the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 431 ลอบเข้าแดนเหนือ
หลี่เสินถานไม่ลงมือฆ่าคนของสมาคมตระกูลจงที่หวังฉงหยางตั้งใจปล่อยไป เขาย่อตัวลงข้างรถที่พลิกคว่ำและยิ้มถาม “ติดต่อเจ้านายตัวเองได้ไหมน่ะ”
ชายในรถยังห้อยต่องแต่งอยู่หลังรถ ตอนที่รถพลิกคว่ำ เขาโชคร้ายเท้าคิดแหงกจนขยับไปไหน
พอหลี่เสินถานยื่นมือคลายหมัดออก รถยนต์บุบเบี้ยวก็ขยายตัวออกราวเป็นลูกโป่งถูกเป่าลม
พอชายผู้นั้นขยับได้อีกครั้งก็คำนับตัวให้หลี่เสินถานและว่า “ผมมีโทรศัพท์ดาวเทียมอยู่ สามารถโทรหาเขาได้เดี๋ยวนี้เลย!”
หลี่เสินถานพยักหน้าและยิ้มกล่าว “งั้นก็โทรเลย ได้ยินคนเมื่อกี้พูดแล้วนี่ เขาบอกให้นายรายงานกลับไปที่สมาคมตระกูลจงจง นายก็ควรรีบรายงานนะ”
“ครับๆ” เขาหวาดผวาจนพูดอะไรก็ทำทุกอย่างตามนั้น อาจจะเพราะพลังสะกดจิตของหลี่เสินถานหรือไม่ก็กำลังตื่นตระหนกจริงๆ
หลี่เสินถานมองเข้าไปในตาของและว่า “ผู้มีพลังพิเศษที่สามารถควบคุมรถจักรไอน้ำได้โจมตีพวกนาย เขาบอกว่าจะล้างแค้นสมาคมตระกูลจงแล้วเอาทองไปหมด”
พอโทรติดแล้ว เขาก็รีบรายงานสถานการณ์ คนปลายสายไม่หือไม่อือ เพียงแค่วางสายไปเงียบๆ
หลี่เสินถานถอนหายใจ “ทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยล่ะ เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรให้นายทำแล้ว เชิญจบชีวิตตัวเองได้”
พูดแล้วชายผู้นั้นก็ลุกยืนขึ้นแล้วรีบเดินกะโผลกกะเผลกไปยังก้อนหินข้างทาง จากนั้นก็เอาศีรษะพุ่งชนหินจนตายคาที่
หูชัวที่อยู่ข้างเขาถาม “ให้เขาโทรไปเพื่ออะไร”
“คุณตา” หลี่เสินถานยิ้ม “ได้เห็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไม่น่าสนุกเหรอ”
หูชัวมองไปยังหลี่เสินถาน พอได้ยินคำว่าน่าสนุกเขาก็เกิดไฟทรุมทรวง ชายชรารู้ดีว่าหลานตัวเองไม่ได้มีจิตใจที่สมบูรณ์นัก แต่เขาก็รู้เช่นกันว่ามันเป็นเพราะอะไร คนส่วนใหญ่ถ้าได้เจอกับสถานการณ์เช่นนั้นก็ยากจะมีชีวิตอยู่ต่อเช่นคนปกติไม่ใช่หรือ
เขาจึงทำได้แต่เพียงปกป้องหลานชายตัวเองขณะที่ตัวเองยังทำได้อยู่ ไม่ว่าหลานตนอยากทำอะไร เขาก็จะคอยอยู่เคียงข้าง
…
ขณะเดียวกันนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ที่เพิ่งถึงชายฝั่งไม่รู้เลยว่าภาพรวมทางใต้นั้นถูกตัดสินแล้วเรียบร้อย หลี่เสินถานปักหลักทางหนีของสมาคมตระกูลจง พูดว่าเพราะต้องการช่วยเริ่นเสี่ยวซู่ขจัดคนของสมาคมตระกูลจง เขาเองก็ไม่รู้ว่าหลังหวังฉงหยางหนีจากหุบเขาแล้วก็แอบมาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ของสมาคมตระกูลจงอยู่เดือนกว่า แถมยังซุ่มโจมตีใส่สมาคมตระกูลจงเสียยกใหญ่ก่อนจะสะบัดหน้าจากไป
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังนำกองร้อยเจียนเตาเคลื่อนตัวเป็นแนวคดเคี้ยวไปตามชายฝั่งแม่น้ำ
ตอนที่เหล่าอันธพาลแห่งกองร้อยเจียนเตาลงจากเรือ พวกเขาก็แทบทรงรูปขบวนสามเหลี่ยมแหลมหน้าไม่ไหว พวกเขาดูถูกอาการหลังเมาเรือมากเกินไปจริงๆ อย่างไรพวกเขาก็เมาเรืออยู่สองวันสองคืน กินอะไรก็ไม่มาก และต่อให้กินไปก็อาเจียนออกมาหมด ตอนนี้เดินตุปัดตุเป๋ไปมา เดินตรงๆ ไม่ได้เลย!
