the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 441 เจ้าโง่
ความหวังเป็นของที่สวยงามเสมอ และความคิดของกองร้อย
เจียนเตาก็เรียบง่ายมาก ตัดสายส่งน้ำมันเชื้อเพลิงพวกเขาได้ ก็
ไม่ต่างจากหักขากองกำลังทหารรายยานเกราะของสมาคมตระกูล
จงไปข้างไม่ใช่เหรอ
แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้าย พวกเขาอยู่ในสถานที่อัน
ไม่คุ้นเคย ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าโรงกลั่นน้ำมันตั้งอยู่ตรงไหน
พอเจอผู้อพยพให้ถามทางแล้ว พวกผู้อพยพก็ตอบคำถาม
มาอย่างขะมักเขม้น แถมยังสัญญาด้วยว่าจะเก็บเป็นความลับอย่าง
ดี
แต่พอไปถึงโรงกลั่นน้ำมันและพบว่าที่จริงมันคือโรงงานผลิต
น้ำมันแรพซีดสำ หรับทำอาหาร ทำเอาอึ้งกันตาแตก!
หลังจากโจมตีไปสามโรงงานในวันเดียว ยังไม่เจอ
โรงกลั่นน้ำมันดิบดีๆ สักแห่ง แถมยังเหนื่อยแทบตายอีก สุดท้ายเริ่นเสี่ยวซู่ก็ถูกบีบให้พาทุกคนกลับเข้าแดนรกร้างไร้ผู้คนเพื่อหา
แผนการขั้นต่อไป
และแผนการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันดิบก็ล่มไปอย่างนั้นเอง
เพราะอย่างไรพวกเขาโจมตีโรงกลั่นไปสามโรงแล้ว สมาคมตระกูล
จงย่อมคิดออกง่ายๆ เลยว่ากองร้อยเจียนเตากำลังเล็งอะไรไว้อยู่
เพราะอย่างนั้นโรงกลั่นน้ำมันดิบตอนนี้คงมีทหารป้องกันอย่าง
หนาแน่นเรียบร้อย
“แล้วพวกเราจะเอายังไงต่อ” เจียวเสี่ยวเฉินถามระหว่างทา
น้ำมันที่ขโมยมาลงปลาก่อนจะเตรียมเอาไปย่าง
ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่และคนอื่นๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำ ถ้าพวกเขาขึ้นรถจักร
ไอน้ำและมุ่งตรงไปยังป้อมปราการ 144 ก่อนที่กองพลน้อยที่ 131
จะมาถึง พวกเขาคงทำลายยุ้งฉางของสมาคมตระกูลจงได้แล้วเรียบ
น้อย
อย่างไรตอนนี้กรมทหารรักษาการณ์ครึ่งหนึ่งก็ถูกล้อมตาย
จากการปะทะก่อนหน้าไปแล้ว แถมผู้บัญชาการกรมสามนายก็ถูกสังหารต่อกันติดๆ ไหนยังจะมีรองผู้บัญชาการกรมที่หนีจากหน้าที่
ไปอีก ทหารไร้ผู้นำกำลังตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน
ถ้าพวกเขาโจมตีไปที่ป้อมปราการจริงๆ ล่ะก็ ศัตรูคงจัดทัพ
รับมือต้านพวกเขาไม่ไหวก็ได้
โชคร้ายที่ข่าวกรองพวกเขาล่าช้าเกินไป เลยไม่รู้ว่าพวกตน
ฆ่าผู้บัญชาการกรมที่ 1237 มานานแล้ว
“งั้นก็ทำลายพวกโรงงานที่เดินทางผ่านแล้วกัน” จางเสียวหม่า
