the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 446 ปฏิบัติการเดี่ยว
จางจิ่งหลินพยายามโน้มน้าวไม่ให้เริ่นเสี่ยวซู่ออกไปเสี่ยง แต่
เริ่นเสี่ยวซู่ดูจะตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ปล่อยโอกาสให้จาง
จิ่งหลินพูดต่อและวางสายทันที
มองไป เพราะมีจงอิงเป็นผู้บัญชาการกองทัพอยู่แล้ว ต่อให้
แนวหลังมีปัญหาก็ไม่น่าสงผลกระทบอะไรถึงการรบที่นี่ แต่ว่า
ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนี้ เหตุผลที่สภาบริหารยังเป็นสภาบริหารก็
เพราะพวกเขามีอิทธิพลอำนาจเหนือกองทัพโดยสัมบูรณ์ พวกเขา
เพียงแต่งตั้งจงอิงเป็นผู้บัญชาการสูงสุดเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
ตอนนี้กองกำลังหลายแห่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาการชั่วคราว
แต่หลังสงครางจบ จงอิงก็เพียงเป็นผู้บัญชาการในกองกำลังของ
ตนเอง ยังต้องคอยฟังคำสั่งสภาบริหารสืบไป
ดังนั้นพอเริ่นเสี่ยวซู่ถามจางจิ่งหลินว่าถ้ายึดป้อมปราการ 146
แล้วจะช่วยอะไรไหม จางจิ่งหลินจึงตอบอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าช่วย
ที่นั่นคือที่ที่หัวๆ ของสมาคมตระกูลจงรวมตัวกัน ก็เหมือน
คราวที่ป้อมปราการ 88 ถูกทำลาย ทำให้ทั้งสมาคมตระกูลหยาง
กลายเป็นทรายกระจัดกระจายที่คนวางแผนช่วงชิงกัน
สมาคมตระกูลจงเองก็ไม่ต่าง
ถ้าจงอิงนำทัพอยู่แนวหน้าอยู่อีกสักสิบปี อิทธิพลส่วนตัวเขา
คงสามารถกลับด้านคลื่นความโกลาหลและรวมใจคนเป็นหนึ่งได้
แต่ว่าตอนนี้จงอิงยังไม่สามารถ
หากทหารป้อมปราการ 178 พ่ายแพ้ เริ่นเสี่ยวซู่ก็จะ
ไม่มีผู้สนับสนุนช่วยทำลายทั้งสมาคมตระกูลจงอีก
บางทีสมาคมตระกูลชิ่งอาจจะวางแผนเข้าตีสมาคมตระกูล
จงในอนาคต หลังจากนั้นสมาคมตระกูลชิ่งต้องเข้าอยู่ช่วงหลัง
สงครามอันยาวนาน พวกเขาต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำ นวน
มหาศาลเพื่อสร้างบรรดาป้อมปราการใหม่
ไม่ใช่แค่นั้น สมาคมตระกูลชิ่งต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะนำ
ป้อมปราการภายใต้สมาคมตระกูลหยางและหลี่มาใต้บัญชาเพื่อช่วงชิงทรัพยากรมาใช้ได้
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่วางสายไปแล้ว จางเสียวหม่านและคนอื่นๆ
ก็ยิ้มตาหยีลูบมือกัน “พวกเราเอาไงต่อดี จัดป้อมปราการ 146 เลย
มะ ฮ่าๆ ทำลายป้อมปราการ 144 ยังทำมาแล้ว ป้อมปราการ 146
จะไปยากอะไร!” เหล่าทหารในกองร้อยเจียนเตาหันมองเริ่นเสี่ยวซู่
ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่าอยู่เข้าตีป้อมปราการ 146 แต่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ก็
ปฏิเสธไป ทว่ารอบนี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ล้อจางเสียวหม่าน แต่เร่งให้เหล่า
ทหารกองร้อยเจียนเตาขึ้นรถไฟ
รถจักรไอน้ำขับเคลื่อนผ่านแดนรกร้างด้วยเร็วเต็มอัตรา และก็
ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเขากำลังไปที่ไหน เพียงเดากันว่าน่าจะกำลัง
