the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 420 การมาถึงของสมาคมตระกูลชิ่ง
จู่ๆ กองร้อยเจียนเตาก็มีเวลาเหลือเฟือเหลือใช้ ขนาดตอนอยู่
ฐานปฏิบัติการหน้า พวกเขายังไม่รู้สึกว่างเช่นนี้เลย ตอนนั้นยังต้อง
ฝึกร่างกาย ต้องฝึกภาคสนามตามเวลาอยู่ ทว่าตอนนี้พวกเขาแค่รอ
เฉยๆ เงียบๆ พอ
เริ่นเสี่ยวซู่และจางเสียวหม่านแสดงละครให้โจวอิงหลงดู
เพราะว่าถ้าเขาเฉียงวานส่งกำลังเสริมมาที่แม่น้ำเป่ยวานแล้ว
อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางไประเบิดสะพานเป่ยวานได้
ไม่ว่ากองร้อยของพวกเขาจะมีความสามารถมากขนาดไหน ก็
ไม่อาจใช้คนแค่ร้อยแปดสิบสี่นายไปสู้กับทหารหลายพันได้หรอก
แม้แต่เริ่นเสี่ยวซู่เองก็ทำไม่ได้ อีกอย่างพวกเขาไม่มีกระสุนมาก
ขนาดจะไปรับมือศัตรูมหาศาลแบบนั้นด้วย
ส่วนโจวอิงหลงเองก็ไม่ใช่พวกตายตัว เขารู้อยู่ว่ากองร้อยทำ
ดีมากแล้ว เป็นหนึ่งกองร้อยที่ปราบทหารสมาคมตระกูลจงไปสามกองร้อยโดยไม่มีผู้บาดเจ็บเลยเป็นอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อนใน
กองทัพ
ดังนั้นเขาจึงสั่งให้กองร้อยเจียนเตาไปหาสถานที่ปลอดภัยจัด
ทัพใหม่เสีย กองร้อยเจียนเตาจะตีฝ่าแม่น้ำเป่ยวานหลังกองพัน
ทหารทัพหน้าเริ่มเปิดยิงใส่เขาเฉียงวานแล้ว
ต่อให้กองร้อยเจียนเตายังอยู่ห่างจากเทือกเขามาก พวกเขาก็
ยังไม่กล้าจุดไฟอยู่ดี ถ้าทหารสอดแนมของศัตรูพบพวกเขาและเปิด
ยิงใส่ขึ้นมาล่ะก็ คงต้องมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมายแน่
จางเสียวหม่านยิ้มลึกลับ เขาหยิบขวดเงินขนาดเล็กขึ้นมา
“ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว ดื่มกันสักนิดมะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงไป ไม่คิดเลยว่าจางเสียวหม่านจะใจกล้าขนาด
พกเหล้าลงมาในสนามรบด้วย “เสียสติไปแล้วเหรอ ดื่มไม่ได้
พวกเรากำลังรบอยู่นะ!”
คราวนี้เป็นรอบที่จางเสียวหม่านตะลึงบ้างแล้ว ปกติทุกคน
จะแบ่งเหล้าจากเขาไป และก็แค่นั้นเลย แต่พอมีเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ด้วย ก็
เหมือนมีคนคอยสำ รวจตรวจตราอยู่อย่างไรอย่างนั้นจางเสียวหม่านหน้ามุ่ย “แต่ฉันเป็นผู้บังคับกองร้อย”
“งั้นก็ดื่มไป” เริ่นเสี่ยวซู่ชะงัก “แต่ถ้าจิบไปสักคำ ฉันรายงาน
ต่อคณะกรรมการสอบสวนวินัยทหารแน่”
จางเสียวหม่าน “…”
“เรายังดื่มตอนนี้ไม่ได้” เริ่นเสี่ยวซู่พูดออกไปตรงๆ “บน
สนามรบ ไม่มีใครรู้ว่าจะมีกระสุนบินมาตอนไหน ถ้าเป็นแบบนั้นนาย
จะตั้งตัวทันเหรอไง”
พวกจางเสียวหม่านจะดื่มเหล้ากันเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ว่าหรอก แต่ว่า
ต้องไม่ใช่ตอนนี้ เขาหวังว่าทุกคนในกองร้อยเจียนเตาจะรอดไปได้
ดังนั้นไม่อาจปล่อยให้มีอะไรผิดพลาด
ระหว่างพูด เริ่นเสี่ยวซู่ก็ฉกขวดเหล้ามาจากมือจางเสียวหม่าน
จากนั้นก็เก็บลงในช่องเก็บของตัวเอง “ฉันจะเก็บไว้ให้ก่อน”
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ออกไปปล่อยเบา
มีคนหัวเราะ “เริ่นเสี่ยวซู่ทำตัวเหมือนผู้บังคับกองร้อยเรากว่า
อีก”มีคนกระทุ้งใส่จางเสียวหม่านและพูดเสียงเบาเป็นเชิงล้อ
“พวกเราไม่ให้ผู้บังคับกองร้อยดื่มทีไรก็จะหัวเสียตลอด ไหงรอบนี้
รับคำง่ายๆ นักล่ะ”
“ฉันสู้เขาไม่ได้เสียหน่อยนี่” จางเสียวหม่านโมโห “แล้วนาย
จะไปรู้อะไร ลืมไปแล้วเหรอว่าเขาคือใครน่ะ คือเริ่นเสี่ยวซู่นะ! เป็น
คนที่ผู้บัญชาการจางส่งมาที่กองร้อยเจียนเตา!”
