the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 442 รองผู้บัญชาการกรมช่วยเบิกทาง
- Home
- the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
- ตอนที่ 442 รองผู้บัญชาการกรมช่วยเบิกทาง
เริ่นเสี่ยวซู่และกองร้อยเจียนเตากำลังประชุมกันอยู่บนรถไฟ
และจางเสียวหม่ายก็ถามออกมาเสียงดังว่า “กองพลน้อยยานเกราะ
หาเราเจอได้ยังไง”
“ไม่รู้สิ หรือว่าของที่เราขโมยมาจากโรงงานที่เราทำลาย
มีเครื่องติดตามจีพีเอสหรืออะไรแบบนั้นไหม” เจียวเสี่ยวเฉินถาม
“ไม่น่านะ พวกเราเอามาแต่น้ำมันทำอาหารเองนะ ยังไงที่นั่นก็
ไม่มีของมีค่าอะไรอยู่แล้วด้วย” จางเสียวหม่านถามทุกคน “มีใคร
เอาอะไรอย่างอื่นมาไหม”
“ไม่นะ” ทหารทุกคนส่ายหัว “พวกเราอยู่ระหว่างสงคราม
จะทำเรื่องโง่ๆ จนส่งผลกับสหายร่วมรบได้ยังไง พวกเราไม่ได้ขโมย
อะไรมาจริงๆ”
“หรือว่าในหมู่พวกเรามีสายลับ” จางเสียวหม่านด่า “ใครเป็น
คนทรยศ ฉันจะให้โอกาสสารภาพ”“ฉันว่าผู้บังคับกองร้อยเหมือนสายลับสุดแล้ว!”
จากประชุมมีสาระกลายเป็นพูดคุยไร้สาระไปเสียได้ เริ่นเสี่ยว
ซู่พูดเสียงนิ่ง “ในกองร้อยเราไม่มีสายลับแน่นอน น่าจะเป็นผู้มีพลัง
พิเศษที่มีพลังเกี่ยวกับการระบุตำแหน่งคนมากกว่า ฉันคิดว่างั้นนะ
สมาคมตระกูลจงมองเราอย่างสูงจนส่งกองพลน้อยยานเกราะ
มาไล่ล่าแบบนี้น ไม่มีทางส่งผู้มีพลังพิเศษคนเดียวมาทำงานแน่
ต้องมีอีกคนหนึ่งด้วยแน่นอน”
ถ้าพวกเขามีสายลับแฝงตัวอยู่จริงๆ คงจัดการศัตรูที่แม่น้ำเป่
ยวานและเขาเฉียงวานง่ายๆ ไม่ได้หรอก กรมทหารราบของ
ป้อมปราการ 144 เองก็คงรับมือกับพวกเขาไม่ยากนักด้วย
ที่สำ คัญคืออัตราการตายในกองร้อยเจียนเตาสูงมากมาตลอด
ส่งสายลับมาอยู่ในนี้ ก็คงตายตอนถูกส่งเข้าแนวหน้าอยู่ดี ไม่ว่า
ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองของสมาคมตระกูลจงจะโง่มากแค่ไหน
ก็คงไม่โง่ขนาดวางตัวสายลับในกองร้อยเจียนเตาหรอก
คุณประโยชน์ก็น้อย เสี่ยงตายก็มากเพราะเริ่นเสี่ยวซู่เข้าร่วมกองร้อยเจียนเตานั่นแหละ กองกำลัง
นี้ถึงกลายเป็นกองกำลังรบสำ คัญไป
ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงเดาว่าต้องฝีมือของผู้มีพลังพิเศษคนอื่น
อย่างไรคนธรรมดาก็ยากจะเข้าใจความมหัศจรรย์ของผู้มีพลัง
พิเศษ
“ถ้าหนีก็แล้วแต่กองพลน้อยยังหายังหาเราเจอล่ะ แบบนั้น
จะเอายังไงต่อ” เจียวเสี่ยวเฉินถาม “ถ้าสลัดพวกเขาทิ้งไม่ได้สักที
ต้องรู้สึกคลื่นไส้มากแหง”
แค่คิดว่าต้องถูกทหารสี่พันกว่านายคอยตามล่าแถมไม่รู้ว่า
จะตามมาทันตอนไหนอีกก็ทำให้พวกเขาหัวโกร๋นแล้ว
“ผู้มีพลังพิเศษคนนั้นต้องมีวิธีตามตัวเราแน่” เริ่นเสี่ยวซู่คิด
แล้วคิ้วขมวดมุ่น ต่อให้เป็นผู้มีพลังพิเศษก็ใช่ว่าจะเป็นผู้รอบรู้ที่
อยากจะเจอใครก็ได้เจอ พลังแบบนั้นต้องมีเงื่อนไขอะไรอยู่แน่นอน
ร่างแยกเงามีระยะควบคุมอยู่ที่หนึ่งกิโลเมตร ประตูเงาก็
มีระยะใช้การงานอยู่ที่หนึ่งกิโลเมตร ดังนั้นแล้วเขาไม่เชื่อหรอกว่า
