the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 430 หวังฉงหยางผู้ใจแคบ
บนถนนเส้นเดียวที่เชื่อมต่อระหว่างแดนตะวันตกเฉียงเหนือ
และที่ราบตอบกลาง หลี่เสินถาน ซือหลีเหริน และหูชัวกำลังนั่งหลบ
แดดอยู่ใต้ร่มไม้ หลี่เสินถานที่ตัวพิงลำต้นไม้ถอนหายใจ “อากาศ
ร้อนขึ้นเรื่อยๆ เลย เมื่อไรสงครามที่แดนตะวันตกเฉียงเหนือจะจบลง
นะ”
เสี่ยวหลีเหรินกำลังใช้ช้อนตักแตงโมอยู่ข้างเขา หีบใบโตที่เธอ
แบกไว้วางไว้อยู่ข้างกาย ซือหลีเหรินเงยหน้ามองหลี่เสินถาน
“ไหนว่าพี่จะไปที่ราบตอนกลางไง แล้วไหงเราโผล่มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ
แถมเราอยู่มาสามวันแล้วนะ พี่เสินถาน สรุปพี่กำลังรออะไรอยู่”
“ก็แบบ…เริ่นเสี่ยวซู่คงร่วมมือกับป้อมปราการ 178 โจมตี
สมาคมตระกูลจงแล้วใช่ไหมล่ะ” หลี่เสินถานว่า “เขาต้องอยาก
ฆ่าทุกคนในสมาคมตระกูลจงแน่ เธอว่างั้นไหมล่ะ”
“อืม” ซือหลีเหรินพยักหน้าหงึกหงัก“งั้นลองคิดแบบนี้นะ ในเมื่อสมาคมตระกูลจงมีคนตั้งมาก ก็
ต้องมีคนอยากหนีหายนะไปซ่อนตัวอยู่ในที่ราบตอนกลางแหง งั้น
พวกเราจะรอช่วยเริ่นเสี่ยวซู่จับปลาที่เล็ดรอดออกมา” หลี่เสินถาน
หัวเราะ “แบบนี้ก็จะไม่มีใครในสมาคมตระกูลจงรอดไปได้ไง”
“พวกเราจะไปจับพวกเขาเหรอ” ซือหลีเหรินถามเสียงเคร่ง
“แต่พวกเราจะไปจับพวกเขาขังที่ไหนล่ะ”
“อ้อ แค่อุปมาอุปไมยเฉยๆ น่ะ ที่จริงพวกเราจะฆ่าพวกเขาเลย
น่ะ” ตอนหลี่เสินถานพูดถึงการฆ่าคน เขาพูดได้อย่างเป็นเรื่อง
ธรรมดาทั่วไป
หูชัวนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเขา หลี่เสินถานหันไปมองและว่า
“คุณตามั่นใจนะว่านี่เป็นทางเดียวที่คนของสมาคมตระกูลจงจะไป
ที่ราบตอนกลางได้”
หูชัวพูดทั้งตายังปิดอยู่ “ไม่มั่นใจ ทางไปตะวันออกมีหลายสาย
แต่ถ้าจะขับรถ ถนนเส้นนี้เป็นทางเดียวที่ไปได้ เจ้าพวกคนที่คิดว่า
ตัวเองสำ คัญที่รู้จักแต่เสวยสุขในป้อมปราการจะลำบากเดินเท้าผ่านป่าเขารกชัฏได้เหรอ ถ้ามีความกล้าขนาดนั้นคงไม่หนีไปที่ราบ
ตอนกลางแล้ว”
“ก็จริง” หลี่เสินถานพยักหน้า
จิตใจของหูชัวมั่นคงไม่สั่นไหว แม้จะอยู่ในแดนรกร้าง ก็ไม่
แสดงท่าทีหงุดหงิดรำคาญใจหรือเบื่อหน่ายกับการนั่งสมาธิ
ทันใดนั้นก็มีเสียงรถดังกระหึ่มมาแต่ไกล หลี่เสินถานยิ้ม
“มาสักที!”