ไปป้อมปราการ 146 กัน
ทุกคนบนรถไฟคุยกันโหวกเหวก “พวกนายคิดว่าเราควรเข้าตี
ป้อมปราการ 146 ยังไงดี พวกเราต้องรีบไปรีบมาใช่ไหมล่ะ
ไม่อย่างนั้นพอกองพลน้อยที่ 131 ได้ข่าวแล้วรุดมา พวกเราต้องสู้
กับสองกองพลน้อยในทีเดียวเลยนนะ”เริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่บนรถไฟดึงตัวรองผู้บัญชาการกรมที่ 1237
เข้ามาถาม “ประสิทธิภาพการรบของกองกำลังรักษาการณ์
ป้อมปราการ 146 เป็นไงบ้าง”
“พวกเขาเป็นหนึ่งในกองกำลังชั้นยอดที่สุดของสมาคมตระกูล
จง ใช้ยุทโธปกรณ์รุ่นล่าสุดและดีที่สุด พวกเขาคือกองกำลังที่เป็น
หน้าตาของสมาคมตระกูลจง แม้แต่คนตระกูลจงที่ถูกส่งไป
ทำหน้าที่ ‘ดูงาน’ ก็นับว่าเป็นคนในตระกูลที่โดดเด่นที่สุด แต่แหงล่ะ
พวกเขาไม่ได้มีประสบการณ์รู้รบจริงๆ อะไร” รองผู้บัญชาการกรม
ยิ้มแหยะๆ “พวกนายคงไม่คิดจะโจมตีป้อมปราการ 146 จริงๆ
หรอกนะ ฉันไม่ได้จะเรียกสติพวกนายหรอกนะ แต่พวกนายมีคน
แค่นี้ เข้าตีป้อมปราการ 146 ไม่ต่างไปจากฆ่าตัวตายหรอก”
ส่วนในใจเขาคิด ถ้าอยากจะไปตายก็อย่าลากฉันไปด้วย!
แต่พอรองผู้บัญชาการกรมเห็นเส้นทางที่กำลังเดินทางอยู่ก็ว่า
“เอ๋ นี่มันไม่ใช่…”
“เงียบก่อน” เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองเขา “ถ้าเจอที่เหมาะๆ แล้วจะ
ปล่อยนายไป หรือนายอยากจะไปป้อมปราการ 146 กับฉัน?”เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมคำพูดมันแฝงข้อมูลเยอะอะไรขนาดนั้น!
รองผู้บัญชาการกรมทำตัวไม่ถูก เส้นทางที่เด็กหนุ่มผู้นี้กำลัง
ไปไม่ใช่ป้อมปราการ 146 แน่นอน และฟังที่คำที่เด็กหนุ่มผู้นี้พูด คือ
เขาคิดจะไปป้อมปราการ 146 คนเดียว!
รถจักรไอน้ำพลันหยุดอยู่กลางแดนรกร้าง เริ่นเสี่ยวซู่ตะโกน
“ได้เวลาลงรถแล้ว!”
เสียงปืนขึ้นนกดังรัวอยู่ในตู้รถไฟ กองร้อยเจียนเตาคิดว่า
ถึงเวลาเตรียมรบแล้ว
แต่หลังจากลงรถไฟมาแล้ว จางเสียวหม่านก็แปลกใจที่ไม่เห็น
เริ่นเสี่ยวซู่ลงมาได้ด้วย แถมรถไฟยังวิ่งปรู๊ดหายลับไป!
“เฮ้ย เริ่นเสี่ยวซู่รอก่อน นายจะไปไหนน่ะ แล้วที่นี่มันที่ไหน!”
จางเสียวหม่านวิ่งตามอยู่ครู่หนึ่ง แต่รถไฟมันเคลื่อนที่ไวจนเขาตาม
ไม่ทัน แถมเริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่คิดจะหันหัวกลับมาด้วย!
เจียวเสี่ยวเฉินชี้ปืนใส่รองผู้บัญชาการกรม “พวกเราอยู่ที่ไหน
กัน!”“ตอนนี้อยู่ชายแดนตะวันออกสุดของสมาคมตระกูลจง
ถ้าเดินทางอีกสิบกิโลเมตรก็จะออกจากพื้นที่สมาคมตระกูลจงแล้ว”
รองผู้บัญชาการกรมพูดหวาดๆ “ลดปืนก่อนๆ ฉันเองก็ไม่รู้
เหมือนกันว่าเขาจะทำแบบนี้! ตอนที่เดินทางมาฉันเห็นว่าทางมัน
ไม่ใช่ก็แปลกใจอยู่ แต่ว่าเจ้าหนุ่มนั่นบอกไม่ให้ฉันพ่นคำบอกใคร!”
จางเสียวหม่านพูดอย่างขุ่นเคือง “ให้ตายเถอะ จบแล้ว
แม่*เอ้ย! เริ่นเสี่ยวซู่ต้องกลัวว่าไปป้อมปราการ 146 แล้ว
จะเป็นอันตรายเกินไปสำ หรับพวกเราแหง เลยตั้งใจมาทิ้งพวกเราใน
ที่ที่ปลอดภัยก่อนจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง!”