นว่า “พวกเราบอกกันไม่ใช่เหรอว่าให้เรียนยุทธวิธีมาจากสมาคม
ตระกูลชิ่งน่ะ พวกเขาไปที่ไหนก็ล้างทั้งเขตอุตสาหกรรมของสมาคม
ตระกูลหยางที่นั่น”
เจียนเสี่ยวเฉินกลอกตา “พวกเราไปเทียบกับสมาคมตระกูลชิ่ง
ได้ด้วยเหรอ พวกเขามีทหารพันกว่านายไว้ต่อกรกับศัตรูนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการถกครั้งนี้เพราะรู้ดีว่าหา
ข้อสรุปได้ยากมาก ดีที่สุดคือไม่ต้องให้กองร้อยเจียนเตามีแผนอะไร
นั่นแหละ ทำแบบนั้น ศัตรูเองก็ไม่อาจคาดเดารูปแบบการโจมตีของ
พวกเขาได้ กันไม่ให้ถูกวางแผนซุ่มโจมตีด้วยนอกเหนือไปจากนั้นคือเขากำลังสงสัยว่าตอนนี้จงเฉิงไปอยู่
ไหน ได้ยินมาว่าจงเฉิงทำหน้าที่ดูแลกองกำลังรักษาการณ์ใน
ป้อมปราการหลักของสมาคมตระกูลจง หลัวหลานเองก็ถึงกับพูด
ค่อนแคะว่ากองกำลังรักษาการณ์คือสถานที่ที่เหล่าลูกหลานตระกูล
จงจะถูกส่งไปอยู่กัน
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปหาจางเสียวหม่าน “ศูนย์บัญชาการของ
สมาคมตระกูลจงอยู่ตรงไหนน่ะ”
“อยู่ที่ป้อมปราการ 146 อยู่ห่างจากที่นี่ราวๆ 400 กิโลเมตร”
จางเสียวหม่านว่าอย่างแปลกใจ “เสี่ยวซู่ อย่าบอกนะว่านายคิดจะ
โจมตีศูนย์บัญชาการพวกเขานะ พวกเรามีคนไม่พอสำ หรับการนั้น
หรอกนะ ตอนนั้นที่นั่นต้องมีทหารรักษาการณ์อย่างน้อยหนึ่ง
กองพลน้อย ยังไงก็เป็นศูนย์บัญชาการเลยนะ อะไรๆ ต้องไม่เหมือน
ที่อื่นอยู่แล้ว”
“เปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “แค่ถามเฉยๆ”
เขาเอาแต่คิดเรื่องนี้ แต่นั่นเป็นทหารทั้งกองพลน้อยเลยนะ ดู
แล้วเขาคงได้แต่รอให้ป้อมปราการ 178 มาก่อน ถึงจะสามารถโจมตีป้อมปราการหลักของสมาคมตระกูลจงพร้อมกันได้ ไม่อย่างนั้น
ถ้าให้กองร้อยเจียนเตาไปสู้กันเองล่ะก็ ก็ไม่ต่างไปจากแส่หา
ความตายเลย
แต่ตอนนี้เองเสียงยานเกราะก็ดังมาแต่ไกลอีกครั้ง ฟังเสียง
แล้วกองพลน้อยยานเกราะที่คงตามพวกเขาทันแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น “พวกเขาหาพวกเราเจอได้ยังไง”
“ไม่แน่ใจแฮะ” จางเสียวหม่านสับสนอยู่บ้าง ตอนออกจาก
ค่ายล่าสุดของวันนี้ พวกเขาไม่น่าจะทิ้งร่องรอยอะไรไว้นะ
“อย่าเพิ่งห่วงเรื่องนั้นแล้วกัน กองพลน้อยยานเกราะนั่นไม่น่า
เคลื่อนไหวเร็วเท่าเรา เดี๋ยวหนีจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน”
แต่ชั่วขณะที่พวกเขาจะหนีนั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งโผล่มาจาก