พลังศัตรูจะมีเป็นพลังแบบไม่มีระยะทางจำ กัดที่จริงพลังในการตามหาผู้มีพลังพิเศษของคนผู้นี้นั้นช่วยเหลือ
สมาคมตระกูลจงไว้ได้อย่างมาก
อย่างเช่นว่าคนอย่างชิ่งเจิ่นยังมีผู้มีพลังพิเศษแค่สามคน รวม
ถึงที่ปกป้องการซุ่มยิงจนตัวตายไปแล้วก็นับว่าเป็นสี่คน
ไม่ใช่ว่าพื้นที่สมาคมตระกูลจงขาดแคลนผู้มีพลังพิเศษ คน
อย่างหวังฉงหยางและสูเสี่ยนฉู่เองก็อยู่ภายใต้การปกครองของ
สมาคมตระกูลจง แต่พวกเขาเก็บซ่อนปกปิดตัวตนเพราะไม่อยาก
ใช้พลังตนเองเพื่อทำงานให้ผู้อื่นต่างหาก
ดังนั้นมันต้องมีผู้มีพลังพิเศษแอบซ่อนตัวอยู่ไม่น้อย เริ่นเสี่ยว
ซู่รู้สึกว่าอย่างน้อยผู้มีพลังพิเศษในสมาคมต่างๆ น่าจะมีจำ นวนสอง
หลัก แต่ใช่ว่าทุกคนจะถูกระบุตัวได้
แต่สมาคมตระกูลจงไม่ได้เป็นเช่นนั้น อย่างเช่นเจ้าผู้มีพลัง
พิเศษโง่เงาที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่เพิ่งเจอก่อนหน้า รวมไปถึงหานหยางที่
โดนหยางเสียวจิ่นจัดการไป ก็ต่างเป็นคนผู้มีพลังในการตามหาผู้
มีพลังพิเศษคนอื่นผู้นี้เป็นคนไปเจอมา หลังจากเจอตัวคนแล้ว ก็
จะถูกบังคับเกณฑ์เข้าร่วมกับกองทัพสมาคมตระกูลจงแน่นอนว่าสมาคมตระกูลจงก็ไม่ได้โหดร้ายกับพวกเขา ต่าง
ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเพื่อล้างสมองให้เข้าร่วมกับสมาคมจง
ผู้มีพลังพิเศษที่สามารถระบุตำแหน่งผู้มีพลังพิเศษคนอื่นผู้นี้
มีความสำ คัญมากต่อสมาคม ด้วยภารกิจนี้ภารกิจเดียว ทั้งกองร้อย
ลาดตระเวนก็ถูกส่งมาปกป้องเขา กองร้อยลาดตระเวนนี้
จะทำหน้าที่ปกป้องเขาอย่างเดียว ไม่ได้ทำหน้าที่อื่นอีก
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งก่อนจะหันหัวรถจักรไอน้ำและเร่งตัวออก
จากอณาเขตของสมาคมตระกูลจงด้วยความเร็วเต็บสูบ เขาอยาก
จะดูว่าเขาจะสามารถสลัดกองพลน้อยยานเกราะด้วยการทิ้ง
ระยะห่างให้มากที่สุดได้ไหม
แต่หลังจากเดินทางมาพักใหญ่ เริ่นเสี่ยวซู่ก็พลันเห็นรถออฟโร
ดกำลังขับไปทางตะวันออกอยู่ข้างหน้า เพราะสภาพถนนไม่สู้ดี รถ
ออฟโรดเลยไม่ได้ขับไวนัก
“หืม? ทำไมแถวนี้ถึงมีรถออฟโรดโผล่มาได้” จางเสียวหม่าน
ถาม “ที่ห่างไกลอย่างนี้ไม่น่ามีทหารสมาคมตระกูลจงได้นี่”“ใครวะนั่น” เจียวเสี่ยวเฉินว่า “แต่ต้องเป็นคนจากสมาคม
ตระกูลจงแน่นอน ฆ่าเลยไหม”
“อย่าเพิ่งใจร้อน” เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วพูด “ไม่ว่าในออฟโรดนั้น
จะเป็นใคร แต่อย่างน้อยต้องเป็นนายทหารแน่นอน จับตัวพวกเขา
ก่อน ดูสิว่าจะได้อะไรจากการสอบสวนบ้าง”
ตอนนี้รองผู้บัญชาการกรมที่ 137 เป็นคนขับรถหนีออกจาก
พื้นที่ของสมาคมตระกูลจง เขาไม่พาภรรยาตนเองมาด้วย
ไม่อย่างนั้นเขาคงทำให้ผู้อื่นเกิดความสงสัยได้
ตอนนี้ภรรยาเขาที่ป้อมปราการ 144 คงกำลังด่ากราดเขาอยู่
แต่เขาต้องหนี! ศูนย์บัญชาการบอกว่าจะเลื่อนเขาขึ้นเป็น
ผู้บัญชาการกรม แต่เจ้ากองทหารเวรจากป้อมปราการ 178 นั่น
กำลังเล็งหัวคนผู้เป็นผู้บัญชาการกรมอยู่!