มันไม่มีความน่าจะเป็นอื่นแล้ว! ถึงว่าทำไมระหว่างทางเริ่น
เสี่ยวซู่ถึงเงียบนัก กลายเป็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่วางแผนแบบนี้ไว้ล่วงหน้า
ถึงกับมาปล่อยพวกเขาทิ้งก่อนโดยไม่เหลียวหลังแบบนี้
จางเสียวหม่านใช้โทรศัพท์ดาวเทียมรายงานเรื่องนี้ต่อพวก
จางจิ่งหลิน เหล่าผู้บังคับบัญชานิ่งงันไป โจวอิงหลงโพล่งกับจาง
จิ่งหลิน “ผมยอมติดตามเขา”เขาพูดถึงการที่จางจิ่งหลินลงมือโยกย้านเริ่นเสี่ยวซู่ให้เข้าร่วม
กองร้อยเจียนเตา โจวอิงหลงเป็นนายทหารระดับสูงคนแรกที่
สนับสนุนในตัวเริ่นเสี่ยวซู่ ถึงแม้เขาจะยศต่ำสุดในหมู่ผู้บังคับบัญชา
ก็ตามที
ผู้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ยังไม่เอ่ยอะไร อย่างไรการจะขึ้นเป็น
ผู้บัญชาการป้อมปราการได้ก็ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ อีก พวกเขาอยากดูว่า
เริ่นเสี่ยวซู่จะรอดกลับมาจากป้อมปราการ 146 ได้ไหม
ส่วนขณะเดียวกันที่เริ่นเสี่ยวซู่ก็กำลังเดินทางไปเข้าตี
ป้อมปราการ 146 แต่แทนที่จะพูดว่าเข้าตี ใช้คำว่าลอบโจมตีคงจะ
เหมาะกว่า
หลังจากคิดแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกว่าไปป้อมปราการ 146
คนเดียวจะปลอดภัยกว่า เขาพากองร้อยเจียนเตาไปที่นี่ทั้งๆ ที่รู้ว่า
เดี๋ยวต้องมีคนตายไม่ได้หรอก
ดังนั้นเขาจึงไปทิ้งพวกจางเสียวหม่านไกลๆ จนที่พวกเขา
กลับมาช่วยตนไม่ได้ ซึ่งก็จริง หากพวกเขาอยากจะมาป้อมปราการ
146 ด้วยการเดินเท้า ก็ต้องใช้เวลาอย่างต่ำสิบวันแน่นอนว่าเริ่นเสี่ยวซู่คิดมาดีแล้ว ถ้าเป็นเขาคนเดียว ก็
สามารถใช้หลากหลายวิธีการลอบเข้าไปสังเกตการณ์ใน
ป้อมปราการ 146 ก่อน ไม่ว่าจะเป็นปีนกำแพงป้อมปราการขึ้นไป
หรือลอบเข้าไปใต้ท้องรถบรรทุกของสมาคมตระกูลจง คนในกลุ่มยิ่ง
น้อยยิ่งดี ถ้าเขาพากองร้อยเจียนเตามาด้วย ก็มีแต่ต้องบุกฝ่าเข้าไป
แล้ว
พอเริ่มเข้าใกล้ป้อมปราการ 146 เขาก็สลายรถจักรไอน้ำลงไป
จากนั้นก็เดินเท้าแดนรกร้าง กันไม่ให้ศัตรูเจอตัว
เขาซ่อนตัวอยู่นอกป้อมปราการ 146 อยู่เต็มหนึ่งวันหนึ่งคืน
เพื่อดูว่ามีวิธีดีๆ อะไรลอบดอดเข้าไปในป้อมปราการได้บ้าง
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็พบว่ารถทุกคันที่เข้าป้อมปราการ 146 ต้อง
ผ่านการตรวจตราอย่างเคร่งครัด เขาใช้กล้องสโคปปืนสไนเปอร์มอง
จากไกลๆ แล้วก็เห็นว่าพวกเขาตรวจข้าวของทุกชิ้น ทั้งยังตรวจสอบ
ใต้ท้องรถด้วย
เช่นนั้นเขาจึงได้แต่ปีนกำแพงป้อมปราการขึ้นเหมือนเหมือน
ตอนที่ปีนผาสูงชันหลังเขาติ้งย่วนแล้ว โชคดีที่ว่ามันมีช่องว่างในการเดินตรวจตราของทหารยามบนกำแพงอยู่ ช่องว่างเพียงหนึ่งนาทีก็
พอให้เขาใช้ฉวยโอกาส