ไกลๆ ในมือมีมีดเล่มหนึ่ง เขาหันมองพวกเริ่นเสี่ยวซู่และยิ้มพูด
เสียงดัง “กว่าจะเจอพวกนาย…”
แต่เขายังพูดไม่ทันจบ จางเสียวหม่านก็ลั่นไกยิงใส่เขาแล้ว
แต่ทุกคนก็ต้องประหลาดใจ พอกระสุนแล่นไปถึงชายหนุ่มผู้
นั้น
ก็มีแสงก่อรูปเป็นโครงรังผึ้งสีเหลืองโผล่ขึ้นมากันกระสุน“ขอพูดให้จบก่อนไม่ได้เหรอไง หยาบคายจริง” ชายหนุ่มส่าย
หัว และยิ้มพูดพร้อมท่าทีสุขุมสงบนิ่ง “หนึ่งในพวกนายคือสูเสี่ยนฉู่
สินะ ว่าแต่เป็นใครกันล่ะ”
ตอนนี้เองแสงสีเหลืองก่อตัวข้างหลังเขาราวเป็นปราการ
ตระหง่านอีกครา แต่ว่าชายหนุ่มก็ก้มมองปลายดาบสีทมิฬที่ทะลุ
หน้าอกอย่างแปลกใจ เลือดไหลทะลักออกมา จากนั้นเขาก็ไม่อาจ
เอ่ยอะไรได้อีก
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ดึงดาบทมิฬกลับ จากนั้นก็ปิดประตูเงา
และถามว่า “นายเป็นใคร”
ชายหนุ่มล้มลงกับพื้น ประกายชีวิตดับสิ้นไป
จางเสียวหม่านตอบ “น่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษจากสมาคม
ตระกูลจง ว่าแต่ทำไมดูโง่ๆ ชอบกลวะ”
สีหน้าเริ่นเสี่ยวซู่กลับกลาย มีคนเห็นร่างแยกเงาเขาตอนที่เดิน
ทางผ่านเขาที่แม่น้ำเป่ยวาน ศัตรูก็เลยอาจจะคาดเดาว่าสูเสี่ยนฉู่อยู่
ในกองร้อยนี้เขาปล่อยให้ผู้มีพลังพิเศษผู้นี้พล่ามต่อไม่ได้ ไม่อย่างนั้น
ความลับเขาต้องถูกเปิดโปงแน่ จางเสียวหม่านและคนอื่นๆ ยัง
ไม่เห็นร่างแยกเงาเขา ดังนั้นเขาจึงลงมือฆ่าคนทันที แต่เริ่นเสี่ยว
ซู่เองก็ไม่คิดหรอกว่าคนจะตายง่ายขนาดนี้
เริ่นเสี่ยวซู่เองก็รู้ว่าศักยภาพของผู้มีพลังพิเศษในช่วงเวลานี้
มันค่อนข้างเหวี่ยง ใช่ว่าทุกคนจะเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ บางคน
ถึงกับหยิ่งผยองมาก หยางเสียวจิ่นบอกเขาว่ามีผู้มีพลังพิเศษคน
หนึ่งในที่ราบตอนกลางพอได้พลังมาก็ประกาศก้องว่าจะปกครองทั้ง
ที่ราบตอนกลาง แต่สุดท้ายผู้มีพลังพิเศษผู้นั้นก็ถูกยิงตายไป
และก็มีคนพูดว่าอยากปกป้องสันติภาพ แต่สุดท้ายก็ถูกสังหาร
ไปเช่นกัน
ไม่ว่าอย่างไรข้างนอกนั่นก็มีคนมากมายหลายประเภท และ
ใช่ว่าทุกคนจะระวังตัวแจเช่นหวังฉงหยาง
แต่ว่าผู้มีพลังพิเศษคนที่เขาเจอวันนี้นั้นโง่มากแท้ ไม่รู้สมาคม
ตระกูลจงเลี้ยงดูเขามายังไง“ช่างเหอะ ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว ตำแหน่งเราถูกเปิดแล้ว ต้อง
