the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 426 คิดว่าตัวเองเป็นใครวะนั่น
จางจิ่งหลินให้เวลาโจวอิงหลงครึ่งเดือนยึดเขาเฉียงวาน เขา
ถึงกับส่งกองพันปืนใหญ่อีกกองพันหนึ่งมาช่วยให้ยิงสนับสนุนเพิ่ม
ขีดความสามารถ แต่ใครจะไปนึกว่าหลังถูกสมาคมตระกูลชิงปราบ
ที่แม่น้ำเป่ยวานแล้วทหารสมาคมตระกูลจงจะทิ้งตำแหน่งบนเขา
เฉียงวานไปเลย
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน พวกเขาคงหนีสำ เร็จพร้อมกับ
เหลือกำลังอีกมาก แต่โชคร้ายที่เรือโดนกองร้อยเจียนเตากับเริ่น
เสี่ยวซู่ระเบิดทิ้งหมดแล้ว
สมาคมตระกูลจงทำการดึงแนวป้องกันตลอดสาย ส่วน
กองพันทหารช่างของป้อมปราการ 178 ก็ทำการสร้างสะพานแพ
ข้ามแม่น้ำเฮยสือได้สำ เร็จ สะพานแพที่สร้างโดยใช้เทคโนโลยีวิศก
รรมและเครื่องจักรทรงพลังในยุคปัจจุบันนั้น กองกำลังยานเกราะ
สามารถขับผ่านไปได้อย่างไร้ปัญหาพอป้อมปราการ 178 สร้างแนวป้องกันบนอีกฝากของแม่น้ำได้
แล้ว ถนนสายขึ้นเหนือจะนับว่าเปิดได้สร้างสมบูรณ์
ถ้าทุกอย่างราบรื่น ป้อมปราการ 178 ก็คงคืบหน้าขึ้นเหนือยึด
แนวหน้าที่เขาอู่ชวนดังดั่งห้อม้าที่ราบอย่างไร้อุปสรรค
ทว่าก็เห็นชัดในอนาคตว่าแนวหน้าเขาอู่ชวนจะกลายเป็น
สนามรบนองเลือด ทหารของสมาคมตระกูลจงและป้อมปราการ
178 มากมายต้องถูกฝั่งกลบอย่างไม่อาจกลับหวนคืนมาตุภูมิได้
ทหารราบยานเกราะของสมาคมตระกูลชิ่งได้กลับไปแนวหน้า
ตัวเองสู้รบกับสมาคมตระกูลหยางต่อแล้ว เป็นดั่งที่ถังโจวบอกเริ่น
เสี่ยวซู่แล้ว พวกเขาไม่มีความคิดจะสู้กับสงครามของแดนเหนือ
พวกเขาเพียงมาส่งของขวัญแทนหลัวหลานเท่านั้น
ส่วนโจวอิงหลงก็พอใจกับผลลัพธ์การรบที่เขาเฉียงวานมาก
ถึงจะมีผู้ล้มตายบ้าง แต่ก็น้อยกว่าที่คิดไว้
พวกเขาไล่ล่าไปทางแม่น้ำจนทหารสมาคมตระกูลจงถูกบีบให้
กระโดดลงน้ำไปทีละคน แต่โจวอิงหลงก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะเห็นเงาบางสายไล่ล่ากัดทหารสมาคมตระกูลอยู่ใต้น้ำ เพียงไม่มีกี่นาที
แม่น้ำสีเหลืองก็กลายเป็นสีโลหิต
แม่น้ำยุคสมัยนี้ไม่ได้ปลอดภัยอะไรแล้ว
โชคดีน้ำหลากที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่ถูกโถมใส่นั้นเป็นเพียงแค่
น้ำแข็งละลายจากบนเขา ไม่มีสัตว์แปลกๆ อยู่ในนั้นด้วย
โจวอิงหลงยืนมองผิวน้ำอยู่ริมฝั่ง เขาพยายามติดต่อไปยัง
