the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ - ตอนที่ 45 นายเป็นหมอประสาอะไร
เท่าที่เริ่นเสี่ยวซู่สังเกต คนอื่นๆ ในกลุ่มถ้าเทียบกับหยางเสียวจิ่นแล้ว ต่างระมัดระวังตัวน้อยกว่าเธอมาก ที่แห่งนี้มีทหารสิบสองนาย แต่กลับไม่มีใครคิดจะเฝ้ายามสักคน
ฟังจากเสียงกรนสนั่นลั่นเต็นท์แล้วก็เห็นได้ชัดว่าหลับลึกกันมาก ถึงสัตว์ร้ายขนาดใหญ่จะถูกไล่ออกไปจากเขตแดนของป้อมปราการหมดแล้วก็เถอะ แต่แบบนี้ก็ดูประมาทกันไปหน่อยแล้ว
ส่วนหยางเสียวจิ่นนั้นลมหายใจเบาและสม่ำเสมอ ชัดเจนเลยว่าไม่ได้หลับลึก
สำหรับเริ่นเสี่ยวซู่ ที่เขาระมัดระวังตัวตลอดนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะว่าเขาเคยเห็นคนไม่น้อยเลยที่ถูกแทงตายตอนหลับ แต่สภาพแวดล้อมที่หยางเสียวจิ่นอยู่อาศัยนั้นเป็นแบบไหนกัน เธอถึงได้มีความเคยชินที่ไม่ต่างไปจากเขาเลย
เขารู้สึกว่าประสบการณ์ในอดีตของคน จะเป็นตัวหลอหลอมนิสัยและตัวตนในปัจจุบัน หยางเสียวจิ่นต้องเคยได้ประสบกับเหตุการณ์อันตรายบางอย่างมาก่อนแน่
รุ่งสาง เริ่นเสี่ยวซู่ไปตรวจสอบตรงจุดที่เขาทิ้งซากเศษเนื้อกับกระดูกปลาไว้ก่อนที่ทุกคนจะตื่น เมื่อคืนวานเขาตั้งใจทิ้งเศษเนื้อปลาบางส่วนไว้ กะจะดูว่ามันจะล่อสัตว์ป่าอะไรมาหรือเปล่า
มีคนไม่น้อยกลัวพวกสัตว์ป่าเพราะคิดว่ามันดุร้ายมากจนไม่กลัวมนุษย์ แต่ว่าสัตว์ป่าไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก จริงๆ แล้วสัตว์ป่าส่วนใหญ่นั้นระมัดระวังตัวขั้นสุด ปกติแล้วสัตว์ที่ไม่ได้อยู่เป็นฝูง ถ้าเห็นว่ามีเต็นท์มากขนาดนี้ก็คงหนีไปหมด แต่ว่ามีเศษกระดูกเศษเนื้อปลาทิ้งไว้อยู่ตั้งไกล ดังนั้นน่าจะมีสัตว์ป่าบางตัวตามกลิ่นมา และทิ้งร่อยรอยไว้แน่
เริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ เข้าไปยังพื้นที่ที่เขาทิ้งเศษอาหารไว้ เขากวาดสายตารอบๆ หาว่ามีร่องรอยอะไรหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่เจออะไรผิดสังเกต
แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดที่เขาทิ้ง เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นว่าเศษเนื้อเศษกระดูกปลานั้นหายไปหมดแล้ว แถมยังไม่มีร่องรอยของสัตว์ป่าอีกด้วย!
เริ่นเสี่ยวซู่ชักมีดออกมาทันที สายตากวาดมองไปรอบกาย เขาค่อยๆ ถอยหลังอย่างระแวดระวัง เป็นมดหรือเปล่านะที่เอาเศษปลาย่างไป ความคิดนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมดในปัจจุบันล้วนตัวใหญ่เท่านิ้วก้อยคน ถ้ามีรังมดอยู่แถวนี้ ย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พวกมันสามารถขนเศษปลาไปได้หมดภายในคืนเดียว
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่ไว้วางใจ พอเขามาถึงแคมป์ ทุกคนก็กำลังเก็บเตรียมพร้อมออกเดินทางกันแล้ว พวกเขาพับเก็บเต็นท์ แล้วยัดไว้ท้ายรถออฟโรด
ที่ข้างๆ รถยนต์ หลิวปู้กำลังบ่นกับลั่วซินอวี่ “ซินอวี่ เธอไม่น่าไปแลกช็อกโกแลตกับเขาเลย ผู้อพยพมีหน้ามากินของพวกนี้ได้ยังไง”
ลั่วซินอวี่เมินเขา เธอเองก็ไม่คาดเหมือนกันว่าต้องให้ช็อกโกแลตเขาไปตั้งสองชิ้นแน่ะ!