เปลี่ยนที่อยู่” จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เรียกรถจักรไอน้ำพาพรรคพวกหนี
ปล่อยศพผู้มีพลังพิเศษไว้ในแดนรกร้าง กองร้อยเจียนเตาคร้าน
จะมองด้วยซ้ำ
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลยว่าที่ผู้มีพลังพิเศษผู้นี้หยิ่งผยองนั้น
ไม่ใช่ว่าจะไร้เหตุผล เพราะว่าตลอดสามเดือนที่สมาคมตระกูล
จงเกณฑ์เขามา เขาถูกทดสอบความแข็งแกร่งของ ‘ระบบป้องกัน’
อยู่ตลอด และมันก็กันได้แม้แต่กระสุนปืนใหญ่
ดังนั้นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของผู้มีพลังพิเศษคนนี้ก็
เพิ่งรั้งตัวพวกเขาไว้จนกว่ากองพลน้อยยานเกราะจะมาถึง ถ้าเป็น
คนอื่นอาจจะรั้งตัวกองร้อยเจียนเตาหนีไม่ได้
แต่เขาก็ต้องแปลกใจว่า มันไม่มีอะไรที่ดาบทมิฬเริ่นเสี่ยวซู่
ไม่อาจตัดผ่าน พระราชวังบอกว่ามันเป็นอาวุธที่คมที่สุด และ
ดูเหมือนว่าจะไม่ได้โกหกด้วย มันเป็นอาวุธที่คมที่สุดอย่างแท้จริง
ไม่มีอะไรมาเทียบได้
ดังนั้นผู้มีพลังพิเศษที่มาจึงดับสิ้นไปเริ่นเสี่ยวซู่และกองร้อยเจียนเตาขึ้นรถจักรไอน้ำหนีไปไกลอีก
ครา พอจงอู้ที่เพิ่งไล่ตามมาถึงเห็นพวกเขาหนีไปอีกแล้วก็สบถอย่าง
เกรี้ยวกราด “ไหนว่าพวกนายบอกว่าเจ้านั่นเป็นผู้มีพลังพิเศษที่
แข็งแกร่งมากไง แค่รั้งตัวศัตรูแปปเดียวก็ทำไม่ได้! ขยะฉิบหาย!”
จากนั้นจงอู้ก็หันไปมองผู้มีพลังพิเศษอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“แกเองก็เป็นขยะเหมือนกันหรือเปล่า”
ผู้มีพลังพิเศษผู้นั้นตากระตุก “ฉันทรงพลังกว่าเขาน่ะแน่นอน
แต่ความเชี่ยวชาญของฉันคือการระบุตำแหน่งผู้มีพลังพิเศษคนอื่น
ไม่ใช่เรื่องการสู้รบ ฉันตามหาผู้มีพลังพิเศษหลายคนให้กับสมาคม
ตระกูลจง…”
จงอู้พูดปัดอย่างรำคาญใจ “รู้แล้วๆ! ตอนนี้พวกเขาอยู่ไหน
แล้ว”
“พลังของฉันใช้ได้แค่วันละสามครั้ง และวันนี้ก็ใช้ครบแล้ว อีก
อย่างระยะต้องไม่เกินหนึ่งร้อยกิโลเมตรด้วย…”
“แล้วกล้าพูดนะว่าตัวเองไม่ขยะ…”จงอู้กำลังกระวนกระวายใจกับทองตัวเอง ยังจะมีอารมณ์พูดดี
ๆ กับผู้มีพลังพิเศษอยู่เหรอ
ผู้มีพลังพิเศษได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาอยู่บ้าง แต่เขา
ก็ไม่ได้พูดเรื่องข้อสงสัยบางอย่างของตัวเอง จากพลังการรับรู้ของ
เขา ชัดเจนเลยว่าศัตรูมีพลังพิเศษแค่คนเดียว แล้วทำไมทุกคน
ถึงพูดว่ามันมีผู้มีพลังพิเศษสองคน หรือกระทั่งสามคนเลยล่ะ
แปลกเกินไปแล้ว