the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 423 ประจักษ์พยานภาพแห่งประวัติศาสตร์
- Home
- the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 423 ประจักษ์พยานภาพแห่งประวัติศาสตร์
ฟู่หราวที่เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากไปเมื่อครู่กำลังร้อง
โอดโอยด้วยความเจ็บปวด อาการบาดเจ็บของเขาเป็นเหมือนกับที่
เริ่นเสี่ยวซู่เคยเจอตอนก่อนนู้น อาการบาดเจ็บจะค่อยๆ หายดี
หลังจากยาดำที่ทาบนผิวหนังซึมลงไปหมดแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่เตือนเขา
ย้ำอีกรอบว่าห้ามเอายาเข้าปาก ไม่อย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็
ไม่อาจทราบได้
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่และคนอื่นๆ กลับมาหลังจากจัดการกองร้อย
สมาคมตระกูลจงได้แล้ว ฟู่หราวก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาขอบคุณ
เริ่นเสี่ยวซู่
สถานการณ์ก่อนหน้า ทุกคนรู้ว่าทางเลือกที่ดีที่สุดของ
กองร้อยเจียนเตาคือปล่อยให้ฟู่หราวตายไปอย่างรวดเร็วเสีย
จากนั้นพวกเขาค่อยล้างแค้นให้ถ้าเป็นเมื่อก่อน ยามเจอสถานการณ์เดียวกันนี้ พวกเขาก็
จะทำเช่นนั้น
จางเสียวหม่านมองฟู่หราวที่ขยับตัวไปมาและด่า “ไหล่หลุดนี่
ต่อแล้วสิ ตอนนี้คือสบายดีแล้ว? นอนลงพักเหอะ! พี่น้อง ทำเปล
สนามให้เขาหน่อย เอ็งนอนบนเปลสนามอย่างเชื่อฟังจนกว่าจะหาย
ดีไปเลยนะ”
ฟู่หราวที่ใบหน้าซีดขาวหันไปหาเริ่นเสี่ยวซู่ “ขอบคุณนะ”
[ได้รับขอบคุณจากฟู่หราว +1!]
คำขอบคุณนี้จริงใจนักเพราะได้มาจากการช่วยชีวิตอย่าง
แท้จริง เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มและกล่าวว่าให้ฟู่หราวหายไวๆ จากนั้นก็ออก
ไปให้ทหารเสนารักษ์เอาผ้าพันแผลตนเอง ตอนเริ่นเสี่ยวซู่วิ่งออกไป
ช่วงชุลมุน เขาก็โดนยิงที่ไหล่เช่นกัน
แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้ว่าด้วยยาดำ แผลแบบนี้อย่างมากสามวันก็หาย
ดีแล้ว
ตอนที่ทหารเสนารักษ์พันแผลให้เริ่นเสี่ยวซู่ เขาก็พูดอย่าง
แปลกใจ “เริ่นเสี่ยวซู่ กล้ามเนื้อนายแข็งขนาดกระสุนเจาะเข้าได้แค่นิ้วเดียวเองเหรอ!”
ทุกคนมารวมกันรอบเริ่นเสี่ยวซู่และมองแผลเขาอย่างสนใจ
ใครรู้ “นี่มันผิวทองแดงกระดูกเหล็ก”
จางเสียวหม่านนั่งขัดสมาธิบนพื้นอยู่ข้างฟู่หราว แทนที่จะไปดู
แผลของเริ่นเสี่ยวซู่ เขากำลังก้มหน้าคิดอะไรบางอย่างอยู่
ฟู่หราวมองจางเสียวหม่านและถาม “ผู้บังคับกองร้อยคิดอะไร
อยู่น่ะ”
“ไม่มีอะไรมากหรอก” จางเสียวหม่านพูดเสียงค่อย “ก่อนที่ฉัน
จะออกมาสู้รบ ฉันบอกภรรยาว่ารอบนี้อาจจะกลับไปไม่ได้แล้ว ยังไง