กองร้อยเจียนเตา แต่ว่าโทรไม่ติดเลย
เขาให้ลูกน้องตรวจดูมามีทหารสมาคมตระกูลจงไหนส่งข่าว
พวกเริ่นเสี่ยวซู่กลับศูนย์บัญชาการของสมาคมตระกูลจงไหม แต่ว่า
ก็ไม่พบว่ามี
สมาคมตระกูลจงรู้ว่ามีคนยึดเรือตัวเองไป แต่ไม่รู้ว่าจะมุ่งไป
ทางไหน
ว่าตามตรรกะแล้ว ถ้าไม่อยากตายก็คงไม่มีทางขับเรือไปทาง
พื้นที่ของสมาคมตระกูลจง
ทุกคนนึกว่าพอกองร้อยเจียนเตายึดเรือได้แล้ว ก็คงจะกลับมา
เข้าร่วมกับกองพันทหารทัพหน้าในอีกไม่ได้นาน แต่กองร้อยเจียนเตาเพียงแค่หายตัวไปอย่างนั้นเลย
อย่างไรก็ไม่มีคนนึกว่าพวกเขาจะโชคร้ายจัดจนเครื่องยนต์
โดนศัตรูยิงใส่
ตอนนี้จางเสียวหม่าน เจียวเสี่ยวเฉิน และคนอื่นๆ กำลัง
นอนแผ่ดูดาวอยู่บนดาดฟ้าเรือ ภาพกาแล็กซี่ใหญ่บนท้องรัตติกาล
ดาราดาษทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง
แต่ว่าที่จริงใช่ว่าพวกเขาจะมีอารมณ์มาดูดาวอะไรหรอก แต่
ที่มานอนบนดาดฟ้าเรือก็เพราะว่ามันลุกไปอาเจียนลงแม่น้ำได้
สะดวกกว่าต่างหาก พวกเขาอาเจียนแต่น้ำล้วนๆ มาตลอดบ่าย
จางเสียวหม่านพูดเสียงอ่อนแรง “พวกเราน่าจะสู้กับทหาร
สมาคมตระกูลจบนชายฝั่งต่อ”
“ใช่เลย ใช่เลย…” เจียวเสี่ยวเฉินตอบ “ได้ยินจากผู้บัญชาการ
กองพันโจวว่ารู้สึกเหนื่อยตอนอยู่ที่ฐานทัพเมื่อไรก็จะลากลับบ้าน
พอได้ยินลูกชายเรียกตัวเองว่า ‘ปะป๊า’ แล้วก็เหมือนเติมพลังงานเลย
เฮ้ย เอางี้มะ ตอนนี้ฉันรู้สึกจะตายละ เรียกฉันว่าเป็น ‘ปะป๊า’ หน่อยดิ
”มีคนตะโกน “ไอ้***! ถ้าฉันมีแรงนะ ฉันลุกไปกระทืบเอ็งแน่!”
พูดตามตรง ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้พวกเขาเมาเรืออยู่ คงจะลุกไป
รุมยำเจียวเสี่ยวเฉินแล้วแน่นอน
หลินผิงอันที่อยู่ข้างๆ ถาม “ไหนๆ ทุกคนก็แต่งงานกันหมด
แล้ว อยากมีลูกก็แค่ไปขอภรรยา ฉันนี่สิ แฟนยังไม่มีเลย! ก่อน
จะออกมารบ ฉันอยากจะไปสารภาพกับสาวสักหน่อย แต่สุดท้ายก็
ไม่กล้า”
“ทำไมไม่กล้าล่ะ” จางเสียวหม่านถาม
หลิงผิงอันชะงักไปพักหนึ่ง “เพราะมีนายทหารจากกองพลน้อย
ยานเกราะกำลังจีบเธอเหมือนกันน่ะสิ ฉันรู้สึกตัวเองด้อยกว่าเขา”
หลิวผิงอันที่ปกติไม่หวาดเกรงอะไรกลับมาขี้ขลาดในเรื่องนี้
เสียได้
จางเสียวหม่านพูดอย่างไม่พอใจ “มีคนตั้งเยอะแยะที่
เหนือกว่านาย เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครวะ!”