ทั้งขบวนออกเดินทางอีกครั้ง ในท้ายที่สุดก็มุ่งสู่ป่าลึกตามการชี้ทางของเริ่นเสี่ยวซู่ แสงอาทิตย์สาดส่องลอดหมู่แมกไม้ ทำให้ผืนป่าดูสวยงามนัก
ณ จุดๆ นี้ พวกเขาลืมความกลัวของเมื่อคืนวานตอนเห็นรอยเท้ากวางไปหมดแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ถึงกับได้ยินเสียงผิวปากแว่วมาจากรถคันหลัง มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะลั่นกับมุกทะลึ่งตึงตังของพวกตน
เหมือนออกมาเที่ยวปิกนิกอย่างไรอย่างนั้น
จะมีเส้นทางหนึ่งที่ต้องขับใกล้แม่น้ำไม่น้อย เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับคนขับ “พยายามอยู่ห่างแม่น้ำให้มากที่สุด”
เขาไม่รู้เหมือนกันว่ามีตัวอันตรายอะไรซ่อนอยู่ในแม่น้ำ แต่เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันถาโถมมา
แต่คนขับกลับคิดไปอีกอย่าง “พวกเราห่างจากริมฝั่งตั้งเยอะ แถมในแม่น้ำก็มีแต่พวกปลาไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่า นายกลัวว่าพวกมันจะโจนขึ้นมาจากน้ำแล้วกัดหน้านายน่ะ ถ้าไม่ลงไปว่ายก็ไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พูดอะไรต่อ ตัดสินใจแล้วว่าถ้าเกิดมีเหตุร้ายขึ้นมา เขาจะสะบัดเจ้าพวกโง่นี่ไปให้หมด จากนั้นรีบหาทางหนีให้ตัวเองแบบด่วนๆ
ตอนนั้นเองรถนำขบวนที่เริ่นเสี่ยวซู่นั่งอยู่ก็เหยียบเบรกกะทันหัน คนขับรถที่มาจากกองกำลังส่วนตัวพูดอย่างหวาดหวั่น “ดูนั่นสิ!”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง ก่อนจะประหลาดใจที่เห็นกวางแดงขนาดมหึมาตัวใหญ่
กวางแดงเป็นกวางพันธุ์ที่มีขนาดตัวใหญ่เป็นอันดับสองรองจากกวางมูส มักจะอาศัยเป็นกลุ่ม ส่วนใหญ่แล้วรับประทานหญ้า ใบไม้ กิ่งไม้ เปลือกไม้ และผลไม้เป็นหลัก แล้วก็มักชอบเลียพวกโป่งด้วย
กวางแดงที่อยู่ตรงเขาน่าจะตัวสูงกว่าสองเมตรได้ มันยืนนิ่งบนถนน และจ้องมายังขบวนรถ
ทั้งขบวนพลันเคร่งเครียดขึ้นมา เหล่าทหารหยิบปืนไรเฟิลขึ้นมาชักคันรั้งทันที ทันใดนั้นพุ่มไม้ก็สั่นไหว ก่อนจะมีกวางตัวน้อยเดินออกมา ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นลูกของกวางตัวแรก
เสียงแตกของสูเสี่ยนฉู่ดังผ่านวิทยุมา “อย่ายิง!”