รถพวกนี้ขับมาจากตะวันตกเฉียงเหนือ ป้อมปราการ 178
ไม่มีทางเข้าถึงถนนเส้นนี้ได้ ดังนั้นก็เหลือแต่คนจากสมาคมตระกูล
จงแล้ว
หลี่เสินถานกับซือหลีเหรินคืบเข้าใกล้ขบวนรถ พวกเขา
ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้สมาชิกสมาคมตระกูลจงรอดไปได้สัก
ราย
ซือหลีเหรินโบกมือ หีบใหญ่ก็ลอยวูบมาทางเธอราวขนนก
บางเบา ทำให้เธอสามารถแบกมันขึ้นหลังได้อย่างง่ายดายแต่ขณะที่ขบวนกำลังจะเลี้ยวผ่านเนินเขาไปนั่น หลี่เสินถานกับ
ซือหลีเหรินก็เห็นรถจักรไอน้ำเร่งตัวจากไหนก็ไม่รู้ทางแดนรกร้าง
กระแทกใส่ขบวนรถอย่างดุร้าย ทำเอาพวกรถพลิกคว่ำกระจายไป
หมด รถจักรไอน้ำที่โผล่มาจากอากาศธาตุนี้เคลื่อนตัวเร็วยิ่ง อย่าง
กับว่าคำนวณทุกอย่างไว้แล้ว
รถที่ถูกชนกลิ่งหลุนๆ ไปตามทาง พอรถหยุดตัวแล้ว คนข้างใน
ไม่ตายก็บาดเจ็บ
รถนำขบวนถูกบดขยี้ราวเป็นปลากระป๋อง
พอคนที่ยังรอดอยู่พยายามปีนออกมาจากรถสุดชีวิต รถจักร
ไอน้ำที่มีสี่ตู้ก็ผ่านพวกเขาไปแล้วก็กลับตัวมาขยี้พวกเขาทิ้งอีกรอบ
ดูแล้วมันตั้งใจจะฆ่าทุกคนเสียให้เหี้ยน
หลี่เสินถาน ซือหลีเหริน และหูชัวอ้าปากค้างมองภาพนี้
พวกเขาจะลงมืออยู่แล้วเชียว ใครจะไปคิดว่าจะมีคนที่ดุร้ายกว่าโผล่
มาได้
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ใครกันมีความแค้นฝั่งหุ่นกับสมาคม
ตระกูลจงขนาดนี้“คะ…ใครล่ะนั่น” หลี่เสินถานแปลกใจ
“คงเป็นคนมาล้างแค้นแหละ” หูชัวว่า “สังเกตการณ์จากใน
เงามืดไปก่อน”
ถึงแถวนี้จะมีพวกต้นไม้อยู่ แต่ว่าก็มองเห็นได้โล่งโปร่งไม่น้อย
ผู้บงการรถจักรไอน้ำน่าจะเห็นพวกเขาแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่โจมตี
มา
อย่างไรซือหลีเหรินก็ลอยอยู่บนฟ้าพร้อมหีบใบโตอยู่บนหลัง
ชัดเจนว่าพวกเขาสามคนไม่ใช่ผู้ที่จะยุ่งย่ามได้ง่าย
รถจักรไอน้ำค่อยๆ สลายตัวไป มันไม่ได้ฆ่าทุกคนในขบวนจน
หมด ถึงกับมีรถคันหนึ่งรอดอย่างเกือบไร้รอยขีดข่วน
ตอนนี้เองหวังฉงหยางก็ก้าวเท้าออกมาจากหลังเนินเขา เขา
เป็นผู้ควบคุมรถจักไอน้ำนั่นเอง
หวังฉิงหยางชำ เลืองมองกลุ่มหลี่เสินถานที่อยู่ไกลๆ จากนั้นก็
ย่อตัวลงพูดเสียงเย็นใส่รถท้ายขบวนที่พลิกคว่ำ “ไม่ต้องไปไหนแล้ว
กลับไปบอกไอ้เวรจงเฉิงว่าพวกเรายังไม่สะสางเรื่องราวกัน ฉันมีเวลาอีกเยอะให้จัดการกับพวกแกในอนาคต แต่ตอนนี้ฉันขอเก็บ
ดอกเบี้ยไปก่อนแล้วกัน”
หวังฉงหยางเป็นคนที่จะแก้แค้นแม้เป็นเรื่องขุ่นเคืองเล็กน้อย
แค่ไหน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตามหาเรื่องเริ่นเสี่ยวซู่ตลอดเช่นนี้
นอกจากจะมีความสามารถและความกล้าแล้ว ความยับยั้ง
ชั่งใจก็สูงลิ่ว ถึงเขาจะเป็นผู้มีพลังพิเศษที่ปลุกพลังเป็นชุดแรกๆ
แต่กระนั้นก็ยังเก็บงำ ไม่เผยตน ยอมให้ผู้บังคับบัญชาในกองกำลัง
ส่วนตัวคอยดูหมิ่น นี่เป็นเหตุที่ว่าแม้จะถูกหวังฉงหยางวางแผนใส่
เขาก็ไม่ไปฆ่าคนอย่างโง่งม แต่อย่างไรเขาต้องก็หาทางเอาคืนแน่
