้งกองร้อยแยกไปอยู่ซ่อนตามหลังก้อนหิน โชคดีที่มือ
สไนเปอร์ถูกเปิดเผยเพราะเสียงปืนก่อน หน้านี้ไม่อย่างนั้นต้อง
มีทหารสักคนต้องตายไปแน่
จากนั้นจางเสียวหม่านก็ถอดหมวกกันกระสุนออก แล้วดันมัน
ออกไปนอกก้อนหินปัง! ตัวหมวกโดนกระสุนสไนเปอร์ยิงใส่เข้าอย่างแรงจน
กระเด็นลอยไป!
“ฉิบหาย” จางเสียวหม่านว่า “พวกเราอยู่ในระยะยิงของศัตรู!”
เจียวเสี่ยวเฉินที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตรตะโกนมาจากหลัง
ก้อนหิน “ผู้บังคับกองร้อย จะเอาไงต่อดี นี่มันเกมแมวจับหนูแล้ว
พวกเราได้แต่ซ่อนตัว คิดแผนด่วนเลย!”
“เอ็งน่ะสิหนู แม่*เอ้ย!” จางเสียวหม่านเดือดจัด เขาจะไปหา
ความคิดดีๆ ได้ที่ไหนล่ะ โผล่หัวไปนิดเดียวเขาก็ซี้แหงแก๋แล้ว!
อำนาจกดขี่ของสไนเปอร์บนสนามรบรู้แจ้งเห็นชัดในขณะนี้
เพียงบุคคลเดียวก็สามารถสะกดข่มทั้งกองร้อยให้รอความตายอยู่
หลังก้อนหินได้ เป็นสถานการณ์ที่ศัตรูยิงเราโดนโดยที่เราไม่อาจทำ
อะไรได้เลย
ยกเว้นแต่ว่าจางเสียวหม่านจะยอมสละคนในกองร้อยเป็น
ตัวรับกระสุน เสียสละทหารไปกลุ่มหนึ่ง เพื่อให้ทหารนายอื่นๆ ปรับ
ไปหาจุดยุทธศาสตร์ที่ดีกว่านี้มีคนแนะ “ติดต่อให้ฐานปฏิบัติการหน้าส่งกำลังสนับสนุน
มาช่วยไหม”
จางเสียวหม่านถอนหายใจแล้ว่า “กว่าจะมาก็ช้าไปแล้วล่ะ
จากฐานปฏิบัติการหน้ามาที่นี่ใช้เวลาอย่างน้อยสามวัน ถึงตอนนั้น
เจ้ามือสไนเปอร์นี่คงเรียกขอกำลังเสริมจากกำลังกองโจรสมาคม
ตระกูลจงที่อยู่ในเทือกเขาเหมือนกันแหละ”
“งั้นพวกเรารอไหม ดูสิว่าใครจะอดทนได้มากกว่ากัน” เจียว
เสี่ยวเฉินว่า “หรือไม่ก็ฉวยโอกาสตอนฟ้ามืดหลบออกไปจากที่นี่”
“ฉลาดฉิบหายเลยโว้ย! จะแข่งความอดทนกับมือสไนเปอร์เนี่ย
นะ” จางเสียวหม่านโมโหจนหัวเราะออกมา “มือสไนเปอร์
แม่*ซ่อนตัวอยู่ในป่า สโคปต้องมีระบบส่องกลางคืนแน่ ยิงพวกนาย
ได้แบบจิ๊บๆ เลย!”
เช่นนั้นเขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ หมายความว่าต้องมีคนตายที่นี่
แน่ๆ ใช่ไหม
เริ่นเสี่ยวซู่สูดลมหายใจลึก พอจางเสียวหม่านเห็นหน้าอกของ
เริ่นเสี่ยวซู่ขยับก็รู้ทันทีว่าไม่ดีแล้ว! แต่พริบตานั้นเอง เขาก็เห็นว่ารูม่านตาของเริ่นเสี่ยวซู่กลายเป็นสีโลหิต
ทลายนคร! เปิดใช้งาน!
วินาทีให้หลัง เริ่นเสี่ยวซู่ก็กระโจนออกไปจากหลังก้อนหินด้วย
ความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ!
พอเริ่นเสี่ยวซู่วิ่งออก กระสุนสไนเปอร์ก็แล่นมาตามคาด ทว่า
เริ่นเสี่ยวซู่เคลื่อนไหวเร็วเกินไป คราวนี้กระสุนพลาดเป้าไป!