the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 422 ทุกคนต้องรอด
ตอนแรกทุกคนยังกังวลอยู่เลยว่าจะเอาอย่างไรกับปฏิบัติ
การระเบิดสะพานเป่ยวาน แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงแล้ว
จางเสียวหม่านรู้สึกว่าเวลาสู้เคียงข้างกับเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว อะไรๆ
ก็ดูจะราบรื่นไม่น้อย ถ้าไม่นับการรบที่ตำบลฉือชวน ตอนที่พวกเขา
คิดจะโจมตีกำลังเสริมเต็มสูบที่แม่น้ำเป่ยวาน สมาคมตระกูลชิ่งก็
ก้าวออกมาพูด “ไม่ต้องกลัว พวกเราเป็นเพื่อนของเริ่นเสี่ยวซู่ ปล่อย
ให้พวกเราสู้แทนพวกนายเอง!”
หรือว่าเขาคือ ‘ลูกรักสวรรค์’ จริงๆ?
ถึงว่าทำไมผู้บัญชาการจางถึงเลือกเขามา!
แน่นอนว่าจางเสียวหม่านสงสัยอยู่ว่าผู้บัญชาการจะเลือกเริ่น
เสี่ยวซู่เพียงเพราะสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับสมาคมตระกูลชิ่งจริงๆ
หรือ“งั้นพวกเราเอาไงต่อ” จางเสียวหม่านนั่งบนพื้น คิดอะไรไป
เรื่อยเปื่อย “ถ้าสมาคมตระกูลชิ่งช่วยเราโจมตีแม่น้ำเป่ยวานงี้
พวกเราก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้วสิ”
จู่ๆ ทันใดกองร้อยเจียนเตาก็กลายเป็นกองกำลังที่ว่างที่สุดใน
สนามรบตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ไปเสียได้
พวกเขาต้องคุยเรื่องนี้กับโจวอิงหลง และเขาเองก็ตัดสินใจ
อย่างรวดเร็วด้วยการสั่งให้กองร้อยเจียนเตาไปเขาเฉียงวานในสอง
วันจากนั้นให้โจมตีใส่จุดยุทธศาสตร์ป้องกันกับกองพันทหารทัพ
หน้าที่เหลือ พวกเขาจะเข้าโจมตีพร้อมกับสมาคมตระกูลชิ่ง ทาง
สมาคมตระกูลจงจะได้ตอบโต้ไม่ทัน
ส่วนที่ว่าสมาคมตระกูลชิ่งจะระเบิดแม่น้ำเป่ยวานทิ้งได้
หรือเปล่านั้น ทางป้อมปราการ 178 มีแผนสำ รองในกรณีที่พวกเขา
ทำไม่สำ เร็จแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำ เป็นต้องตามสมาคมตระกูลชิ่งไป
แม่น้ำเป่ยวานด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่มองร่างแยกเงาเงาขมุกขมัวในพระราชวังและว่า
“พวกเราค่อยเดินทางพรุ่งนี้ได้ไหม”จางเสียวหม่านลองคำนวณเวลาดู “ไม่ทัน พวกเรายังอยู่ห่าง
เขาเฉียงวานกว่าร้อยกิโลเมตร ต่อให้เดินทัพสุดตัวก็ไปถึงแทบไม่ทัน
ในสองวัน”
ปกติแล้ว ทหารที่แบกยุทธปกรณ์หนักสามารถเดินทางได้ราวๆ
ห้าสิบกิโลเมตรต่อวัน ถ้าฝืนก็สามารถเดินทางด้วยความเร็วสิบ
กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ แต่พวกเขาคงเคลื่อนที่ไวเช่นนั้นไม่ได้
แต่ละคนต้องแบกของกว่าสามสิบกิโลกรัม ทนเหนื่อยไม่ไหว
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งและว่า “งั้นก็ได้ แค่ระวังให้มากตอน
เดินทางเอา”
พอไม่มีร่างแยกเงาคอยนำทาง ปัจจัยเสี่ยงก็สูงขึ้นมาก เริ่น
เสี่ยวซู่หวังว่าพวกเขาจะรอให้ร่างแยกเงากลับมาก่อนถึงเดินทาง
อีกครั้ง แต่จางเสียวหม่านไม่ฟังเขาแน่ คำสั่งทหารไม่ใช่อะไรที่จะขัด
ได้
วันต่อมา กองร้อยเจียนเตาออกเดินทางขึ้น
ตะวันตกเฉียงเหนือไปเขาเฉียงวาน ระหว่างทางจางเสียวหม่านไม่ลดความระวังแม้แต่ครั้งเดียว ทหารเก่งกาจที่สุดอย่างฟู่หราว
หลินผิงอัน และเริ่นเสี่ยวซู่จะสลับกันไปสอดแนมข้างหน้าอยู่ตลอด
พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าจางเสียวหม่านจัดการสถานการณ์อย่าง
จริงจังก็วางใจได้ในที่สุด เขาถึงกับอาสารับกะสอดแนมนานขึ้น เขา
เดินทางนำขบวนไปกว่าสองในสาม
เริ่นเสี่ยวซู่บอกว่าให้เขาคอยประจำ จุดตลอดการเดินทัพเลย
ก็ได้ แต่จางเสียวหม่านและคนอื่นๆ ไม่ยอม บอกว่าจะให้เขา
รับหน้าที่ไปทำหมดมันไร้สาระ พวกเขาเป็นสหายร่วมรบกัน ไม่อาจ
ปล่อยให้เขารับความเสี่ยงคนเดียวได้หรอก
ตอนบ่าย ฟู่หราวเพิ่งจะเข้าไปประจำ จุด เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยิน
เสียงปืนดังมาจากช่องเขาข้างหน้า ตามมาด้วยเสียงร้องเจ็บปวด
จากฟู่หราว
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงจางเสียวหม่าน
ตะโกนให้หมอบ “หาที่กำบัง! ในช่องเขามีศัตรู!”