พวกเราก็รู้ว่ากองร้อยเจียนเตามันอันตรายแค่ไหน ดังนั้นฉันเลย
บอกเธอไว้ล่วงหน้า เธอจะได้ไม่เสียใจมาก”
ฟู่หราวไม่เอ่ยอะไร เพียงฟังจางเสียวหม่านพูดกับตัวเอง
“คนในป้อมปราการ 178 คิดกันตั้งแต่เด็กว่าการได้ตายบนสนามรบ
เป็นเกียรติยศประการหนึ่ง แต่ถ้าพวกเรามีโอกาสได้เลือก ใครมัน
จะอยากตายเป็นผีสางแบบนั้นล่ะ นายคิดว่าไง”
ฟู่หราวเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะว่า “ใครจะอยากตายล่ะ”“ตอนนี้ต่อให้พวกเราอยากตายก็ตายไม่ได้” จางเสียวหม่าน
พูดด้วยรอยยิ้มช่วยไม่ได้ “อยู่ๆ ก็มีคนบ้าคลั่งโผล่มาบนสนามรบ
และบอกว่าเขาจะทำให้พวกเราทุกคนรอดไปกันหมด ไม่ให้ลดน้อย
ไปแม้แต่คนเดียว…บ้าชะมัดยาด”
จางเสียวหม่านจะอายุสามสิบปีนี้แล้ว เขาอาศัยอยู่ใน
ป้อมปราการ 178 มายี่สิบเจ็ดปี และใช้ชีวิตสามปีอยู่ป้อม
สังเกตการณ์นอกป้อมปราการ
ช่วงที่เขาอยู่ในป้อมสังเกตการณ์มันลำบากมาก
ช่องทางสื่อสารอะไรก็ไม่มี เรื่องบันเทิงอะไรไม่ต้องพูดถึง อากาศก็
หนาวทั้งปี เขาอยู่บนพื้นที่สูงที่เย็นจนแทบไม่เคยเหงื่อออกเลย
เพื่อกันไม่ให้ทหารพัฒนาภาวะไตวาย พวกเขาเลยทำการฝึก
ร่างกายรอบเตาไฟเรียกเหงื่อ
ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ พวกเขาแทบไม่ได้
ดื่มน้ำเลยเพราะเป็นน้ำแข็งหมด เพื่อนทหารที่ทำหน้าที่เฝ้ายามก็
จะเคี้ยวน้ำแข็งแทนหากเกิดอยากดื่มน้ำขึ้นมาสิบปีแห่งความลำบากยากเข็ญ แต่กระนั้นความฝันยังดำรง
คนทั่วไปคนไม่เข้าใจหรอกว่าการเคี้ยวน้ำแข็งมันสภาพน่าเวทนา
ขนาดไหน
ตอนจางเสียวหม่านออกมาสนามรบรอบนี้ เขาเตรียมตัว
จะตายไว้แล้ว ก็อย่างที่เขาว่า ในสงคราม จะไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตาย
ได้อย่างไร!
ยามทหารตายในการสู้รบ หากไม่สามารถนำร่างกลับมาทำพิธี
ได้ เพื่อนทหารก็จะหักฟันพวกเขาออกมาซี่หนึ่ง ก่อนจะนำไปวางไว้
ใต้ระฆังทองแดงของป้อมปราการ 178 ทำเช่นนั้นก็เพื่อถือว่าสหาย
ผู้ล่วงลับได้กลับสู่มาตุภูมิแล้ว
และก็เพื่อว่าวิญญาณพวกเขาจะสามารถกลับบ้านมาได้
ทหารเก่าแก่ในป้อมปราการ 178 ต่างพูดว่ายามระฆังทองแดง
ถูกตี ผู้ล่วงลับก็จะคอยเฝ้ามองอยู่
แต่รอบนี้มันแปลกไปอยู่บ้าง คนคลั่งโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้
อ้างว่าจะพาทุกคนรอดชีวิตกลับบ้านไป“มีแต่คนคลั่งเท่านั้นแหละถึงจะพูดอะไรแบบนั้นเนอะ?” จาง
เสียวหม่านถามฟู่หราว
ฟู่หราวพูดเสียงนิ่ง “แต่ฉันชอบเจ้าคนคลั่งผู้นี้นะ ได้เป็นสหาย
ร่วมรบกับเขานอกจากความยินดีแล้ว ยังรู้สึกเป็นเกียรติด้วย”
“รู้สึกเป็นเกียรติ?”