“แล้วไง”
“ ‘แล้วไง’ อะไรวะหา” จางเสียวหม่านถลึงตามองพูด “ส่งเขา
เข้ากองร้อยเจียนเตาก็เพื่อบอกกับทั้งกองทัพว่าเขาคู่ควรเป็น
ผู้บัญชาการคนต่อไป เห็นไหมล่ะว่าเริ่นเสี่ยวซู่เจ๋งขนาดไหนน่ะ เขา
ต้องรอดไปจนถึงสงครามจบแน่ เรียกว่าเขาเป็นทายาทของ
ป้อมปราการ 178 ก็ไม่เกินไปหรอก ก่อนหน้านี้พวกเราหาเรื่องเขาก็
ช่างมันเถอะ ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ก็ต้อง
ยอมรับไปตามนั้น ใช่ไหมล่ะ”
ทุกคนคิดตามและก็พบว่ามันฟังเข้าเค้าไม่เลวชายหยาบกระด้านแห่งตะวันตกเฉียงเหนือเหล่านี้อาจจะดูดิบ
เถื่อน แต่ว่าก็ยังรู้ว่าอะไรเป็นอะไร กองกำลังอื่นๆ อาจจะยังไม่
เชื่อถือในตัวเริ่นเสี่ยวซู่ แต่ว่ากองร้อยเจียนเตายอมรับเขาเรียบร้อย
จางเสียวหม่านมองเริ่นเสี่ยวซู่เป็นผู้บัญชาการคนต่อไปแล้ว
ไม่อย่างนั้นคงไม่แสดงความเชื่อฟังเช่นนี้หรอก
“พูดตามตรงนะ ฉันชื่นชมเริ่นเสี่ยวซู่มาจากสุดห้วงหัวใจเลย”
เจียวเสี่ยวเฉินว่า “ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนอกจากที่ชอบให้คนอื่นพูด
ขอบคุณตัวเอง”
“พูดขอบคุณเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่” จางเสียวหม่านหัวเราะ “ใน
ยุคสมัยแบบนี้ มีชีวิตรอดได้ด้วยพูดคำขอบคุณก็น่าจะมีความสุข
แล้ว ไหนๆ เขาก็ชอบฟังคำขอบคุณ ก็ขอบคุณเขาอีกเถอะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งกลับมาจากปล่อยเบาได้ยินเช่นนั้นก็นั่งลงข้าง
จางเสียวหม่าน “งั้นรออะไรล่ะ เริ่มเลยสิ”
จางเสียวหม่าน “…”
ตอนนี้เองฟู่หราวที่ทำหน้าที่เฝ้ากะตอนกลางคืนก็ตะโกนผ่าน
ช่องสื่อสารว่า “แย่แล้ว! มีเรื่องใหญ่ ฉันเห็นทหารชุดใหญ่เดินทางมาจากทางใต้ ดูแล้วน่าจะเป็นทหารอิสระกรมหนึ่ง!”