เจ้ากวางแดงไม่ได้ดูดุร้ายอะไร มันแค่มองขบวนรถเฉยๆ บางทีคงกำลังสงสัยอยู่ละมั้งว่า ‘พวกเอ็งเป็นตัว‘ไรวะ’ มันทำท่าจะจากไป ทุกคนจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่
มีทหารคนหนึ่งว่า “มันเป็นสัตว์กินพืชหรอก ดูสิหน้าซีดกันหมดเลย แถวๆ นี้หาสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ไม่ได้หรอก”
ทุกคนหยอกล้อเล่นกันอีกครั้ง ราวกับว่าตอนนี้ทุกอย่างโล่งโปร่งไม่มีอะไรเคร่งเครียดแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ทันใดนั้นเองเจ้ากวางแดงก็พุ่งเข้าใส่ขบวนรถ มันก้มหัวลงต่ำ หันเขาพุ่งตรงไปยังรถนำขบวน!
คนขับของรถนำขบวนสบถลั่น เหยียบคันเร่งหักหลบเข้าป่าเพื่อหลบกวาง ไม่สนใจว่าจะตัวเองจะไปชนต้นไม้หรือทำรถคว่ำอะไรทั้งนั้น
โชคดีที่รถนำขบวนหักหลบทัน เขาของกวางยักษ์เฉียดวูบตัวรถไป แต่รถที่ตามมากลับไม่ได้โชคดีแบบนี้ เขากวางแข็งจนสามารถแทงเข้าไปยังกระโปรงรถเหมือนกับส้อมของรถยก จากนั้นมันก็ยกหัวขึ้นแล้วสะบัดรถออกไป!
จากนั้น ก่อนที่พวกทหารคันอื่นจะออกมาจากรถของตน กวางยักษ์ตัวนั้นก็วิ่งเข้าป่าไปพร้อมลูกทั้งสอง ไม่ต่างไปกับชนแล้วหนีเลย!
ทหารบางนายยิงกราดอย่างบ้าคลั่งไปยังกวางยักษ์ที่หนี แต่กลับไม่โดนสักกะนัด ฝีมือการเล็งเป้านั้นห่วยอย่างไม่น่าเชื่อ
รถนำขบวนที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ชนเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ข้างถนนอย่างแรงจนกระโปรงรถบุบ ควันขาวจำนวนมากลอยออกมาจากใต้กระโปรงรถ!
ทันใดนั้นก็มีคนในขบวนรถตะโกน “เร็ว ใครก็ได้มาช่วยเขาหน่อย!”
หลิวปู้ส่งเสียงดังลั่น “เจ้าผู้อพยพนั่นเป็นหมอไม่ใช่เหรอ เร็ว พาเขามาทำการรักษา!”
เริ่นเสี่ยวซู่ออกจากรถแล้วเดินไปทางขบวนรถ แต่พอไปถึง ก็เห็นว่าคนขับของรถคันที่สองนั้นมีแค่รอยกรีดที่แขนก็เท่านั้น ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยนี่?
ความตายลอยวนเวียนอยู่กับผู้อพยพตั้งแต่เยาว์วัย พวกเขามองความตายเป็นดั่งส่วนหนึ่งของชีวิตแล้ว ดังนั้นรอยขีดข่วนนี้ไม่นับว่าเป็นอะไรได้
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น ไม่คิดจะลงมือรักษาทหารนายนี้แม้แต่น้อย เขาไม่อยากเสียยาดำไปกับแผลแบบนี้ ตอนนี้เขาประหลาดใจมากกว่าที่เจ้ากวางยักษ์นั่นดูดุร้ายมาก และก็สงสัยด้วยว่าทำไมมันดูดุร้ายได้ถึงประการนั้น
หลิวปู้ผลักเริ่นเสี่ยวซู่ ตะโกน “นายเป็นหมอไม่ใช่เหรอ รีบช่วยเขาเร็ว!”
“อืมๆ” เริ่นเสี่ยวซู่รับคำ ก่อนจะสวดคาถาใส่แผลของคนขับรอบหนึ่ง “หายดีโดยเร็ว หายดีโดยเร็ว หายดีโดยเร็ว…”
หลิวปู้นิ่งไป “ใครเขารักษาแผลกันแบบนี้ นายเป็นหมอประสาอะไร!”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งก่อนจะลั่นว่า “หมอผี?”