ถ้ามีโอกาสได้แก้แค้น เขาไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ
หวังฉงหยางสะพายเป้เดินไปยังรถออฟโรดอีกคัน ทำราวกับว่า
แถวนี้ไม่มีใครอีก ก่อนจะเปิดท้ายรถและหยิบทองออกมา
หลังจากหยิบไปได้ส่วนหนึ่ง ก็พลันพูดกับหลี่เสินถาน “ชะตา
ลิขิตให้เรามาพบกัน ขอบคุณที่ไม่แทรกมือ คนจากสมาคมตระกูล
จงขนทองไปที่ราบตอนกลาง ฉันเอาไปแค่ครึ่งหนึ่ง ที่เหลือพวกนาย
เอาไปได้เลย” ขณะที่หวังฉงหยางพูดไป เขาก็ค่อยๆ ถอยหลังไปเรื่อยๆ ด้วย เขาระวังตัวมากจนไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้กลุ่มของหลี่
เสินถาน
หลี่เสินถานมองภาพนี้ด้วยความตะลึง พูดตามตรงพวกเขา
ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะออกมาเป็นเช่นนี้ เขาถามหวังฉงหยาง “นาย
มีความแค้นกับสมาคมตระกูลจงเหรอ”
“ใช่สิ” หวังฉงหยางตอน “หีบที่แบกอยู่มีอะไรอยู่เหรอ”
หลี่เสินถานมองไปที่หีบบนหลังซือหลีเหรินและว่า “พูดถึงนี่น่ะ
เหรอ มีเทวรูปอยู่น่ะ”
หวังฉงหยางชะงักไป เขานึกว่าเด็กหญิงผู้นี้จะแบกของมีค่า
อะไรอีก ใครจะไปคิดว่าเป็นแค่รูปปั้นเสียได้ เขาถามต่อ “พวกนาย
มาทำอะไรที่นี่เหรอ”
“อ้อ พวกเรามีความแค้นกับสมาคมตระกูลจงน่ะ…อืม เรียกว่า
ความแค้นก็ได้แหละ” หลี่เสินถานหัวเราะแล้วว่า “ทำไมนายไม่อยู่
กับเราต่อล่ะ พวกเราฆ่าพวกคนของสมาคมตระกูลจงด้วยกันได้นะ”
หวังฉงหยางคลี่ยิ้ม “ขอบคุณที่เสนอ แต่ว่าฉันอยู่คนเดียวกับ
ไม่คบหาคนอื่นจนชินแล้ว ดังนั้นขอลาตรงนี้เลยดีกว่า”หวังฉงหยางเป็นคนกล้าแต่ก็คนขี้ระแวงด้วย เขาไม่เคย
มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรหรือกองกำลังใด ทั้งไม่เคย
เชื่อใจคน รู้จักแต่ไขว้ขว้าหาแต่ชีวิตที่ดี
ใช่ ขอแค่ให้เขาใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยก็พอแล้ว
หลี่เสินถานยิ้มพูด “นายพูดเองนี่ว่าชะตาลิขิตให้เรามาเจอกัน
ฉันชื่อหลี่เสินถาน พี่น้องล่ะชื่ออะไร”
รูม่านตาหวังฉงหยางหดเกร็ง เขาจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ได้อย่างไร ชื่อนี้โด่งดังไปทั่วแดนตะวันตกเฉียงเหนือและ
ตะวันตกเฉียงใต้ แต่เขาไม่เคยเลยว่าตัวเองจะมาเจอปีศาจตนนี้ที่นี่!
หวังฉงหยางพูดอย่างระมัดระวัง “ฉันไม่นับว่าเป็นอะไรได้
ไม่ต้องเอ่ยนามถึงหรอก”
หลี่เสินถานยิ้ม “ดูเหมือนนายจะเคยได้ยินชื่อฉันนะ”
หวังฉงหยางยิ้ม “ฉันได้ไม่ได้ยินนามพรายกระซิบได้ยังไงล่ะ
ว่าแต่ทำไมพวกนายถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
ระหว่างคุยกัน หวังฉิงหยางก็ถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็
เสกรถจักรไอน้ำขึ้นมาอีกครั้ง เขากระโดดขึ้นหนีไปไกลหลี่เสินถานเกาแก้มตัวเอง “ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ”
ซือหลีเหรินหัวเราะคิกคัก “ไม่น่ากลัว”
หลี่เสินถานมองรถจักรไอน้ำลับตาไปพลางถอนหายใจ “คง
มีแต่คนใจเสรีไร้เรื่องกังวลกระมังที่สามารถเอาตัวรอดไปจากโลก
อันวุ่นวายนี้ได้”