จางเสียวหม่านผุดลุกขึ้นทันที ป้อมปราการ 178 ไม่มีกำลัง
ทหารประจำ การอยู่ทางใต้ ถ้ากำลังพวกนี้มาจากทางใต้ย่อมเป็น
ศัตรู
เขาถามทันที “อีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงค่ายพวกเรา”
เสียงจากช่องสื่อสารดังมา “อย่างมากก็สามกิโลเมตร”
“กองกำลังไหนมา สมาคมตระกูลจงเหรอ” จางเสียวหม่านข
มวดคิ้วมุ่นถาม
“เปล่า…สัญลักษณ์ใบแปะก๊วยขาว” ฟู่หราวว่า “เป็นทหารราบ
ยานเกราะของสมาคมตระกูลชิ่ง”
“สมาคมตระกูลชิ่ง?!” ทุกคนงุนงง
ไม่ใช่ว่าสมาคมตระกูลชิ่งกำลังสู้อยู่กับสมาคมตระกูลหยาง
อย่างดุเดือดอยู่ที่ทางใต้หรอกเหรอ ทำไมจู่ๆ ก็มีกำลังเหลือ
มาเข้ามาสนามรบทางเหนือได้ล่ะ หรือว่าสมาคมตระกูลชิ่งกับ
สมาคมตระกูลจงจะร่วมมือกัน?สงครามระหว่างสมาคมตระกูลชิ่งและตระกูลหยางนั้นเป็น
สงครามเต็มอัตรา แผนการของชิ่งเจิ่นถูกใช้ออกมาหมด แหล่ง
อุตสาหกรรมสมาคมตระกูลหยางกว่าครึ่งก็ถูกทำลาย ตอนแรก
สมาคมตระกูลหยางยังพอใช้กระสุนสำ รองสู้รบได้ แต่ผ่านไปสอง
เดือนทั้งสมาคมตระกูลหยางก็ได้แต่ตั้งรับแล้ว
ที่แนวหน้ากระสุนขาดแคลน ป้อมปราการที่ไม่ได้รับผลกระทบ
โดยตรงก็มีปัญหาเรื่องเสบียง
ชิ่งเจิ่นฉลาดมาก การสนับสนุนโจรทางเหนือทำให้สมาคม
ตระกูลหยางสะเทือนไปถึงแก่นโดยมีราคาต่ำลิบลิ่ว พวกเขาทำให้
สมาคมตระกูลหยางไม่ทันตั้งตัวอย่างแท้จริง
จางเสียวหม่านเคยบอกกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่าถ้าทหารที่เจอใน
เทือกเขาเป็นของสมาคมตระกูลชิ่ง เขาก็คงหนีไปนานแล้ว
กรมทหารราบปะทะกับทหารราบอีกกรมนั้น ใครจะชนะยาก
บอกได้ แต่ว่าถ้ากองร้อยไปเจอกับทหารกรมหนึ่งล่ะก็ ต่อให้
ขีดความสามารถจะพอๆ กันทางกองร้อยก็แพ้อยู่ดี ดังนั้นกรมทหาร
อิสระที่จู่ๆ ก็ขึ้นเหนือมาจึงฟังดูไม่ได้เป็นข่าวดีอะไรเลยมีแค่เริ่นเสี่ยวซู่ที่ยังนั่งนิ่งอยู่ข้างกองไฟ จางเสียวหม่านว่า
“ถอยไปรวมพลกับผู้บัญชาการกองพันโจวที่เขาเฉียงวานกันก่อน
เถอะ พวกเราสู้กรมทหารอิสระจากสมาคมตระกูลชิ่งไม่ไหวแน่”
แต่เริ่นเสี่ยวซู่แทรก “พวกเขาอาจจะไม่ได้มาสู้กับเรา”
“นายบ้าไปแล้วเหรอ” จางเสียวหม่านตกใจ “จู่ๆ โผล่มาใกล้
เราแบบนี้จะไม่ได้มาโจมตีเราได้ยังไง”
แต่ฟู่หราวก็โพล่งมาในช่องสื่อสารก่อนว่า “เดี๋ยวก่อนผู้บังคับ
กองร้อย ทหารราบยานเกราะพวกเขาหยุดเคลื่อนตัวแล้ว ฉันเห็นเขา
ส่งคนออกมาหาพวกเรา”
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจและยืนขึ้น “พวกเขาน่าจะมาหาฉันนะ”
ทุกคนในกองร้อยเจียนเตาผงะ จะบอกว่าสมาคมตระกูลชิ่ง
ส่งทหารราบยานเกราะชุดใหญ่ถ่อขึ้นเหนือมากลางค่ำกลางคืนเพื่อ
มาหานายน่ะนะ?
เริ่นเสี่ยวซู่มองลงไปทางใต้และรออย่างเงียบสงบ เขาเองก็ไม่
มั่นใจนักว่าสมาคมตระกูลชิ่งมาทำไม
จนกระทั่งเขาเห็นถังโจว