ทั้ง
กองร้อยหมอบลงและก็เห็นฟู่หราวนอนบนพื้นในช่องเขา
พร้อมกับมีเลือดทะลักออกมาจากท้อง เขาตะโกน “ไม่ใช่การซุ่มโจมตี! เป็นการรบปะทะ! ศัตรูเรามีทั้งกองร้อยเต็ม ปล่อยฉันไว้เลย!”
เริ่นเสี่ยวซู่มองภาพนี้อย่างเงียบงับ การรบปะทะเป็นเรื่องทั่วไป
ในสงคราม แต่ว่าพวกเขาโชคร้ายอยู่บ้าง ตอนที่เจอศัตรู พวกเขา
เห็นเพียงแต่ฟู่หราวข้างหน้าแต่กลับไม่เห็นศัตรูที่หลบอยู่ในช่องเขา
จางเสียวหม่านกระซิบ “การรบปะทะแบบนี้ แสดงว่าศัตรูเองก็
ไม่คิดว่าจะเห็นพวกเราเหมือนกัน ดูเหมือนว่าทหารพวกนี้คิด
จะอ้อมไปแนวหลังของกองพันทหารทัพหน้า”
ทหารบางส่วนจากเขาเฉียงวานถูกส่งมาเป็นกำลังเสริมที่แม่น้ำ
เป่ยวาน แต่ว่าป้อมปราการ 178 ไม่ทราบว่าเขาไปที่นั่นหมดแล้ว
หรือยัง
ปัง! กระสุนอีกนัดหนึ่งดังมาจากในช่องเขา ศัตรูที่ซ่อนอยู่หลัง
สันเขายิงใส่ฟู่หราวอีกครั้ง
ศัตรูตั้งหลักอยู่ในภูมิประเทศคับแคบของช่องเขา ถ้ามีศัตรู
เป็นกังวลกว่าว่าคู่ต่อสู้จะไม่รีบเข้ามาช่วยเพื่อนทหารของคน เพราะ
อย่างนั้นจึงกะจะค่อยๆ ทรมานฟู่หราวด้วยหวังว่าจะล่อกองร้อน
เจียนเตาให้บุกฝ่ามาแต่ฟู่หราวเองก็ใจเด็ดเดี่ยว เขารู้ดีว่าต้องเจอกับอะไร แม้จะ
ถูกกระสุนนัดที่สองยิงขาก็ไม่ร้องสักแอะ
“ไม่ต้องห่วงฉัน! ติดต่อให้กองพันทหารทัพหน้ามาล้อม
พวกเขาซะ!” ฟู่หราวคำราม
เริ่นเสี่ยวซู่อยากจะโยนระเบิดมือใส่ศัตรู แต่ถ้าศัตรูรู้ว่าที่นี่มีผู้
มีพลังพิเศษอยู่ด้วยหลังระเบิดมือลูกแรกถูกปล่อยไปแล้ว พวกเขาก็
อาจจะฆ่าฟู่หราวทันทีก่อนจะรีบเร่งถอยร่นไป กองร้อยเจียนเตาและ
เริ่นเสี่ยวซู่ย่อมชนะในการรบปะทะนี้ แต่ว่าชีวิตฟู่หราวก็จะดับสิ้นไป!