ถึงรองผู้บัญชาการกรมผู้นี้เองก็ไม่มั่นใจนัก แต่ผู้บัญชาการ
กรมสามคนบังเอิญถูกฆ่าไปตามๆ กันแบบนี้ เขาเองก็อดหวาดผวา
ไม่ได้หรอกระหว่างที่หนีอยู่นั้น เขาก็พลันมองกระจกหลังแล้วเห็นรถจักร
ไอน้ำคืบมาใกล้ นั่นประไร เขาคิดถูกแล้ว! ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า
ศัตรูกำลังตามล่าฆ่าผู้บัญชาการกรมที่ 1237 จริง เขาหนีมาตั้งไกล
โห่แล้ว แต่ก็ยังตามเขามาอีก!
บ้าไปแล้ว! ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากเป็นผู้บัญชาการกรมน่ะ!
แต่ว่านี่ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญเท่าไรนัก อย่างไรรอง
ผู้บัญชาการกรมผู้นี้ก็กำลังหนี พวกกองร้อยเจียนเตาก็กำลังหนี ต่าง
คนต่างหนีไปทางเดียวกัน จะไม่เจอหน้ากันได้เหรอ
ถ้ารถจักรไอน้ำยังเคลื่อนตัวไปอีกร้อยกิโลเมตร เริ่นเสี่ยวซู่ก็
จะไปเจอหลี่เสินถานอีกครั้ง
การโผล่มาของรถจักรไอน้ำ ทำให้รถออฟโรดถูกบีบให้หยุดรถ
อย่างรวดเร็ว รองผู้บัญชาการกรมเองก็ตั้งใจทำเช่นนั้นอย่าง
เด็ดเดี่ยว เขาออกจากรถออกพร้อมชูมือขึ้นสูง “ฉันยอมแพ้! อย่าฆ่า
ฉันนะ! ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่อยากเป็นผู้บัญชาการกรม ทำไมพวก
นายยังตามล่าฉันอยู่อีก ฉันจะไม่อยากเป็นผู้บัญชาการกรมจริงๆ นะ
!”เริ่นเสี่ยวซู่และคนอื่นๆ กระโดดลงจากรถไฟด้วยสีหน้างุนงง
เจ้านี่พูดอะไรอยู่เนี่ย
“ผู้บัญชาการกรมอะไร” จางเสียวหม่านชี้ปืนไปยังรอง
ผู้บัญชาการกรมที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้ “ในรถมีใครอีกหรือเปล่า”
“ไม่ นอกจากฉันก็ไม่มีใครแล้ว!” รองผู้บัญชาการเห็นสีหน้า
ดุร้ายของจางเสียวหม่านแล้วก็บ่อน้ำตาแทบแตก รอบตัวเขามีคน
ร้อยกว่านาย ทำเอารู้สึกว่าต่อให้มีสิบชีวิตก็ยังไม่รอดอยู่ดี!
“เมื่อกี้หมายความว่ายังไง ผู้บัญชาการกรมอะไร” เริ่นเสี่ยว
ซู่ขมวดคิ้วถาม รองผู้บัญชาการกรมเองก็สับสน “ไม่ใช่ว่าพวกนาย
กำลังตั้งใจล่าหัวผู้บัญชาการกรมที่ 1237 อยู่เหรอ”
จางเสียวหม่านและคนอื่นๆ มองกันเองด้วยหน้าเหลอหลา นี่
มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย แต่พอรองผู้บัญชาการกรมอธิบายทุกอย่าง
แล้ว ทหารในกองร้อยเจียนเตาก็อุทานสองคำเป็นเสียงเดียวว่า “เ*ด
เข้!”
“พวกเราฆ่าผู้บัญชาการกรมไปสามคนแล้วเหรอ!” เจียวเสี่ยว
เฉินตะลึงเริ่นเสี่ยวซู่ฟังรองผู้บัญชาการกรมไล่เรียงความแล้วก็อึ้งไปเลย
ส่วนรองผู้บัญชาการกรมก็มองกองร้อยเจียนเตาและคิด ไหงทำ
หน้าตาตะลึงตาแตกกันแบบนั้นล่ะ
“ตอนนี้อย่างต่ำพวกเราก็น่าจะได้เหรียญซิงเฉินแล้วไหม”
ฟู่หราวพึมพำ
“ฉันว่าได้เหรียญซิงอวิ๋นเลยมั้ง…”
เริ่นเสี่ยวซู่ตัดบท “อย่าเพิ่งออกนอกเรื่อง ในสมาคมตระกูล
จงมีผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถในการตามหาคนหรือเปล่า”
รองผู้บัญชาการกรมผงะพูด “หาคน? ฉันไม่รู้เลยนั้นหรอก แต่
ฉันรู้มาว่ามีผู้มีพลังพิเศษที่ระบุตัวผู้มีพลังพิเศษคนอื่นๆ ได้”