พอเริ่นเสี่ยวซู่ถามว่าทุกคนไม่เป็นอะไรใช่ไหม พวกเขาก็ตอบกันหมดว่าไม่เป็นอะไรไร!
หลังจากมาถึงฝั่ง พวกเขาก็ต้องทำอะไรสักอย่าง เริ่นเสี่ยวซู่แนะนำให้พวกเขาเปลี่ยนเครื่องแบบกันก่อน
ก่อนหน้านี้จางเสียวหม่านแนะนำให้เปลี่ยนไปใส่เครื่องแบบสีกากีของสมาคมตระกูลจง ปลอมตัวเป็นทหารสมาคมตระกูลจงไม่ให้ศัตรูได้ทันตั้งตัว แต่ว่าตอนนั้นเครื่องแบบมีรูกระสุนเยอะเกินไป เริ่นเสี่ยวซู่เลยปัดข้อเสนอนั้นไป
แต่ว่าตอนนี้เป็นเวลาต้องใส่เครื่องแบบของสมาคมตระกูลจงแล้ว ที่ที่พวกเขาจะก้าวเท้าไปแทบไม่มีทางเจอกองกำลังฝ่ายมิตร ที่นี่คงมีแต่ศัตรู
ชายฝั่งทางเหนือแม่น้ำเป่ยวานเป็นนิคมเกษตรกรรม แต่ตอนนี้ตามไร่น่ามีแต่หญ้าเต็มไปหมด ดูแล้วแทบไม่ได้ดูแล
ในพื้นที่ที่สมาคมครอบครองอยู่ จะมีแค่โรงงานของตัวเองนั้นไม่พอหรอก ถ้าไม่มีเสบียงอาหาร ก็จะสนับสนุนคนมากมายไม่ได้ ดังนั้นสมาคมต่างๆ เลยสั่งให้ผู้อพยพรวมตัวกันทำนาเหมือนที่พวกเขาจัดการกับโรงงาน การทำนากลับกลายเป็นดั่งทำงานในโรงงานไป
“ดูเหมือนผู้อพยพที่ทำนาก็ถูกเกณฑ์ไปร่วมรบเหมือนกัน” จางเสียวหม่านพึมพำ “ดูต้นพวกนี้สิ ไม่มีใครคอยดูแลเลย”
การทำนาไม่เรียบง่ายอย่างคำว่าใบไม้ผลิหว่านใบไม้ร่วงเก็บเกี่ยวหรอก ถ้าไม่มีใครคอยแผ่วถางหญ้า สุดท้ายมันก็จะโตดีกว่าพืชผลไป
“เชี่ยอะไรเนี่ย” เจียวเสี่ยวเฉินว่า “ดูดิ ข้าวโพดนี่จะสุกอยู่แล้วใช่ไหม ป้อมปราการเรายังไม่มีให้กินเลย มีของดีแต่ไม่รู้จักถนอมฉิบ”
“แต่ก็บอกได้ว่าสมาคมตระกูลจงโม้เหม็นขนาดไหนตอนบอกว่าตัวเองมีกำลังพลสองแสนนายน่ะ” จางเสียวหม่านถุยน้ำลายลงพื้น “ชาวนากลุ่มหนึ่งแม่*จะสู้รบได้ยังไง ถึงว่าทำไมศัตรูที่ตำบลฉือชวนถึงยิงห่วยแตกฉิบหาย ฉันว่าที่เขาอู๋ชวนก็มีตัวรับกระสุนแบบนั้นเยอะมากแน่”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งและว่า “ถ้าผู้อพยพที่นี่ถูกเกณฑ์ไปแล้ว พวกเขาคงรีบร้อนจนไม่ได้พกเสื้อผ้าไปด้วยแน่ ลองไปหาๆ ดูก่อนว่ามีอะไรใส่ไหมก่อนค่อยหาเครื่องแบบสมาคมตระกูลจง”
“ที่นี่น่าจะหาเสื้อผ้าที่ผู้อพยพทิ้งไว้ง่าย” จางเสียวหม่านตอบ “แต่คงหาเครื่องแบบสมาคมตระกูลจงยาก พวกเราต้องชุดที่สะอาดไม่เปื้อนเลือดด้วย นายคงไม่คิดว่าเราจะจับเป็นทหารกองร้อยหนึ่งของสมาคมตระกูลจงได้หรอกมั้ง”
เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเขา “พวกเราค่อยหาโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าก็ได้ ตอนนี้โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของสมาคมตระกูลจงต้องกำลังผลิตเครื่องแบบทหารอยู่กันหมดแน่ หลังยึดได้สักโรงงานแล้วเราอยากได้ขนาดไหนก็เลือกเลยไง”
จางเสียวหม่านตะลึง เขาไม่ทันคิดเรื่องนี้เลย
แต่พวกเขายังไม่ทันได้เดินไปไหนไกล ก็ผ่านมาเจอบ้านชั้นเดียวเรียบง่ายที่สร้างติดกันเป็นแถวใกล้พื้นที่เกษตร ดูแล้วคงเป็นบ้านพักของพวกผู้อพยพ
ในนั้นมีเสื้อผ้าเต็มไปหมด แต่ว่าเปรอะเปื้อนมาก
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเรื่องมาก ทุกคนคว้าเสื้อจากตามบ้านมาเปลี่ยน
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงฮึมฮัมใกล้เข้ามาในบ้านแถว แถมเป็นเสียงเด็กผู้หญิงด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ไม่ต้องห่วง แค่พวกผู้อพยพธรรมดา ไม่มีอาวุธ”
พอทุกคนได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่พูดเช่นนั้นก็วางใจ ไม่แม้แต่จะสนใจว่าเริ่นเสี่ยวซู่รู้ได้อย่างไร
จางเสียวหม่านพูดเสียงเบา “พวกเขาน่าจะเป็นผู้อพยพที่หนีสงครามมาที่นี่ อย่าทำให้พวกเขาตกใจ ตอนนี้พวกเราเป็นผู้อพยพเหมือนกัน ซ่อนปืนไว้ในบ้านก่อนแล้วค่อยออกไป” พอพวกเขาก้าวเท้าออกจากบ้านก็ต้องแปลกใจที่เห็นชายชราจูงมือเด็กหญิงคนหนึ่งอยู่
จางเสียวหม่านยิ้มอ่อนโยนเอ่ย “คุณปู่ พวกเราเป็นผู้อพยพผ่านทางมา ไม่ทราบว่าพอมีอาหารแบ่งไหม”
“ผู้อพยพ” ชายชราพูดเสียงสั่น “ฉันไม่คิดว่าพวกนายเป็นผู้อพยพนะ”
จางเสียวหม่านผงะ “ทำไมคิดงั้นล่ะ”
ชายชราตอบเสียงพร่า “เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเห็นผู้อพยพแบกปืนครกน่ะ…”
จางเสียวหม่านหันไปมองเจียวเสี่ยวเฉิน ก็เห็นว่าเขากำลังยืนแบกปืนครกแบบเหม่อๆ อยู่ จางเสียวหม่านเตะหว่างขาเขาไปทีหนึ่ง ตอนนี้เองกองร้อยเจียนเตาถึงได้สติจากอาการเมาเรือ
จางเสียวหม่านพูดอย่างโมโห “แม่*จะแบกปืนครกมาทำมะเขือเหรอ”
เจียวเสี่ยวเฉินพยุงตัวลุกขึ้นพึมพำ “ผู้บังคับกองร้อยบอกแค่ให้เก็บปืนไว้ในบ้านนี่น่า ไม่เห็นพูดถึงปืนครกเลย!”