เริ่นเสี่ยวซู่ยืนขึ้น ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางฟู่หราวผ่าน
ภูมิประเทศสูงต่ำของภูเขา จางเสียวหม่านพูดอย่างเป็นกังวลว่า
“ศัตรูวางแผนไว้แล้ว พวกเราตกหลุมพรางไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้
นายกับฉันเป็นทหาร และฟู่หราวก็รู้ว่าต้องทำอะไร ทุกคนก็ควรรู้
อยู่แล้วว่าถ้าให้เป็นฉันที่นอนกองกับพื้นนั่น ฉันก็ไม่อยากให้ใคร
มาช่วยเหมือนกัน”
เริ่นเสี่ยวซู่มองกลับไปที่จางเสียวหม่านและพูดเสียงนิ่งว่า “ฉัน
บอกแล้วว่าทุกคนต้องรอด”จางเสียวหม่านมองไปที่เริ่นเสี่ยวซู่ด้วยความตะลึง พลันรู้สึก
ได้ถึงเปลวเพลิงแห่งความศรัทธาลุกโชนอยู่ในใจ
เขาเห็นรูม่านตาของเริ่นเสี่ยวซู่กลายเป็นสีแดงชาดอีกครั้ง ใน
ห้วงลึกของนัยน์ตามีแมกมาหมุนวน
เริ่นเสี่ยวซู่วิ่งปราดราวเสือชีตาห์ ขณะเดียวกันคำพูดของเขาก็
ยังดังร้องกังวานอยู่ในหูของจางเสียวหม่าน
จางจิ่งหลินเคยบอกกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ชีวิตควรเป็นดั่งเทียนไข
ที่เผาไหม้ส่องสว่างจนถึงห้วงสุดท้าย”
โลกอันมืดมิดใกล้พังพินาจ แต่ก่อนที่มันจะพังทลายไปอย่าง
สิ้นเชิง เปลวไฟก็ควรลุกโชนต่อไป
และนั่นคือสิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังหมกมุ่นอยู่
จางเสียวหม่านลดเสียงลดต่ำและพูด “ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ไปถึงตัว
ฟู่หราวได้ก็ยิงกดใส่พื้นที่เปิดในช่องเขาเลย อย่าปล่อยให้ศัตรู
มีโอกาสยิงใส่พวกเขาได้”
เริ่นเสี่ยวซู่กระโจนออกไป ทางเข้าช่องเขาเป็ดดั่งประตูเปิด
ส่วนภูมิประเทศสูงต่ำข้างๆ เป็นดั่งกำแพงตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ทะยานข้าม ‘ประตู’ กว้างสี่เมตรเรียบกำแพง
นั้น
ก็เหมือนกับว่าร่างเขากำลังบินต่ำทะยานไป
ขณะ ‘บิน’ อยู่กลางอากาศนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็คว้าแขนฟู่หราว
และใช้โมเมนตัมดึงเขาให้ออกห่างจาก ‘ประตู’
ตอนที่ทหารสมาคมตระกูลจงเห็นร่างเริ่นเสี่ยวซู่ พวกเขาก็เปิด
ยิงอย่างบ้าคลั่งใส่ แต่ว่าพวกเขายังไม่ทันได้ลั่นไก เริ่นเสี่ยวซู่ก็พา
ฟู่หราวไปแล้ว!
ในชั่วพริบตาที่เริ่นเสี่ยวซู่บินผ่านทางเข้าช่องเข้านั้น เขาก็พบ
ตำแหน่งศัตรูเรียบร้อย ก่อนที่เขาจะถึงพื้นอีกครั้ง ก็จัดการปา
ระเบิดมือออกไปสามลูก
จางเสียวหม่านตะโกน “บุก! เอาให้หนัก! ทหารเสนารักษ์อยู่
ไหนโว้ย! ไปช่วยพวกเขาเร็ว!”
พอเริ่นเสี่ยวซู่ถึงพื้น ก็อยู่ในท่าที่ทับฟู่หราว เพราะแรงเฉื่อย
จากตอนช่วยเหลือ เขาเลยทำไหล่ฟู่หราวหลุด เริ่นเสี่ยวซู่พูด “โทษที
ฉันควบคุมพละกำลังตัวเองไม่ได้”ฟู่หราวหัวเราะเสียงแห้งและว่า “จะมาพูดเรื่องควบคุม
พละกำลังอะไรอีก! ฉันไม่ตายก็ดีฉิบแล้ว! ทหารเสนารักษ์อยู่ไหน
ไสหัวมาเร็ว ฉันว่าฉันยังรอดได้อยู่ว่ะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดกับทหารเสนารักษ์ที่รีบเข้ามา “เอากระสุนออก
ก่อนแล้วใช้ยาดำที่ฉันให้ทาบนแผล”
พูดจบก็นำพุ่งบุกเข้าไปในช่องเขา!