“เขาจะได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการป้อมปราการ 178 เราในอนาคต
ตอนนี้นายกับฉันกำลังเป็นประจักษ์พยานภาพแห่งประวัติศาสตร์”
…
หลังจากจัดระเบียบอะไรใหม่ได้หน่อยแล้ว จางเสียวหม่านก็
พาทุกคนกลับมาจุดที่เพิ่งสู้กันเสร็จ เขาคิดพักหนึ่งก่อนว่า “ทุกคน
ฟัง ระหว่างทางไปเขาเฉียงวาน พวกเราอาจจะปะทะกับทหาร
สมาคมตระกูลจงอีกก็ได้ งั้นพวกเราเปลี่ยนไปใส่เครื่องแบบทหารที่
ตายไป แสร้งว่าเป็นกองร้อยของสมาคมตระกูลจงดีไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่กลอกตา “แล้วถ้าผู้บัญชาการกองพันโจวยิง โป้ง
เดียวพวกเราจอดเลยล่ะ”จางเสียวหม่านพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง “พวกเราอ้อมไม่ให้เจอ
พวกเขาก็ได้มั้ง”
“แต่ว่าเครื่องแบบศพมีทั้งรูกระสุนมีทั้งรอยเลือด ถ้าแสร้งว่า
เป็นกองร้อยแตกพ่าย มองแวบแรกอาจจะไม่ชัดเจนนะ แต่คนที่
สายตาดีต้องคิดแน่ แม่*คนอะไรวะโดนยิงที่อกแล้วยัง
กระโดดโลดเต้นได้อีก” เจียนเสี่ยวเฉินพูดอย่างหมดคำจะพูด “ผู้
บังคับกองร้อยเลิกฝันหวานสักทีได้ไหม อีกอย่างพวกเขาจะจำ เพื่อน
ร่วมทัพไม่ได้เลยเหรอไง”
จางเสียวหม่านวิเคราะห์ “คิดดูนะ ถ้าฉันวิเคราะห์ถูกล่ะก็นะ
สมาคมตระกูลจงอ้างว่าตนเองมีทหารสองแสนกว่านาย คิดเหรอว่า
เจอกันบนถนนแล้วพวกเขาจะจำ หน้ากันได้น่ะ ทหารเราใน
ป้อมปราการ 178 ช่วงเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ในป้อมปราการเดียวกัน
ทั้ง
ปี ไม่เจอหน้ากันคงยาก ต่อให้พวกเราไม่รู้จักทุกคน แต่ก็ยังคุ้นๆ
หน้าคนได้อยู่ แต่ทหารสมาคมตระกูลจงอยู่แยกกันไปหลาย
ป้อมปราการ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะไม่รู้จักเพราะเพิ่งถูกโยกย้าย
สำ หรับสงคราม”ทุกคนหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ ใบหน้าจางเสียวหม่านทะมึนไป
“ฉันเป็นผู้บังคับกองร้อยนะเฟ้ย ฉันเป็นคนตัดสินใจ ทำไมถึงหันไป
มองเริ่นเสี่ยวซู่กันหมดเลยวะ คำพูดของพลทหารมีน้ำหนักกว่าของ
ฉันอีกเหรอ!”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดกับจางเสียวหม่านเสียงเข้ม “แผนนี้ไม่รอดหรอก
”
“อืม…” จางเสียวหม่านตอบ
เจียวเสี่ยวเฉินแทรก “หลังจากจำ กัดไปสี่กองร้อย พวกเรายัง
ไม่มีใครตายเลย ไอ้กองร้อยเฟยอิง (เหยี่ยวทะยาน) ผายลมสุนัขของ
กองพันลาดตระเวนก็ทำแบบเราไม่ได้”
กองร้อยเจียนเตาแห่งกองพันทหารทัพหน้าและกองร้อยเฟย
อิงแห่งกองพันลาดตระเวนเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด สิบอันดับ
แรกในการแข่งขันกองทัพมีกองร้อยเฟยอิงตลอด ทักษะการยิงปืน
แม่นยำ วินัยเคร่งครัด มีทักษะหลากหลาย ถึงกับมีพลสไนเปอร์อยู่
ในชั้นยศด้วยสำ หรับพวกเขาแล้ว กองร้อยเจียนเตาก็แค่อันธพาลกลุ่มหนึ่งที่
เป็นแต่ใช้วิธีนอกคอก พวกเขาต่างหากถึงจะเป็นทหารชั้นสูงอย่าง
แท้จริง
ส่วนที่กองร้อยเจียนเตามองนั้น คือพวกเขาเป็นคนที่สู้ชนะการ
รบยากๆ ถ้าทั้งสองฝั่งมาเจอกันขณะการฝึกซ้อม อย่างไรก็ต้อง
กลายเป็นคู่แข่งกัน
แน่นอนว่าพวกเขาผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ อัตราคือสามต่อ
เจ็ด กองร้อยเจียนเตาชนะสาม ส่วนกองร้อยเฟยอิงชนะเจ็ด…
ตอนนี้พวกเขาสร้างผลงานใหญ่ได้ ย่อมต้องมีระดับเหนือกว่า
กองร้อยเฟยอิงแน่ จางเสียวหม่านโพล่งขึ้นมา “ฉันไม่ชอบหน้าพวก
เฟยอิงมาตลอด พวกเขาตอนอยู่ฐานไม่ยอมเรียกชื่อจริงกัน เรียกกัน
ด้วยฉายาตลอด ทำตัวเยอะฉิบ”