หลิงผิงอัน “…”
ฉันไปขอให้เอ็งปลอบทำไมวะเนี่ย“แต่ผิงอันเว้ย พูดจริงๆ เลยนะ หลังกลับไปนายต้องได้เลื่อน
หลายขั้นแน่ พอยศนายสูงกว่าเขาแล้วก็ไม่ต้องกลัวอีกไง”
ทันใดนั้นทุกคนก็เริ่มเป็นห่วงถึงอนาคตตัวเอง ในฐานะเป็น
กองร้อยหนึ่ง พวกเขาได้จัดการศัตรูไปห้ากองร้อยแล้ว อีกอย่าง
มีเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ด้วย ไม่รู้ต่อไปจะสร้างเกียรติยศอะไรได้อีก
แต่ที่สำ คัญคือทุกคนรู้สึกว่าตนเองจะสามารถรอดกลับบ้านไป
ได้ นี่เป็นความศรัทธาที่เริ่นเสี่ยวซู่ฝังใส่พวกเขา
เวลานี้เริ่นเสี่ยวซู่เดินอยู่บนดาดฟ้าอย่างเป็นปกติสุขดี เขาหยิบ
เชือกที่ปลายมีตะขอขึ้นมา
ที่ปลายตะขอมีเศษเนื้อถูกเกี่ยวไว้อยู่ จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตวัด
มันลงน้ำ
จางเสียวหม่านที่นอนอยู่บนดาดฟ้าอดพูดไม่ได้ “น่าหงุดหงิด
ฉิบ พวกเราเมาเรือจนแทบจะตายอยู่แล้ว แต่เขากลับมีอารมณ์
มาตกปลาเนี่ย!”
ที่น่าแปลกใจคือพอตะขอชั่วคราวนั่นลงน้ำปุ๊บ ก็มีปลามาติด
เหยื่อปั๊บเริ่นเสี่ยวซู่ดึกเชือก เจ้าปลาก็พยายามดิ้นให้หลุดสุดแรงอยู่ใน
น้ำ แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่รีบร้อน เขาจะค่อยๆ รอให้มันเหนื่อยก่อน ที่เขา
กังวลสุดคือถ้าทู่ซี้ดึงจะทำสายเบ็ดขาดเอา
หลังจากเจ้าปลาหยุดในดิ้นแล้วในน้ำแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ค่อยๆ
ดึงสายเบ็ดขึ้นมา ก่อนจะแปลกใจที่เห็นปลาสีดำตัวโตห้อยอยู่
“ปลาช่อนนี่ ใหญ่กว่าที่เคยเห็นตั้งเท่าหนึ่งแน่ะ” เริ่นเสี่ยว
ซู่พึมพำ “ฟันก็คมกว่าด้วย”
ทันใดนั้นเจ้าปลาช่อนก็หลุดจากมือเริ่นเสี่ยวซู่ลงพื้นดาดฟ้า
เรือ
เจ้าปลาไม่อยู่เฉย อ้าปากกว้างผลุบไปทางจางเสียวหม่าน
ทำเอาเขาตกใจเกือบตาย “เฮ้ยๆ จับมันด่วนเลยเริ่นเสี่ยวซู่! นาย
ไม่ได้ตั้งใจใช่ไหมเนี่ย นายมีแรงตั้งเยอะจะจับปลาให้แน่นไม่ได้
หรือไง”
เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจระหว่างเข้าคว้าปลา “พวกเรามองไม่
เห็นโลกใต้น้ำ เลยไม่รู้ว่าข้างใต้มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ยังไงก็พยายาม
อย่าตกลงไปในแม่น้ำดีกว่า ไม่รู้ว่าข้างใต้มีอะไรซุกซ่อนอยู่ แต่ว่านี่ก็ไม่เลวนะ หลังยุคภัยพิบัติ มนุษย์ยังไม่เคยสร้างอุตสาหกรรมประมง
ขนาดใหญ่ใหม่ได้ หลังจากผ่านการแพร่พันธุ์มานาน ปลายในแม่น้ำ
คงพอจะใช้เป็นอาหารให้คนทั้งป้อมปราการ”
ด้วยพลังรบสูงยิ่งของเริ่นเสี่ยวซู่ ทำให้คนเผลอลืมว่าเขาเองก็
เป็นยอดฝีมือในการเอาตัวรอดในแดกรกร้างเช่นกัน
จากนั้นจางเสียวหม่านก็พยุงตัวลุกขึ้น “ดูสิ ไกลๆ นั่นชาย
ริมน้ำใช่ไหม คลื่นกำลังพาเราไปทางนั้น!”
ดั่ง
คำว่าเป็นวาสนาก็ไม่ใช่คราวเคราะห์ ถ้าเป็นคราวเคราะห์ก็
หลบไม่พ้น สุดท้ายพวกเขาก็ถูกคลื่นน้ำผลักไปทางพื้นที่สมาคม
ตระกูลจง